ตอนที่ 60ดวงจิตแตกแยกเป็นสอง

รีสอร์ต ม่านฟ้าทะเลดาว @หัวหิน

“วู้...สดชื่นที่สุดเลย ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าทะเลของชล”

“เกินไปหรือเปล่า”

“อากาศก็ออกจะดี ทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะพี่สายฟ้า ป่ะเราแวะหาเครื่องดื่มสดชื่นกันดีกว่า” สายชลดึงกึ่งลากพี่ชายฝาแฝดเข้ามายังด้านหน้าล็อบบี้ของรีสอร์ต ม่านฟ้าทะเลดาว “พี่ไทม์มาทางนี้ครับ” สายชลที่ดูคึกคักกว่าใครควงแขนชายหนุ่มทั้งสองคนเข้ามานั่งพักพร้อมกับเดินไปเคาท์เตอร์บาร์จัดการรังสรรค์เมนูพิเศษด้วยตัวเอง

“พักกันตามสบายนะจ๊ะ สายชลดูและพี่ ๆ ด้วยนะ แม่ขอไปจัดการรีสอร์ตก่อน”

“เพิ่งมาถึงไม่ทันไร คุณแม่ไม่พักดื่มน้ำให้ชื่นใจก่อนเหรอครับ”

“ไม่ดีกว่าจ้ะ” ดาริกาลูบศีรษะกลมเบา ๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะเดินหายไปด้านในกับพนักงานคนสนิท ทิ้งให้สายชลอยู่กับทั้งสองคนตามลำพัง

สายชลยกแก้วทรงสูงแต่งด้วยเลม่อนและเชอร์รี่สีแดงสดตัดกับสีฟ้าเข้ม ของบูลฮาวาย “แก้วนี้บูลฮาวายโซดาผสมไซรัปส้มยูสุ จะได้สดชื่นรับลมทะเลของพี่สายฟ้าฮะ” แล้วเดินกลับไปยังเคาท์เตอร์บาร์อีกครั้งเพื่อนำเครื่องดื่มอีกแก้วยกมาเสริฟ์คนรัก

แก้วทรงเตี้ยตกแต่งด้วยใบมิ้นต์และกลีบกุหลาบแดง ภายในแก้วไล่สีชมพูจาง ๆ หลอดลายแดงสลับขาว ส่งให้เครื่องดื่มแก้วนี้ดูน่ารักอ่อนหวานขัดกับสีหน้าของผู้ได้รับ

“นี่เป็นสูตรพิเศษของน้องเอง ลิ้นจี่กุหลาบโซดาผสมไซรัปพั้นซ์ ให้ความรู้สึกหอมหวานนุ่มนวลแต่มีความซ่าซ่านของโซดาเปรี้ยวนิด ๆ แต่ลงตัว แก้วนี้ของพี่ไทม์ครับ”

สายชลส่งแก้วเครื่องดื่มด้วยความภูมิใจ ขณะที่เผลอพี่ไทม์ดึงร่างของเขามานั่งแหมะบนตักแกร่ง

“หวานนิด ๆ เปรี้ยวแต่ซาบซ่า เหมือนหนูหรือเปล่าครับ” ไทม์กระซิบเสียงหวานข้างกกหู ทำเอาสายชลใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

“ไอ้ห่า น้อย ๆ หน่อยไอ้พี่ไทม์”

“อ้าว คนเขารักกัน” ไทม์เอ่ยน้ำเสียงยียวนใส่สายฟ้า ทั้งยังลอยหน้าลอยตายั่วโมโห

“งานการไม่มีทำหรือไงวะ”

“พี่สายฟ้า”

“ก็มันจริงนี่หว่า พวกเราปิดเทอมก็แวะกลับบ้าน แต่มันอะมาทำไม?”

“พี่ก็มาเยี่ยมอาในตัวเมืองไง เมื่อก่อนที่พวกเรายังเด็ก ทุกปิดเทอมพี่ก็แวะมาเล่นกับพวกเราตลอด” ไทม์เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อพลางย้อนนึกถึงช่วงวัยเด็กที่พวกเราเคยเล่นด้วยกัน ผิดกับสายฟ้าและสายชลที่สบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะถอนหายใจพร้อมกันเบา ๆ

“พี่ไทม์ครับ เดี๋ยวผมขอไปคุยกับพี่สายฟ้าแป๊บนึงนะ” สายชลระบายยิ้มเจื่อนก่อนจะลุกไปยังด้านหน้าของรีสอร์ตซึ่งมีที่นั่งให้แขกที่มาเข้าพักนั่งเล่นได้

“กูลองอยากไปร้านกาลเวลาอีกสักที”

“พี่สายฟ้าคิดเหมือนน้องเลย”

ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกันก่อนจะเสตามองไปยังคนที่นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้อย่างกังวลใจ

“กูแล้วแต่มึงเลย”

“ร้านอยู่ตรงหัวมุมถนนตรงข้ามหาดโน้นเอง ไปไม่นานคงไม่เป็นไรหรอก”

“อื้ม งั้นเรารีบไปกันดีกว่า”

สายชลกับพี่ชายฝาแฝดรีบเดินอ้อมไปด้านข้างของรีสอร์ตคว้าจักรยานคู่ใจแล้วบึ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งร้านกาลเวลา แม้ในใจจะกังวลว่าจะพบร้านลึกลับแห่งนั้นหรือไม่ แต่หัวใจทั้งสองดวงของพวกเรามันกู่ร้อง ‘วันนี้อาจเป็นวันที่เรารอคอย’

“นั่นไง ใช่ร้านนั้นใช่ไหม” สายฟ้าชี้ไปยังตำแหน่งของร้านขายของสะสมที่ดูวินเทจแปลกตา หากมองจากภายนอกดูเป็นร้านทั่วไปออกจะคร่ำคร่าเสียด้วยซ้ำ

“ปกติไม่ได้ตั้งตรงนี้นี่หน่า แต่ช่างมันเถอะ” สายชลเอ่ยด้วยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ เร่งฝีเท้าปั่นจักรยานคู่ใจ หันซ้ายแลขวาแล้วข้ามไปจอดยังหน้าร้านในทันที แต่แล้วเมื่อหยุดยืนหน้าร้านเขากลับรู้สึกประหม่าระคนหวาดหวั่นอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สายชลมั่นใจว่าความรู้สึกที่ก่อในใจครั้งนี้ไม่ใช่ของตนอย่างแน่นอน

“พี่สายฟ้า โอเคใช่ไหม”

“อื้อ โอเค” สายฟ้าในเวลานี้สีหน้าไม่โอเคอย่างที่เขาได้ตอบน้องชายไป ความหวาดหวั่นแล่นปราดเข้ากลางอกของเขาอย่างจัง!

สายชลระบายรอยยิ้มน้อย ๆ เดินนำพี่ชายแล้วผลักประตูเข้าไป วูบหนึ่งส่งให้เขาย้อนนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักร้านแห่งนี้ ครั้งที่สอง และครั้งต่อ ๆ มา จากวันแรกกระทั่งวันนี้ ชีวิตเขาได้เดินทางมาไกลเหลือเกิน ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าที่วันนี้เขายังมีลมหายใจ ได้ฟื้นคืนชีวิตราวกับปาฎิหาร์ ทว่าผู้ที่ร่วมรับเคราะห์กรรมในคราวนี้กลับเป็นพ่อของเขา ‘พ่อ’ ที่ไม่เคยมีพื้นที่หลงเหลือในความทรงจำ

กรุ๊งกริ๊ง

กระพรวนที่ห้อยระย้าไว้ที่หน้าประตู กระทบกับกระจก ส่งเสียงแหลมกังวลใส พร้อมกับเพลงบรรเลงคลอเคล้ากลิ่นอะโรม่าที่แปลกทว่าแสนคุ้นเคย

“หอมเหมือนเดิมเลย” สายชลเอ่ยราวกับคนละเมอเคลิบเคลิ้ม “พี่สายฟ้าคิดว่าเป็นกลิ่นอะไรบ้างหอมหวาน เบาบาง ชวนให้ผ่อนคลายแต่ทำให้รู้สึกพิศวงในเวลาเดียวกัน”

“พลับพลึงซ้องร้องเรียกคร่ำครวญหา บุษบามะลิซ้อนไซร้ปลอบขวัญ

วานิลลานวลน้องชื่นชีวัน หวนพบกันปาริชาตแผ่กำจาย”

สายฟ้าเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ใบหน้าละม้ายคล้ายกันทว่าแววตากลับมีความต่าง

“เมื่อกี้พี่ขับกลอนเหรอ” สายชลทักอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“กูก็...ไม่รู้เหมือนกัน มันวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนรู้จักกลิ่นนี้เป็นอย่างดี และกลอนนี้เคยแต่งเมื่อนานมาแล้ว แต่จริง ๆ กูก็เคยได้กลิ่นที่นี่เป็นครั้งแรกนะ” สายฟ้าเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตาพลางสอดส่องร้านกาลเวลาราวกับคนที่กำลังจ้องจับผิด

“ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีก เราดีใจจริง ๆ ที่ท่านยังจำกลอนบทนี้ได้”

เสียงที่แสนคุ้นเคยส่งให้สายฟ้าหัวใจหวามไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน แววตาเปล่งประกายระยับก่อนจะถลึงตาใส่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“คุณรุจ สวัสดีครับ” สายชลเอ่ยทักด้วยสีหน้าสดใส

“เป็นยังไงครับ พบสิ่งที่ตามหาแล้วหรือยัง” เจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวไปหยิบถาดกาน้ำชามาไว้ในมือ ปล่อยให้สายชลตกอยู่ในห้วงความคิด สายตาเหม่อลอยทว่าเต็มไปด้วยความไร้กังวล แตกต่างจากแฝดผู้พี่ที่สีหน้าราวกับยักษ์ปักหลั่นอย่างไรอย่างนั้น

สายฟ้าถอดหายใจยาวก่อนจะเดินตรงไปยังหลังเคาท์เตอร์ราวกับคุ้นเคยที่แห่งนี้ดี “เดี๋ยวผมยกให้เอง คุณไปนั่งพักเถอะ”

คุณรุจกระตุกยิ้มอย่างเอ็นดูเล็ก ๆ เขาพยักหน้ารับ หันไปหยิบแก้วน้ำชาเพิ่มอีกใบ

“อ่ะ ทำไมถึงหยิบแก้วเพิ่มละ”

“แขกพิเศษกำลังมาถึง” เจ้าของร้านกาลเวลาเอ่ยตอบสั้น ๆ ทว่าทำเอาสองพี่น้องขมวดคิ้วยุ่งด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่สายชลจะได้เอ่ยปากถามออกไป เสียงกระพรวนที่ห้อยไว้หน้าประตูก็ได้ทำงานเต็มความสามารถของมันอีกครั้ง

กรุ๊งกริ๊ง เสียงใสดังกังวาลอันเป็นเอกลักษณ์ให้รู้ว่ามีแขกพิเศษกำลังมาเยือน...

“หนู...แอบมาเที่ยวเล่นไม่ชวนพี่เลย”

“พี่ไทม์ / ไอ้พี่ไทม์” เด็กแฝดทั้งสองคนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน

“พี่ไทม์มาได้ยังไงครับ”

“ขี่จักรยานตามเด็กดื้อมายังไงหล่ะครับ” ไทม์พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ผิดกับสายฟ้าที่มองคนมาใหม่ด้วยท่าทางเหนื่อยใจ

“เชิญห้องโถงด้านในครับ” เจ้าของร้านกาลเวลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผายมือไปยังด้านในสุดของร้าน

สายชลเพ่งไปยังทางที่คุณรุจบอก กลับเจอแต่ชั้นหนังสือและตู้โชว์สินค้าเรียงราย ‘ไม่เห็นมีห้องโถงแบบที่คุณรุจบอกเลย?’ แต่แล้วสายฟ้าที่กำลังถือถาดน้ำชาแล้วเดินนำทุกคนไปยังสุดทางของร้าน เขาวางถาดลงบนหลังตู้ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นบนสุดออกมาแล้วสลับวางยังชั้นที่ 3 แล้วทำเช่นนี้แต่สลับที่กันไปมาจนคนที่มองตามอย่างเขาก็ไม่สามารถจำได้ สายฟ้าถอยหลังออกมาสองก้าวหันไปหยิบถาดน้ำชาไว้ในมือ เบื้องหน้าที่สายชลเห็นปรากฏเป็นห้องลับ ชั้นหนังสือขยับออกจากกันเป็นทางเล็ก ๆ พอให้พวกเราเรียงตัวเดินเขาไปได้

เส้นทางเบื้องหน้าเป็นทางมืดสลัวมีเพียงแสงวูบไหวจากโคมเทียนสองข้างทาง พื้นปูด้วยพรมสีแดงก่ำขลิบทอง ผนังตกแต่งด้วยภาพจากทั่วทุกมุมโลก แต่คนที่นำมันมาแขวนอาจเป็นคนที่ไม่มีรสนิยมมากนัก เพราะแต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่ดู ‘ไม่เข้ากัน’ สายชลที่รู้สึกกลัวขึ้นมานิด ๆ จึงเลื่อนมือไปจับพี่ไทม์เอาไว้แน่น

ไทม์โน้มใบหน้าลงมากระซิบกับคนรัก “ที่นี่มันที่ไหน หนูเคยมาไหม”

“ร้านนี้เคยมาครับ แต่ตรงนี้เพิ่งเคยมาครั้งแรก”

“แต่ดูเหมือนสายฟ้ารู้จักที่นี่ดีเลยนะ”

สายชลที่ฟังคนรักเอ่ยเช่นนั้นก็เห็นพ้องต้องกัน ทว่าเขากับไม่เอ่ยตอบทำเพียงเดินตามคุณรุจและพี่ชายไปเท่านั้น เพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้น พวกเราก็มาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูไม้ที่แกะสลักลวดลายวิจิตร

คุณรุจนำกุญแจโบราณขึ้นมาแล้วไขเพื่อปลดล็อกประตู ด้านในดูเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม มีมุมนั่งเล่นสำหรับจิบน้ำชา บานหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดเอาไว้ ทว่ามุมหนึ่งของม่านกลับเห็นด้านนอกสร้างความประหลาดใจแก่เขายิ่งนัก ‘นั่นไม่ใช่แถวบ้าน แต่เป็นที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งไม่คุ้นตา’

“เชิญทุกคนนั่งก่อนครับ” จิรัฐิติกาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงยะเยือก ทิ้งตัวลงยังโซฟาหลุยซ์สีครีมประดับเพชรวาววับ

“ตอนนี้ทั้งสองคนคงพอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ”

“คิดว่าน่าจะ...นะครับ” สายชลเอ่ย ในขณะที่พี่ไทม์จ้องคุณรุจไม่ละสายตา

“ก่อนที่จะเข้าเรื่องเชิญทุกคนดื่มน้ำชานี้ก่อนครับ”

เจ้าของร้านกาลเวลารินน้ำชาให้ทุกคน โดยเฉพาะไทม์ที่ได้แก้วใบที่แตกต่างจากผู้อื่น ทุกการกระทำของคุณรุจอยู่ในสายตาของสายฟ้าสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก เพราะคุณรุจเป็นคนที่เนี้ยบพอสมควร การที่หยิบแก้วเพิ่มแต่ตัวแก้วมีลักษณะที่ต่างกัน นั่นค่อนข้างผิดวิสัยของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทว่าสายฟ้าก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เพราะเขาคิดว่าคุณรุจคงมีเหตุผลของตัวเอง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ไทม์ก็หมดสติผล็อยหลับไป

“พี่ไทม์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” สายชลเขย่าร่างเขย่าเบา ๆ

“เขาไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็ตื่น” รุจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย

“คุณวางยาเหรอ”

เจ้าของร้านแค่นหัวเราะพร้อมกับลุกไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง หยิบกริชแห่งนิรมิตรัตติกาลพร้อมกับลูกแก้วสัจธรรมออก สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่กพลางขมวดคิ้วแน่น วูบหนึ่งรู้สึกเจ็บแปลบลึกร้าวจนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกด้านซ้าย

“ลูกแก้วนี้...ทำไมยังอยู่ที่คุณ” เป็นสายฟ้าที่ชิงถามออกไป ถึงเขาจะคุ้นเคยกับเจ้าของร้านกาลเวลามาตั้งแต่จำความได้ หากจะพูดถึงเรื่องแปลกประหลาดระหว่างเราสองคนพี่น้อง เห็นจะเป็นการที่สายชลได้ข้ามเวลาไปยังอนาคต ส่วนเขาย้อนเวลาไปยังช่องว่างของเวลาหวนกลับมายังร้านกาลเวลาแห่งนี้

“ของสองสิ่งนี้อยู่กับเรามาเสมอ” แล้วสายตาของจิรัฐิติกาลก็มองไปยังคนที่พริ้มหลับไม่ได้สติ “ทั้งสายฟ้าและสายชลต่างก็เคยเป็นดวงจิตเดียวกัน เช่นเดียวกับเราที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กริชนี้แบ่งดวงวิญญาณเพื่อนำดวงจิตของเราไปเกิดยังโลกมนุษย์ได้ดูแลทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ ทว่าอานุภาพของน้ำยาอมฤตรสนั้นได้กัดกินพลังเวทย์รวมถึงทำให้โชคชะตาพวกเราบิดเบี้ยว แทนที่เราจะได้พบกันอีกครั้งในช่วงวันนี้เวลานี้ เพื่อทำพิธีหลอมรวมวิญญาณเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่แล้วสายชลก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเสียชีวิตลงไป เมื่อผู้หนึ่งที่เคยผูกสัญญาเลือดไม่ตรงตามเงื่อนไข การหลอมรวมจิตวิญญาณก็ไม่สามารถทำได้”

“แล้วถ้าเราสองคนไม่หลอมรวมกันหล่ะ” สายฟ้าเอ่ยถามพลางถอดถอนหายใจยาว สีหน้าฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือทั้งสองสั่นเทาไปด้วยความกลัว

“ดวงจิตของทั้งสองคนจะเชื่อมถึงกัน รับความรู้สึกและชะตากรรมร่วมกัน”

“มึงล่ะ อยากรวมไหม”

“หลอมรวมแล้วยังไง ไม่หลอมรวมแล้วยังไง?” สายชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปจากเดิม ชาดอกไม้ที่เจ้าของร้านให้ดื่มในครั้งนี้ทำให้ความทรงจำบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในสมอง ทว่าจิตใจของเขากับลุ่มลึกราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

“พูดอะไรให้มันเข้าใจได้หน่อยได้ไหม สายชล” พี่ชายฝาแฝดเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย

“แสดงว่า... คุณตั้งใจให้เรามาหาครั้งนี้ เพื่อจะทำพิธีหลอมรวมวิญญาณแล้วปลดผนึกคุณออกจากร้านแห่งนี้ใช่ไหม?”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”

แล้วจู่ ๆ สายฟ้าก็ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าฉายความขุ่นเคืองระคนผิดหวัง “คุณมันคนเห็นแก่ตัวนึกจะทำอะไรกับเราก็ทำอย่างนั้นเหรอ สิ่งที่คุณอยากทำก็เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้น ผมผิดเสียใจ ที่ผ่านมาเคยรู้สึกดี ๆ กับคุณ สุดท้ายคุณก็ทำเพื่อตัวเอง เคยคิดบ้างไหมว่าไอ้ไทม์ และเราสองพี่น้องจะเป็นยังไง? คุณก็แค่ทำเพื่อให้สุชัจจ์ชลคนรักของคุณกลับมา” สายฟ้าพรั่งพรูสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ แล้วหยาดน้ำอุ่นพลันไหลอาบสองแก้ม นัยน์ตาแดงก่ำ เนื้อตัวสั่นเทิ้มจากการสะกดกลั้นความช้ำที่มี ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างคนตรงหน้า ส่งให้เขาไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่มากมายนั้นเอาไว้

จิรัฐิติกาลเข้าไปสวมกอดสายฟ้าจากด้านหลัง “ไม่ใช่เช่นนั้น นายเข้าใจผิด”

“ก็บอกมาสิ จะได้เข้าใจให้ถูก”

“พิธีหลอมรวมจิตวิญญาณทำเพื่อปลดผนึกเราที่มีต่อร้านกาลเวลาน่ะใช่ แต่ด้วยความผิดที่เราก่ออย่างไรก็จำต้องดูแลร้านกาลเวลาแห่งนี้ไปอีกหลายปีนัก”

“แล้วจะทำเพื่ออะไร?”

“เพื่อให้การเกิดในคราหน้าดวงจิตจะไม่แตกแยกออกจากกัน โชคชะตาและสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราจะไม่มีบิดพลิ้ว เมื่อถึงคราวนั้นเราให้นายเป็นผู้เลือกเองว่าอยากอยู่กับเราหรือจักเดินตามทางของตัวเอง”

สายฟ้าจิกเกร็งมือแน่น เมื่อมั่นใจว่าความรักที่เขามีให้เจ้าของร้านกาลเวลาก็ไม่น้อยไปกว่าแน่นอน หากเขาจักหลอมดวงจิตแล้วสายชลเล่าจะเป็นเช่นไร เพราะเขารู้แจ้งแก่ใจดีว่าดวงจิตของน้องต้องกลับมารวมกับของตน เช่นเดียวกับไทม์ที่ต้องกลับคืนสู่แก่นจิตวิญญาณของจิรัฐิติกาล

สายชลดึงฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อเย็นเยียบของสายฟ้าไปกุมเบา ๆ “ไม่ว่าน้องจะอยู่ที่ไหน น้องมีความสุขมากแล้วที่ได้รู้จักพี่สายฟ้า ความแข็งแกร่งของพี่ที่ปกป้องน้องมาตลอด พี่สายฟ้าตัดสินใจได้เลยน้องไม่คิดเสียใจภายหลัง”

“ถึงการตัดสินใจนั้นจะทำให้ตัวตนของน้องสลายไปน่ะเหรอ”

สายชลเลื่อนฝ่ามือบางไปแตะที่หัวใจของสายฟ้า อีกข้างหนึ่งกุมที่หน้าอกของตัวเอง “น้องจะไม่สลายหายไปไหน แต่น้องยังคงอยู่ในนี้” แฝดน้องระบายรอยยิ้มอ่อน นัยน์ตาไม่มีความกังวลใด ทว่ายังเป็นสายตาของคนที่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองอย่างที่สุด

“หากผมเลือกไม่หลอมรวม แล้วคุณจะเป็นยังไง?”

คุณรุจหัวเราะในลำคอ “เราก็ไม่เป็นเช่นไร ยังคงเป็นแบบนี้เสมอเพียงแต่ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกไม่ได้หากไม่มีนกหวีดห้วงมิติเพื่อเป็นการหยุดรั้งทุกสรรพสิ่งและให้ประตูร้านกาลเวลาเปิดออก”

“แต่คุณรุจเคยบอกว่านกหวีดนั่นใช้ได้ 5 ครั้ง แต่ถูกใช้งานไปแล้ว 2 ครั้ง ไม่สิ 3 ครั้งเพราะวันนั้นพี่ไทม์ใช้เพื่อช่วยชล แสดงว่านกหวีดที่คุณให้ยังใช้ได้อีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น” สายชลพูดพลางเสตาไปที่นกหวีดห้วงมิติที่ทำเป็นจี้อยู่บนคอของไทม์

“ใช่ เรื่องเหล่านี้วนเวียนเช่นนี้ซ้ำกันมาสามครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ผมทำสำเร็จ จะเรียกเช่นนั้นก็ไม่ถูก ครั้งนี้ไทม์ทำสำเร็จ สายชลถึงยังมีชีวิตรอดมาอยู่ตรงนี้”

“วนลูปมา 3 รอบเชียวเหรอ เฮ้อแค่ฟังยังเหนื่อยเลย คุณรุจคงรักพี่สายฟ้ามาเลยใช่ไหม”

“เขาไม่ได้รักกู เขารักสุชช์ชลต่างหาก” สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“ไม่ว่าคุณจะเกิดอีกสักกี่ชาติภพ ก็จะรักเพียงคุณผู้เดียวเท่านั้น” คุณรุจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความจริงจังชนิดที่ไม่สามารถปิดบังได้มิด

“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด วันนี้ผมจะไม่ทำพิธีแต่ผมกับน้องจะถอนผนึกให้ในวันสุดท้ายที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่”

“ไม่ว่าอย่างไรเรายินดีในทางที่นายเลือก สายฟ้า”

“วันหนึ่งที่เราโตกว่านี้ดูแลคุณได้กว่านี้ ผมจะมาอยู่กับคุณที่ร้านแห่งนี้ตราบจนวันปลดผนึกจะหวนมาถึงอีกครั้ง” สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขารู้ดีว่าเวลาในร้านแห่งนี้เมื่อเทียบกับเวลาจริงในโลกมนุษย์แตกต่างกันจนทำให้เขาเลือกจะทำเช่นนี้ได้

“แล้วนายจักเสียใจ”

“ผมไม่มีวันเสียใจ”

เจ้าของร้านกาลเวลาโผเข้ากอดสายฟ้าด้วยความคะนึงหาจากสุดขั้วหัวใจ “เราจะรอวันนั้นนะ”

“นะ นี่มันอะไรกัน ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ไทม์ขยับตัวนั่งให้ตรง

“เวลาที่ร้านแห่งนี้น่าจะจบลงแล้ว คนจากด้านนอกกำลังตามหาพวกคุณอยู่”

คุณรุจเอ่ยด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม นัยน์ตายังคงมีหยาดน้ำเอ่อล้นคลออยู่ในนั้น ก่อนจะพาแขกพิเศษออกไปยังหน้าร้านทั้งที่ยังคงกุมมือสายฟ้าเอาไว้แน่น

สายชลมองดูความรักที่คุณรุจกับสายฟ้ามีให้กันก็สะท้อนหัวใจ เขาโชคดีกว่าสองคนนั้นมาก แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ผ่านอุปสรรคไม่น้อย ได้ลองไปใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่เด็กผู้ชายคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ต้องขอบคุณโชคชะตาที่บิดเบี้ยวและร้านกาลเวลาแห่งนี้ที่ทำให้เขาได้เข้าใจถึงชีวิต

ขณะที่ไทม์เดินไปยังฝั่งหนึ่งของร้านหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ “ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้วคุณไทม์เลือกสักชิ้นไหมครับ ถือว่าเป็นของขวัญจากผม”

“อย่านะ / ไม่นะ” ฝาแฝดทั้งสองคนประสานเสียงกันในทันที พลันเปลี่ยนบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อครู่ให้กลับมาสดใสอีกครั้ง

“พี่ก็แค่ดูเฉย ๆ ของพวกนี้ไม่ใช่แนวสักหน่อย เจ้าสองแฝดตกใจอะไรกัน ทำอย่างของนี่มันจะมีคำสาปหรือเวทมนตร์อย่างนั้นล่ะ” ไทม์เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะตรงไปยังประตูทางออก เมื่อมองออกไปยังนอกร้านท้องฟ้าที่เคยแจ่มจ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มดวงตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้าเข้าไปทุกที นั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ‘ถึงเวลาที่เราต้องเอ่ยลากัน’

“มึงกลับคันพี่ไทม์ก็ได้” สายตาของแฝดคนพี่ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“อื้ม ขับตาม ๆ กันมานะ” ไทม์เอ่ยพร้อมกับคว้าจักรยานรของรีสอร์ตเอาไว้แล้วขึ้นคร่อมตบเบาะด้านหลังปุ ๆ ส่งสายตาหวานให้คนรัก

สายชลเดินเข้าไปประชิดพี่ชายแล้วโอบกอดด้วยความเป็นห่วง “น้องรู้ว่าพี่จะผ่านไปได้ อีกไม่นานพี่จะได้เจอคุณรุจอีกครั้ง น้องเชื่อแบบนั้นนะ”

“อื้ม เมื่อเวลานั้นมาถึงพี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา”

สายฟ้าสบสายตาคุณรุจผ่านกระจกด้านนอก รอยยิ้มที่คนในร้านกาลเวลามอบให้เขามันเป็นยิ้มที่บาดลึกเจ็บหัวใจเสียยิ่งกว่าโดนกริชแห่งนิรมิตรัตติกาลปักลงมาเสียอีก สายฟ้ากระชับอ้อมกอดอุ่นของร่างเนื้อซึ่งเป็นเสี้ยวดวงจิตของเขาไว้แน่น เพราะความรักที่มีให้กับน้องฝาแฝดคนนี้เขาจึงเลือกที่ยังไม่เข้าพิธีหลอมวิญญาณ เลือกที่จะไม่ทำตามหัวใจตัวเอง เพราะไม่มีสิ่งใดจะการันตีความปลอดภัยของสายชลได้

‘หากเขาไม่ปกป้องน้องก็ไม่มีใครจะกางแขนปกป้องสายชลได้’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ