รีสอร์ต ม่านฟ้าทะเลดาว @หัวหิน
“วู้...สดชื่นที่สุดเลย ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าทะเลของชล”
“เกินไปหรือเปล่า”
“อากาศก็ออกจะดี ทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะพี่สายฟ้า ป่ะเราแวะหาเครื่องดื่มสดชื่นกันดีกว่า” สายชลดึงกึ่งลากพี่ชายฝาแฝดเข้ามายังด้านหน้าล็อบบี้ของรีสอร์ต ม่านฟ้าทะเลดาว “พี่ไทม์มาทางนี้ครับ” สายชลที่ดูคึกคักกว่าใครควงแขนชายหนุ่มทั้งสองคนเข้ามานั่งพักพร้อมกับเดินไปเคาท์เตอร์บาร์จัดการรังสรรค์เมนูพิเศษด้วยตัวเอง
“พักกันตามสบายนะจ๊ะ สายชลดูและพี่ ๆ ด้วยนะ แม่ขอไปจัดการรีสอร์ตก่อน”
“เพิ่งมาถึงไม่ทันไร คุณแม่ไม่พักดื่มน้ำให้ชื่นใจก่อนเหรอครับ”
“ไม่ดีกว่าจ้ะ” ดาริกาลูบศีรษะกลมเบา ๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะเดินหายไปด้านในกับพนักงานคนสนิท ทิ้งให้สายชลอยู่กับทั้งสองคนตามลำพัง
สายชลยกแก้วทรงสูงแต่งด้วยเลม่อนและเชอร์รี่สีแดงสดตัดกับสีฟ้าเข้ม ของบูลฮาวาย “แก้วนี้บูลฮาวายโซดาผสมไซรัปส้มยูสุ จะได้สดชื่นรับลมทะเลของพี่สายฟ้าฮะ” แล้วเดินกลับไปยังเคาท์เตอร์บาร์อีกครั้งเพื่อนำเครื่องดื่มอีกแก้วยกมาเสริฟ์คนรัก
แก้วทรงเตี้ยตกแต่งด้วยใบมิ้นต์และกลีบกุหลาบแดง ภายในแก้วไล่สีชมพูจาง ๆ หลอดลายแดงสลับขาว ส่งให้เครื่องดื่มแก้วนี้ดูน่ารักอ่อนหวานขัดกับสีหน้าของผู้ได้รับ
“นี่เป็นสูตรพิเศษของน้องเอง ลิ้นจี่กุหลาบโซดาผสมไซรัปพั้นซ์ ให้ความรู้สึกหอมหวานนุ่มนวลแต่มีความซ่าซ่านของโซดาเปรี้ยวนิด ๆ แต่ลงตัว แก้วนี้ของพี่ไทม์ครับ”
สายชลส่งแก้วเครื่องดื่มด้วยความภูมิใจ ขณะที่เผลอพี่ไทม์ดึงร่างของเขามานั่งแหมะบนตักแกร่ง
“หวานนิด ๆ เปรี้ยวแต่ซาบซ่า เหมือนหนูหรือเปล่าครับ” ไทม์กระซิบเสียงหวานข้างกกหู ทำเอาสายชลใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
“ไอ้ห่า น้อย ๆ หน่อยไอ้พี่ไทม์”
“อ้าว คนเขารักกัน” ไทม์เอ่ยน้ำเสียงยียวนใส่สายฟ้า ทั้งยังลอยหน้าลอยตายั่วโมโห
“งานการไม่มีทำหรือไงวะ”
“พี่สายฟ้า”
“ก็มันจริงนี่หว่า พวกเราปิดเทอมก็แวะกลับบ้าน แต่มันอะมาทำไม?”
“พี่ก็มาเยี่ยมอาในตัวเมืองไง เมื่อก่อนที่พวกเรายังเด็ก ทุกปิดเทอมพี่ก็แวะมาเล่นกับพวกเราตลอด” ไทม์เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อพลางย้อนนึกถึงช่วงวัยเด็กที่พวกเราเคยเล่นด้วยกัน ผิดกับสายฟ้าและสายชลที่สบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะถอนหายใจพร้อมกันเบา ๆ
“พี่ไทม์ครับ เดี๋ยวผมขอไปคุยกับพี่สายฟ้าแป๊บนึงนะ” สายชลระบายยิ้มเจื่อนก่อนจะลุกไปยังด้านหน้าของรีสอร์ตซึ่งมีที่นั่งให้แขกที่มาเข้าพักนั่งเล่นได้
“กูลองอยากไปร้านกาลเวลาอีกสักที”
“พี่สายฟ้าคิดเหมือนน้องเลย”
ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกันก่อนจะเสตามองไปยังคนที่นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้อย่างกังวลใจ
“กูแล้วแต่มึงเลย”
“ร้านอยู่ตรงหัวมุมถนนตรงข้ามหาดโน้นเอง ไปไม่นานคงไม่เป็นไรหรอก”
“อื้ม งั้นเรารีบไปกันดีกว่า”
สายชลกับพี่ชายฝาแฝดรีบเดินอ้อมไปด้านข้างของรีสอร์ตคว้าจักรยานคู่ใจแล้วบึ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งร้านกาลเวลา แม้ในใจจะกังวลว่าจะพบร้านลึกลับแห่งนั้นหรือไม่ แต่หัวใจทั้งสองดวงของพวกเรามันกู่ร้อง ‘วันนี้อาจเป็นวันที่เรารอคอย’
“นั่นไง ใช่ร้านนั้นใช่ไหม” สายฟ้าชี้ไปยังตำแหน่งของร้านขายของสะสมที่ดูวินเทจแปลกตา หากมองจากภายนอกดูเป็นร้านทั่วไปออกจะคร่ำคร่าเสียด้วยซ้ำ
“ปกติไม่ได้ตั้งตรงนี้นี่หน่า แต่ช่างมันเถอะ” สายชลเอ่ยด้วยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ เร่งฝีเท้าปั่นจักรยานคู่ใจ หันซ้ายแลขวาแล้วข้ามไปจอดยังหน้าร้านในทันที แต่แล้วเมื่อหยุดยืนหน้าร้านเขากลับรู้สึกประหม่าระคนหวาดหวั่นอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สายชลมั่นใจว่าความรู้สึกที่ก่อในใจครั้งนี้ไม่ใช่ของตนอย่างแน่นอน
“พี่สายฟ้า โอเคใช่ไหม”
“อื้อ โอเค” สายฟ้าในเวลานี้สีหน้าไม่โอเคอย่างที่เขาได้ตอบน้องชายไป ความหวาดหวั่นแล่นปราดเข้ากลางอกของเขาอย่างจัง!
สายชลระบายรอยยิ้มน้อย ๆ เดินนำพี่ชายแล้วผลักประตูเข้าไป วูบหนึ่งส่งให้เขาย้อนนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักร้านแห่งนี้ ครั้งที่สอง และครั้งต่อ ๆ มา จากวันแรกกระทั่งวันนี้ ชีวิตเขาได้เดินทางมาไกลเหลือเกิน ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าที่วันนี้เขายังมีลมหายใจ ได้ฟื้นคืนชีวิตราวกับปาฎิหาร์ ทว่าผู้ที่ร่วมรับเคราะห์กรรมในคราวนี้กลับเป็นพ่อของเขา ‘พ่อ’ ที่ไม่เคยมีพื้นที่หลงเหลือในความทรงจำ
กรุ๊งกริ๊ง
กระพรวนที่ห้อยระย้าไว้ที่หน้าประตู กระทบกับกระจก ส่งเสียงแหลมกังวลใส พร้อมกับเพลงบรรเลงคลอเคล้ากลิ่นอะโรม่าที่แปลกทว่าแสนคุ้นเคย
“หอมเหมือนเดิมเลย” สายชลเอ่ยราวกับคนละเมอเคลิบเคลิ้ม “พี่สายฟ้าคิดว่าเป็นกลิ่นอะไรบ้างหอมหวาน เบาบาง ชวนให้ผ่อนคลายแต่ทำให้รู้สึกพิศวงในเวลาเดียวกัน”
“พลับพลึงซ้องร้องเรียกคร่ำครวญหา บุษบามะลิซ้อนไซร้ปลอบขวัญ
วานิลลานวลน้องชื่นชีวัน หวนพบกันปาริชาตแผ่กำจาย”
สายฟ้าเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ใบหน้าละม้ายคล้ายกันทว่าแววตากลับมีความต่าง
“เมื่อกี้พี่ขับกลอนเหรอ” สายชลทักอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“กูก็...ไม่รู้เหมือนกัน มันวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนรู้จักกลิ่นนี้เป็นอย่างดี และกลอนนี้เคยแต่งเมื่อนานมาแล้ว แต่จริง ๆ กูก็เคยได้กลิ่นที่นี่เป็นครั้งแรกนะ” สายฟ้าเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตาพลางสอดส่องร้านกาลเวลาราวกับคนที่กำลังจ้องจับผิด
“ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีก เราดีใจจริง ๆ ที่ท่านยังจำกลอนบทนี้ได้”
เสียงที่แสนคุ้นเคยส่งให้สายฟ้าหัวใจหวามไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน แววตาเปล่งประกายระยับก่อนจะถลึงตาใส่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“คุณรุจ สวัสดีครับ” สายชลเอ่ยทักด้วยสีหน้าสดใส
“เป็นยังไงครับ พบสิ่งที่ตามหาแล้วหรือยัง” เจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวไปหยิบถาดกาน้ำชามาไว้ในมือ ปล่อยให้สายชลตกอยู่ในห้วงความคิด สายตาเหม่อลอยทว่าเต็มไปด้วยความไร้กังวล แตกต่างจากแฝดผู้พี่ที่สีหน้าราวกับยักษ์ปักหลั่นอย่างไรอย่างนั้น
สายฟ้าถอดหายใจยาวก่อนจะเดินตรงไปยังหลังเคาท์เตอร์ราวกับคุ้นเคยที่แห่งนี้ดี “เดี๋ยวผมยกให้เอง คุณไปนั่งพักเถอะ”
คุณรุจกระตุกยิ้มอย่างเอ็นดูเล็ก ๆ เขาพยักหน้ารับ หันไปหยิบแก้วน้ำชาเพิ่มอีกใบ
“อ่ะ ทำไมถึงหยิบแก้วเพิ่มละ”
“แขกพิเศษกำลังมาถึง” เจ้าของร้านกาลเวลาเอ่ยตอบสั้น ๆ ทว่าทำเอาสองพี่น้องขมวดคิ้วยุ่งด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่สายชลจะได้เอ่ยปากถามออกไป เสียงกระพรวนที่ห้อยไว้หน้าประตูก็ได้ทำงานเต็มความสามารถของมันอีกครั้ง
กรุ๊งกริ๊ง เสียงใสดังกังวาลอันเป็นเอกลักษณ์ให้รู้ว่ามีแขกพิเศษกำลังมาเยือน...
“หนู...แอบมาเที่ยวเล่นไม่ชวนพี่เลย”
“พี่ไทม์ / ไอ้พี่ไทม์” เด็กแฝดทั้งสองคนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
“พี่ไทม์มาได้ยังไงครับ”
“ขี่จักรยานตามเด็กดื้อมายังไงหล่ะครับ” ไทม์พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ผิดกับสายฟ้าที่มองคนมาใหม่ด้วยท่าทางเหนื่อยใจ
“เชิญห้องโถงด้านในครับ” เจ้าของร้านกาลเวลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผายมือไปยังด้านในสุดของร้าน
สายชลเพ่งไปยังทางที่คุณรุจบอก กลับเจอแต่ชั้นหนังสือและตู้โชว์สินค้าเรียงราย ‘ไม่เห็นมีห้องโถงแบบที่คุณรุจบอกเลย?’ แต่แล้วสายฟ้าที่กำลังถือถาดน้ำชาแล้วเดินนำทุกคนไปยังสุดทางของร้าน เขาวางถาดลงบนหลังตู้ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นบนสุดออกมาแล้วสลับวางยังชั้นที่ 3 แล้วทำเช่นนี้แต่สลับที่กันไปมาจนคนที่มองตามอย่างเขาก็ไม่สามารถจำได้ สายฟ้าถอยหลังออกมาสองก้าวหันไปหยิบถาดน้ำชาไว้ในมือ เบื้องหน้าที่สายชลเห็นปรากฏเป็นห้องลับ ชั้นหนังสือขยับออกจากกันเป็นทางเล็ก ๆ พอให้พวกเราเรียงตัวเดินเขาไปได้
เส้นทางเบื้องหน้าเป็นทางมืดสลัวมีเพียงแสงวูบไหวจากโคมเทียนสองข้างทาง พื้นปูด้วยพรมสีแดงก่ำขลิบทอง ผนังตกแต่งด้วยภาพจากทั่วทุกมุมโลก แต่คนที่นำมันมาแขวนอาจเป็นคนที่ไม่มีรสนิยมมากนัก เพราะแต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่ดู ‘ไม่เข้ากัน’ สายชลที่รู้สึกกลัวขึ้นมานิด ๆ จึงเลื่อนมือไปจับพี่ไทม์เอาไว้แน่น
ไทม์โน้มใบหน้าลงมากระซิบกับคนรัก “ที่นี่มันที่ไหน หนูเคยมาไหม”
“ร้านนี้เคยมาครับ แต่ตรงนี้เพิ่งเคยมาครั้งแรก”
“แต่ดูเหมือนสายฟ้ารู้จักที่นี่ดีเลยนะ”
สายชลที่ฟังคนรักเอ่ยเช่นนั้นก็เห็นพ้องต้องกัน ทว่าเขากับไม่เอ่ยตอบทำเพียงเดินตามคุณรุจและพี่ชายไปเท่านั้น เพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้น พวกเราก็มาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูไม้ที่แกะสลักลวดลายวิจิตร
คุณรุจนำกุญแจโบราณขึ้นมาแล้วไขเพื่อปลดล็อกประตู ด้านในดูเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม มีมุมนั่งเล่นสำหรับจิบน้ำชา บานหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดเอาไว้ ทว่ามุมหนึ่งของม่านกลับเห็นด้านนอกสร้างความประหลาดใจแก่เขายิ่งนัก ‘นั่นไม่ใช่แถวบ้าน แต่เป็นที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งไม่คุ้นตา’
“เชิญทุกคนนั่งก่อนครับ” จิรัฐิติกาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงยะเยือก ทิ้งตัวลงยังโซฟาหลุยซ์สีครีมประดับเพชรวาววับ
“ตอนนี้ทั้งสองคนคงพอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ”
“คิดว่าน่าจะ...นะครับ” สายชลเอ่ย ในขณะที่พี่ไทม์จ้องคุณรุจไม่ละสายตา
“ก่อนที่จะเข้าเรื่องเชิญทุกคนดื่มน้ำชานี้ก่อนครับ”
เจ้าของร้านกาลเวลารินน้ำชาให้ทุกคน โดยเฉพาะไทม์ที่ได้แก้วใบที่แตกต่างจากผู้อื่น ทุกการกระทำของคุณรุจอยู่ในสายตาของสายฟ้าสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก เพราะคุณรุจเป็นคนที่เนี้ยบพอสมควร การที่หยิบแก้วเพิ่มแต่ตัวแก้วมีลักษณะที่ต่างกัน นั่นค่อนข้างผิดวิสัยของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทว่าสายฟ้าก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เพราะเขาคิดว่าคุณรุจคงมีเหตุผลของตัวเอง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ไทม์ก็หมดสติผล็อยหลับไป
“พี่ไทม์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” สายชลเขย่าร่างเขย่าเบา ๆ
“เขาไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็ตื่น” รุจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย
“คุณวางยาเหรอ”
เจ้าของร้านแค่นหัวเราะพร้อมกับลุกไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง หยิบกริชแห่งนิรมิตรัตติกาลพร้อมกับลูกแก้วสัจธรรมออก สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่กพลางขมวดคิ้วแน่น วูบหนึ่งรู้สึกเจ็บแปลบลึกร้าวจนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกด้านซ้าย
“ลูกแก้วนี้...ทำไมยังอยู่ที่คุณ” เป็นสายฟ้าที่ชิงถามออกไป ถึงเขาจะคุ้นเคยกับเจ้าของร้านกาลเวลามาตั้งแต่จำความได้ หากจะพูดถึงเรื่องแปลกประหลาดระหว่างเราสองคนพี่น้อง เห็นจะเป็นการที่สายชลได้ข้ามเวลาไปยังอนาคต ส่วนเขาย้อนเวลาไปยังช่องว่างของเวลาหวนกลับมายังร้านกาลเวลาแห่งนี้
“ของสองสิ่งนี้อยู่กับเรามาเสมอ” แล้วสายตาของจิรัฐิติกาลก็มองไปยังคนที่พริ้มหลับไม่ได้สติ “ทั้งสายฟ้าและสายชลต่างก็เคยเป็นดวงจิตเดียวกัน เช่นเดียวกับเราที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กริชนี้แบ่งดวงวิญญาณเพื่อนำดวงจิตของเราไปเกิดยังโลกมนุษย์ได้ดูแลทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ ทว่าอานุภาพของน้ำยาอมฤตรสนั้นได้กัดกินพลังเวทย์รวมถึงทำให้โชคชะตาพวกเราบิดเบี้ยว แทนที่เราจะได้พบกันอีกครั้งในช่วงวันนี้เวลานี้ เพื่อทำพิธีหลอมรวมวิญญาณเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่แล้วสายชลก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเสียชีวิตลงไป เมื่อผู้หนึ่งที่เคยผูกสัญญาเลือดไม่ตรงตามเงื่อนไข การหลอมรวมจิตวิญญาณก็ไม่สามารถทำได้”
“แล้วถ้าเราสองคนไม่หลอมรวมกันหล่ะ” สายฟ้าเอ่ยถามพลางถอดถอนหายใจยาว สีหน้าฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือทั้งสองสั่นเทาไปด้วยความกลัว
“ดวงจิตของทั้งสองคนจะเชื่อมถึงกัน รับความรู้สึกและชะตากรรมร่วมกัน”
“มึงล่ะ อยากรวมไหม”
“หลอมรวมแล้วยังไง ไม่หลอมรวมแล้วยังไง?” สายชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปจากเดิม ชาดอกไม้ที่เจ้าของร้านให้ดื่มในครั้งนี้ทำให้ความทรงจำบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในสมอง ทว่าจิตใจของเขากับลุ่มลึกราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
“พูดอะไรให้มันเข้าใจได้หน่อยได้ไหม สายชล” พี่ชายฝาแฝดเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
“แสดงว่า... คุณตั้งใจให้เรามาหาครั้งนี้ เพื่อจะทำพิธีหลอมรวมวิญญาณแล้วปลดผนึกคุณออกจากร้านแห่งนี้ใช่ไหม?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”
แล้วจู่ ๆ สายฟ้าก็ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าฉายความขุ่นเคืองระคนผิดหวัง “คุณมันคนเห็นแก่ตัวนึกจะทำอะไรกับเราก็ทำอย่างนั้นเหรอ สิ่งที่คุณอยากทำก็เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้น ผมผิดเสียใจ ที่ผ่านมาเคยรู้สึกดี ๆ กับคุณ สุดท้ายคุณก็ทำเพื่อตัวเอง เคยคิดบ้างไหมว่าไอ้ไทม์ และเราสองพี่น้องจะเป็นยังไง? คุณก็แค่ทำเพื่อให้สุชัจจ์ชลคนรักของคุณกลับมา” สายฟ้าพรั่งพรูสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ แล้วหยาดน้ำอุ่นพลันไหลอาบสองแก้ม นัยน์ตาแดงก่ำ เนื้อตัวสั่นเทิ้มจากการสะกดกลั้นความช้ำที่มี ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างคนตรงหน้า ส่งให้เขาไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่มากมายนั้นเอาไว้
จิรัฐิติกาลเข้าไปสวมกอดสายฟ้าจากด้านหลัง “ไม่ใช่เช่นนั้น นายเข้าใจผิด”
“ก็บอกมาสิ จะได้เข้าใจให้ถูก”
“พิธีหลอมรวมจิตวิญญาณทำเพื่อปลดผนึกเราที่มีต่อร้านกาลเวลาน่ะใช่ แต่ด้วยความผิดที่เราก่ออย่างไรก็จำต้องดูแลร้านกาลเวลาแห่งนี้ไปอีกหลายปีนัก”
“แล้วจะทำเพื่ออะไร?”
“เพื่อให้การเกิดในคราหน้าดวงจิตจะไม่แตกแยกออกจากกัน โชคชะตาและสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราจะไม่มีบิดพลิ้ว เมื่อถึงคราวนั้นเราให้นายเป็นผู้เลือกเองว่าอยากอยู่กับเราหรือจักเดินตามทางของตัวเอง”
สายฟ้าจิกเกร็งมือแน่น เมื่อมั่นใจว่าความรักที่เขามีให้เจ้าของร้านกาลเวลาก็ไม่น้อยไปกว่าแน่นอน หากเขาจักหลอมดวงจิตแล้วสายชลเล่าจะเป็นเช่นไร เพราะเขารู้แจ้งแก่ใจดีว่าดวงจิตของน้องต้องกลับมารวมกับของตน เช่นเดียวกับไทม์ที่ต้องกลับคืนสู่แก่นจิตวิญญาณของจิรัฐิติกาล
สายชลดึงฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อเย็นเยียบของสายฟ้าไปกุมเบา ๆ “ไม่ว่าน้องจะอยู่ที่ไหน น้องมีความสุขมากแล้วที่ได้รู้จักพี่สายฟ้า ความแข็งแกร่งของพี่ที่ปกป้องน้องมาตลอด พี่สายฟ้าตัดสินใจได้เลยน้องไม่คิดเสียใจภายหลัง”
“ถึงการตัดสินใจนั้นจะทำให้ตัวตนของน้องสลายไปน่ะเหรอ”
สายชลเลื่อนฝ่ามือบางไปแตะที่หัวใจของสายฟ้า อีกข้างหนึ่งกุมที่หน้าอกของตัวเอง “น้องจะไม่สลายหายไปไหน แต่น้องยังคงอยู่ในนี้” แฝดน้องระบายรอยยิ้มอ่อน นัยน์ตาไม่มีความกังวลใด ทว่ายังเป็นสายตาของคนที่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองอย่างที่สุด
“หากผมเลือกไม่หลอมรวม แล้วคุณจะเป็นยังไง?”
คุณรุจหัวเราะในลำคอ “เราก็ไม่เป็นเช่นไร ยังคงเป็นแบบนี้เสมอเพียงแต่ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกไม่ได้หากไม่มีนกหวีดห้วงมิติเพื่อเป็นการหยุดรั้งทุกสรรพสิ่งและให้ประตูร้านกาลเวลาเปิดออก”
“แต่คุณรุจเคยบอกว่านกหวีดนั่นใช้ได้ 5 ครั้ง แต่ถูกใช้งานไปแล้ว 2 ครั้ง ไม่สิ 3 ครั้งเพราะวันนั้นพี่ไทม์ใช้เพื่อช่วยชล แสดงว่านกหวีดที่คุณให้ยังใช้ได้อีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น” สายชลพูดพลางเสตาไปที่นกหวีดห้วงมิติที่ทำเป็นจี้อยู่บนคอของไทม์
“ใช่ เรื่องเหล่านี้วนเวียนเช่นนี้ซ้ำกันมาสามครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ผมทำสำเร็จ จะเรียกเช่นนั้นก็ไม่ถูก ครั้งนี้ไทม์ทำสำเร็จ สายชลถึงยังมีชีวิตรอดมาอยู่ตรงนี้”
“วนลูปมา 3 รอบเชียวเหรอ เฮ้อแค่ฟังยังเหนื่อยเลย คุณรุจคงรักพี่สายฟ้ามาเลยใช่ไหม”
“เขาไม่ได้รักกู เขารักสุชช์ชลต่างหาก” สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ไม่ว่าคุณจะเกิดอีกสักกี่ชาติภพ ก็จะรักเพียงคุณผู้เดียวเท่านั้น” คุณรุจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความจริงจังชนิดที่ไม่สามารถปิดบังได้มิด
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด วันนี้ผมจะไม่ทำพิธีแต่ผมกับน้องจะถอนผนึกให้ในวันสุดท้ายที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่”
“ไม่ว่าอย่างไรเรายินดีในทางที่นายเลือก สายฟ้า”
“วันหนึ่งที่เราโตกว่านี้ดูแลคุณได้กว่านี้ ผมจะมาอยู่กับคุณที่ร้านแห่งนี้ตราบจนวันปลดผนึกจะหวนมาถึงอีกครั้ง” สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขารู้ดีว่าเวลาในร้านแห่งนี้เมื่อเทียบกับเวลาจริงในโลกมนุษย์แตกต่างกันจนทำให้เขาเลือกจะทำเช่นนี้ได้
“แล้วนายจักเสียใจ”
“ผมไม่มีวันเสียใจ”
เจ้าของร้านกาลเวลาโผเข้ากอดสายฟ้าด้วยความคะนึงหาจากสุดขั้วหัวใจ “เราจะรอวันนั้นนะ”
“นะ นี่มันอะไรกัน ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ไทม์ขยับตัวนั่งให้ตรง
“เวลาที่ร้านแห่งนี้น่าจะจบลงแล้ว คนจากด้านนอกกำลังตามหาพวกคุณอยู่”
คุณรุจเอ่ยด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม นัยน์ตายังคงมีหยาดน้ำเอ่อล้นคลออยู่ในนั้น ก่อนจะพาแขกพิเศษออกไปยังหน้าร้านทั้งที่ยังคงกุมมือสายฟ้าเอาไว้แน่น
สายชลมองดูความรักที่คุณรุจกับสายฟ้ามีให้กันก็สะท้อนหัวใจ เขาโชคดีกว่าสองคนนั้นมาก แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ผ่านอุปสรรคไม่น้อย ได้ลองไปใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ตัวเองยังเป็นแค่เด็กผู้ชายคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ต้องขอบคุณโชคชะตาที่บิดเบี้ยวและร้านกาลเวลาแห่งนี้ที่ทำให้เขาได้เข้าใจถึงชีวิต
ขณะที่ไทม์เดินไปยังฝั่งหนึ่งของร้านหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ “ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้วคุณไทม์เลือกสักชิ้นไหมครับ ถือว่าเป็นของขวัญจากผม”
“อย่านะ / ไม่นะ” ฝาแฝดทั้งสองคนประสานเสียงกันในทันที พลันเปลี่ยนบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อครู่ให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
“พี่ก็แค่ดูเฉย ๆ ของพวกนี้ไม่ใช่แนวสักหน่อย เจ้าสองแฝดตกใจอะไรกัน ทำอย่างของนี่มันจะมีคำสาปหรือเวทมนตร์อย่างนั้นล่ะ” ไทม์เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะตรงไปยังประตูทางออก เมื่อมองออกไปยังนอกร้านท้องฟ้าที่เคยแจ่มจ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มดวงตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้าเข้าไปทุกที นั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ‘ถึงเวลาที่เราต้องเอ่ยลากัน’
“มึงกลับคันพี่ไทม์ก็ได้” สายตาของแฝดคนพี่ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“อื้ม ขับตาม ๆ กันมานะ” ไทม์เอ่ยพร้อมกับคว้าจักรยานรของรีสอร์ตเอาไว้แล้วขึ้นคร่อมตบเบาะด้านหลังปุ ๆ ส่งสายตาหวานให้คนรัก
สายชลเดินเข้าไปประชิดพี่ชายแล้วโอบกอดด้วยความเป็นห่วง “น้องรู้ว่าพี่จะผ่านไปได้ อีกไม่นานพี่จะได้เจอคุณรุจอีกครั้ง น้องเชื่อแบบนั้นนะ”
“อื้ม เมื่อเวลานั้นมาถึงพี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา”
สายฟ้าสบสายตาคุณรุจผ่านกระจกด้านนอก รอยยิ้มที่คนในร้านกาลเวลามอบให้เขามันเป็นยิ้มที่บาดลึกเจ็บหัวใจเสียยิ่งกว่าโดนกริชแห่งนิรมิตรัตติกาลปักลงมาเสียอีก สายฟ้ากระชับอ้อมกอดอุ่นของร่างเนื้อซึ่งเป็นเสี้ยวดวงจิตของเขาไว้แน่น เพราะความรักที่มีให้กับน้องฝาแฝดคนนี้เขาจึงเลือกที่ยังไม่เข้าพิธีหลอมวิญญาณ เลือกที่จะไม่ทำตามหัวใจตัวเอง เพราะไม่มีสิ่งใดจะการันตีความปลอดภัยของสายชลได้
‘หากเขาไม่ปกป้องน้องก็ไม่มีใครจะกางแขนปกป้องสายชลได้’
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?