“พี่ไทม์… เมื่อไรจะเลิกจ้องครับ” สายชลเอ่ยพร้อมกับเขย่าท่อนแขนแกร่งไทม์เบา ๆ
“พี่ไม่ได้จ้อง” เขาพูดทั้งที่สายตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจยังคงมองคนเด็กกว่าไม่วางตา
“แล้วที่มองขนาดนี้คืออะไรล่ะ”
“วันนี้น้องสายชลดูแปลกตา” ไทม์พูดพลางยกยิ้มมุมปาก สายตาพราวระยับ
“ยังไงฮะ แปลกตานี่มันดีหรือไม่ดีกันล่ะ”
“ต้องดีสิ น่ารักแบบเท่ ๆ รีบไปกันดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ทัน”
ไทม์พูดคลุมเครือด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับดูเป็นกังวล “เถอะน่า ไปก่อนเดี๋ยวก็รู้เอง”
วันนี้ไทม์ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำสนิท โดยพาดสูททำงานไว้ที่แขน สิ่งที่น่าสะดุดตากลับไม่ใช่การแต่งกายของเขา แต่เป็นกล้ามอกแกร่งแน่นที่เผยออกมาให้เห็น เนื่องจากปลดกระดุมออกหลายเม็ด ราวกับโรงงานลืมเย็บกระดุมติดมาอย่างไรอย่างนั้น
คนโตกว่าพาสายชลเดินห่างออกมาจากตัวห้างสรรพสินค้าไปค่อนข้างไกล กระทั่งออกมายังโซนด้านนอก สายลมแรงปะทะผิวกายพร้อมกับภาพเบื้องหน้าเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ระลอกน้ำสะท้อนกับแสงไฟจากริมฝั่งทอประกายวับวาว ไทม์ถือโอกาสโอบเอวคนตัวเล็กทั้งที่ยังนิ่งขรึมก่อนจะตรงไปยังท่าเรือ แม้สายชลจะไม่ได้ทักท้วงแต่ในใจก็เต็มไปด้วยความสงสัย
บรรยากาศที่รายล้อมรอบตัวส่งผลโดยตรงกับหัวใจของสายชลให้ทำงานหนักมากกว่าที่เคยเป็น สายชลเดินตามไทม์ขึ้นมายังเรือสำราญเพื่อดินเนอร์ยังส่วนของดาดฟ้าเรือชั้นสอง เมนูอาหารที่นี่มีมากจนเด็กชอบกินอย่างสายชลตื่นเต้นเก็บอาการไม่อยู่ ทว่าเขากลับสังเกตเห็นสายตาของไทม์ที่วันนี้ดูแปลกไปจากเคย
‘หรือว่าพี่ไทม์มีเรื่องสำคัญบางอย่างจะบอกผมอย่างงั้นเหรอ ดูจริงจังผิดหูผิดตา ทำไมผมรู้น่ะเหรอ คนอย่างพี่ไทม์น่ะเหมือนจะดูออกยากนะ แต่ถ้าลองจะปิดบังอะไรผมสักอย่างไม่มีหรอกที่ผมจะไม่รู้ แต่ว่าเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไรกันนะ สำคัญจนทำให้พี่ไทม์คิ้วขมวดชนกันเชียวเหรอ ?’ สายชลตกอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่สายตาทอดไปยังเมนูอาหารมากมายที่อยู่ภายในสมุดเมนู
“อาหารนานาชาติน่ะ”
“น่ากินไปหมดเลย พี่ไทม์ลองกินอันนี้สิ น้องว่าน่าอร่อยดีนะ”
“ขนมก็น่ากิน…”
“ใจเย็นก่อนก็ได้ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ เอ๊ะ ลืมไปน้องสายชลยังเด็กนี่เนอะ” ไทม์น้ำพูดเสียงใสใบหน้าคลี่ยิ้มใจดี
“พี่ไทม์จะบอกน้องได้หรือยังครับ ว่าที่พาผมมาดินเนอร์เนื่องในโอกาสอะไร”
“พี่ได้เลื่อนตำแหน่งน่ะ” ไทม์ยกขวดไวน์รินลงในแก้วทั้งสองใบอย่างเนิบช้า
“หึ เลื่อนตำแหน่ง”
ท่านประธานป้ายแดงขยับตัวเล็กน้อย อมยิ้มกริ่มมุมปากอย่างภาคภูมิ “เป็นไง พี่เก่งใช่ไหมล่ะ”
“ครับ พี่ไทม์เก่งที่สุด เลื่อนเป็นประธานบริษัทหรือครับ”
“ใช่แล้ว… ดื่มไวน์เป็นไหม มาฉลองกันหน่อย”
“เอ่อ แต่ว่า…”
“เอาน่า นิดหน่อยไม่เมาหรอก”
สายชลรับแก้วไวน์แดงมาไว้ในมือพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เขารับรู้มาเมื่อครั้งไปห้วงเวลาอนาคต ตอนนั้นเท่าที่สายชลระลึกได้คือ ไทม์จะได้รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัทอีก 3 ปีหลังจากนี้ น่าแปลกที่เหตุการณ์ต่าง ๆ กลับไม่เป็นเฉกเช่นที่เขาเคยรับรู้มา ‘น่าแปลกจัง นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วแบบนี้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องเกิดขึ้นกับคนรอบตัวของผมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกไหม ถ้ามีโอกาสได้เจอคุณรุจ ร้านกาลเวลา อีกครั้งก็คงจะดีเนอะ’ อีกครั้งแล้วที่คนตัวเล็กตกอยู่ในภวังค์ความคิดจนคนตรงหน้าต้องเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับ
“น้องชล พี่เรียกตั้งนาน... คิดอะไรอยู่น่ะวันนี้ถึงเหม่อแบบนั้น”
“เอ่อ… วันนี้พี่ไทม์ดูดีนะครับ” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องและดูเหมือนว่าจะได้ผลเสียด้วย
“เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว”
“แหม พี่ไทม์ถ่อมตัวบ้างก็ได้นะครับ”
“หรือน้องสายชลว่าพี่ดูไม่ดี ก็อย่างว่านะ พี่อาจโตกว่าเราเยอะ น้องชลก็เลยไม่เห็นพี่อยู่ในสายตา” คำพูดที่เหมือนโยนหินถามทางของไทม์ดูเหมือนว่าจะใช้กับสายชลได้อย่างไม่เป็นที่น่าสงสัย
สายชลโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นนะพี่ไทม์ ทำไมพี่คิดแบบนั้น”
“แล้วแบบไหนกันล่ะ”
“แบบไหนอะไรครับ” เด็กหนุ่มพูดย้ำพลางขมวดคิ้วแน่นอย่างคนกำลังเฟ้นหาคำตอบ
“แบบไหนที่จะอยู่ในสายตาน้องชล” ด้วยนิสัยที่ชอบหยอดมุกเต๊าะเด็กของไทม์ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคต้องห้ามนั้นออกไป ทั้งที่ไทม์ตั้งใจจะมาขอเว้นระยะห่างกับเด็กน้อย ตั้งใจจะถอยความสัมพันธ์ระหว่างกัน กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ก้าวขาปล่อยใจให้เข้าใกล้น้องมากขึ้น ถลำลึกปล่อยความรู้สึกดี ๆ ที่ก่อเกิดขึ้นกับน้องจนยิ่งทำให้สับสน
ไทม์รู้แก่ใจดีว่าเขาควรอยู่กับปัจจุบันมากกว่าจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตที่ยังตามหาไม่เจอ แต่ทุกอย่างก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ได้ติดต่อน้องแมวน้อยตั้งแต่กลับมาที่ไทย ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเป็นปีจนมาเจอกับสายชล คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ถึงกับนึกอยากจะตามหาน้องแมวน้อย เป็นเขาเองที่ชะล่าใจเกินไป…
เมื่อสายชลได้ยินคำถามนั้นของคนตรงหน้า อุณหภูมิในกายเริ่มร้อนผ่าวแม้แก้มนวลจะเริ่มแดงก่ำ แต่เด็กหนุ่มก็รวบรวมความกล้าทั้งหมด สบตาไทม์พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่ามีความจริงจังอยู่ในนั้น “ไม่ว่าพี่ไทม์จะเป็นแบบไหน จะเป็นคนขี้เก๊ก เป็นคนอบอุ่น หรือเป็นตาลุงที่เจ้าเล่ห์ ผมก็…”
“ก็… อะไรครับ”
เมื่อสายชลพูดมาถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกคิดถึงตาลุงไทม์คลั่งรักแสนเจ้าเล่ห์คนนั้นจับใจ สายชลรู้ว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายคนเดียวที่เขารัก ทว่าความทรงจำและช่วงเวลาดี ๆ มากมายที่ผ่านมากลับมีแต่เขาเพียงผู้เดียวที่โหยหา
“ไม่ว่าพี่ไทม์จะเป็นแบบไหน พี่ไทม์คือคนเดียวที่น้องรู้สึกพิเศษด้วย และจะมีแค่พี่ตลอดไป”
“พี่ก็รู้สึกดีกับน้องชลนะครับ เพียงแต่…”
“แต่… อะไรครับ” ไทม์แสดงสีหน้าอึดอัดลำบากใจยิ่งกว่าเดิมหลายระดับ เมื่อได้ฟังความรู้สึกของคนตรงหน้า
“หรือพี่ไทม์มีคนในใจอยู่แล้วครับ ถ้าเป็นแบบนั้น... ผมจะได้รู้ว่าควรจะอยู่ตรงไหน”
“พี่เคยติดสัญญาเด็กคนหนึ่งไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะ”
สายชลอมยิ้มกริ่มแต่ก็ยังแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ไทม์พูด “แล้วเด็กคนนั้นที่พี่ไทม์พูดถึง... ไปไหนแล้วล่ะครับ”
“พี่ตามหาเขาไม่เจอ…” ไทม์ฝืนยิ้มเมื่อเขานึกถึงเจ้าของคำมั่นสัญญานั้นด้วยความรู้สึกผิด แววตาของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าจนสายชลรู้สึกสะเทือนหัวใจ
“ทำไมล่ะครับ ได้ลองหาเขาแล้วหรือยัง”
“ก็วันนั้นที่เราเจอกันที่หัวหิวนั่นละ”
“ผมหมายถึงก่อนหน้าสิครับ พี่หายไปไหน ทำไมถึงเพิ่งจะมาติดต่อเด็กคนนั้นตอนนี้” สายชลเน้นเสียง สายตาคาดคั้นเอาคำตอบ
นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจสายชลมาตลอด ทำไมเจ้าชายถึงไม่ติดต่อมาบ่อย ๆ เหมือนเคย ทำไมมีแต่เขาที่คิดถึงอยู่คนเดียว ในสมองของสายชลมีแต่คำว่า ‘ทำไม ๆ’ เต็มไปหมด ทว่ากลับถูกหัวใจสั่งแค่เพียงคำว่า ‘เชื่อใจ’ ข้อสงสัยต่าง ๆ ที่อยู่ในหัวล้วนพลันจางหายไป หลงไว้เพียงใจที่รอคอยเจ้าชายด้วยความหวัง
“ก่อนหน้านี้พี่ไปเรียนที่ต่างประเทศ ถึงแบบนั้น... เราก็ยังติดต่อหากันเป็นระยะนะ แต่หลายปีมานี้พี่ผิดเองที่เอาแต่เรียนหนัก และคุณพ่อให้ฝึกบริหารงานที่สาขาด้วย”
“แค่พี่ไทม์ยุ่งก็เลยขาดการติดต่องั้นเหรอครับ หรือว่าพี่เบื่อเด็กคนนั้นแล้ว อย่างว่าอะเนอะคนไม่ค่อยเห็นหน้ากัน เจอกันแค่ตัวอักษร... ผ่านจดหมาย จะไปสู้คนที่ตัวอยู่ใกล้กันได้ยังไง ถ้าลืมกันบ้างก็คงไม่แปลกหรอกเนอะ” สายชลบ่นพึมพำตัดพ้อ
“ไม่มีทาง... พี่ไม่มีวันที่เบื่อเจ้าแมวน้อยนั่นเลย ไม่เคยมีความคิดนั้นเลยสักวัน” คนถูกกล่าวหารีบตอบกลับทันควัน ก่อนจะนึกได้ว่าเขายังไม่เคยบอกสายชลถึงช่องทางการติดต่อของเด็กคนนั้น แล้วสายชลรู้ได้อย่างไรกัน ?
“แล้วพี่ไทม์คิดว่าจะทำยังไงต่อล่ะ”
“ก็คงตามหาไปเรื่อย ๆ มั้ง”
“งั้นแบบนี้ที่ผ่านมา… ระหว่างผมกับพี่คือยังไงล่ะ”
ไทม์อึดอัดใจลำบากใจ เขาถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยกับสายชลด้วยความจริงใจระคนรู้สึกผิด “เพราะแบบนี้พี่ถึงไม่อยากปิดบังสายชลอีกต่อไป... พี่ยอมรับว่านอกจากเด็กคนนั้นแล้ว ในชีวิตนี้พี่ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อนเลยนะ แต่พี่ไม่อยากทำผิดคำสัญญาและทรยศใจของตัวเอง” แม้ไทม์จะตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักไปบ้าง แต่คนฟังกลับเห็นได้ถึงความตั้งมั่นของเขาที่ยึดมั่นในคำสัญญา
“นี่พี่ไทม์กำลังจะบอกผมว่า พี่ไม่ชอบผมงั้นเหรอ” สายชลหรี่ตาถามย้ำคนตรงหน้า
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่…”
“หรือพี่ไทม์มองผมเป็นแค่ตัวแทนของเด็กคนนั้นเหรอ ?”
“แบบนั้นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย… พี่ยอมรับนะว่าพี่รู้สึกดีกับสายชลมาก ดีจนพี่สับสน แต่พี่ตัดสินใจแล้วว่า...”
ไทม์ใช้มือที่ชื้นเหงื่อจากความกังวลกุมมือสายชลอย่างอ่อนโยน “พี่ขอโทษนะถ้าที่ผ่านมาทำให้น้องสายชลเข้าใจพี่ผิด ทุกอย่างพี่ทำจากความรู้สึกจริง ๆ แต่พี่คงไม่อาจพัฒนาความสัมพันธ์กับใครต่อได้ จนกว่าจะเจอเด็กคนนั้น”
“แหม พี่ไทม์นี่ดูใจแน่วแน่จังเลยนะครับ ใจร้ายที่สุด แบบนี้ก็เท่ากับว่าผมโดนเทตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยใช่ไหมครับ” สายชลตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ ผิดกับคนตรงหน้าที่ถอนหายใจจนนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่ขอโทษน้องสายชลจริง ๆ”
“แล้วถ้าพี่ไทม์ตามหาเด็กคนนั้นเจอ พี่ไทม์อยากจะบอกอะไรเขาล่ะ”
“พี่ก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็คงจะขอโทษที่ขาดการติดต่อไปนาน”
สายชลเห็นว่านี่มันคงถึงเวลาที่ต้องพูดความจริง เหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้าของเขาทำให้พบว่า การปล่อยให้โอกาสและเวลาผ่านไปเพียงเพราะคำว่ารอไปก่อนนั้น นอกจากไม่ช่วยให้เกิดผลดีอะไรแล้ว หนำซ้ำอาจจะสายเกินกว่าที่จะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดี ๆ เหล่านั้นไว้ เพราะเวลาของเขาอาจเหลืออีกไม่มาก สู้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วันเพื่อจะไม่เสียใจในภายหลังดีกว่า เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้า พร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ว่างกอบกุมมือไทม์ไว้แน่น แล้วพรูลมหายใจออกอย่างช้า ๆ “งั้นผมมีของขวัญบางอย่างจะให้พี่ไทม์ด้วยครับ”
“ฮึ ?”
“ถ้าน้องจะบอกว่า น้องคือแมวน้อย... เด็กผู้ชายคนนั้นที่พี่ไทม์ตามหา พี่ไทม์จะเชื่อผมไหม ?” ในที่สุดสายชลก็พูดคำนั้นออกไปด้วยหัวใจที่เต้นดังโครมครามจนกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน
“นะ… น้องสายชล อย่าเอาเรื่องจริงจังแบบนี้มาพูดเล่นสิพี่ไม่ตลกนะ”
“ผมว่าแล้วพี่จะต้องไม่เชื่อ”
สายชลแย้มรอยยิ้มกริ่ม แล้วมองท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดของคนตรงหน้า เขาไม่แน่ใจว่าไทม์จะตั้งรับได้ทันหรือจะถอยหนีไป ทว่าในตอนนี้สายชลกลับรู้สึกโล่งใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สิ่งที่ค้างคาใจมานานได้ถูกเผยออกมาเสียที
“เป็นไปได้ยังไง ?” ไทม์พึมพำราวกับคนละเมอทั้งที่ยังไม่ได้หลับ
“อื้ม... มันเป็นไปแล้ว”
ขณะที่เสียงดนตรีแจ๊ซกำลังบรรเลงคลอเคล้าบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ท่านประธานป้ายแดงที่นั่งหน้าหล่ออยู่ตรงหน้าสบสายตากับสายชลด้วยอาการตะลึงพรึงเพริด ในขณะที่เด็กหนุ่มยกไวน์ขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสบาย ๆ
“นี่… น้องสายชล เรื่องนี้พี่จริงจังนะ เล่นแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะครับ” ถึงเสียงที่ไทม์เอ่ยออกมานั้นจะราบเรียบ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองชนิดที่สายชลรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
สายชลคว้ามือของคนตรงหน้าที่กำหมัดไว้แน่นแล้วค่อย ๆ คลายฝ่ามือแกร่งนั้นออกอย่างช้า ๆ สัมผัสแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงนั้นถูกแสดงออกผ่านการกระทำของเขา สายชลสบตาไทม์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“พี่ไทม์… น้องพูดความจริง”
“แล้วจะให้พี่เชื่อได้ยังไง ในเมื่อเรารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว เจอกันตั้งหลายรอบ แถมยัง…” ไทม์ว้าวุ่นใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สายตาเขาหลุบลงไปมองที่ริมฝีปากของน้องแล้วย้อนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกสับสน
“ถ้าน้องสายชลเป็นแมวน้อยคนที่พี่ตามหาจริง ๆ ทำไมเราเพิ่งบอกพี่ล่ะ ทั้งที่เราก็เจอกันหลายครั้งแล้ว” ไทม์พูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ สายตาที่เคยมองสายชลด้วยความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังระคนสับสน
“เอ่อ… คือ” สายชลละล่ำละลัก ถอนหายใจยาว ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกความจริงกับไทม์ แต่เพราะใจเขาเองที่ไม่กล้าพอ อีกทั้งยังไม่เห็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างวันนี้
“ทำไมล่ะ… เงียบทำไม” คนแก่กว่าตวาดเสียงดัง นัยน์ตาแข็งกร้าวจนสายชลหัวใจหวามไหว เขาพยายามสะบัดแขนออกจากการกุมมือที่บีบนวดเบา ๆ เป็นระยะของสายชล ทว่านัยน์ตาที่เคยใสแป๋วของคนตรงหน้า กลับมีหยาดน้ำตาคลอรื้นเต็มดวงตา ส่งผลให้เขาไม่กล้าพอที่จะสะบัดมือออก ทำได้เพียงเสตามองไปทางอื่นอย่างกรุ่นโกรธ ตอนนี้ไทม์ไม่แน่ใจแล้วว่าเขาถูกสายชลปั่นหัวหรือเรื่องที่พูดมานั้นเป็นเรื่องจริง เขารู้สึกเพียงความสับสนที่ทำให้กลัดกลุ้มและว้าวุ่นใจ
“พี่ไทม์… อย่าเพิ่งโกรธน้องสิครับ”
เมื่อสายชลเห็นท่าทางของไทม์ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นนั้นยิ่งทำให้เขากลัวจะสูญเสียไทม์ไป
“ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าน้องไม่อยากบอกนะ… แต่”
“แต่อะไร”
“แต่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะ ๆ”
“แล้วโอกาสไหนที่เหมาะล่ะ ตั้งใจจะปิดบังพี่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้หรือยังไง”
“พี่ไทม์ครับ ใจเย็นก่อนนะ” สายชลเอ่ยน้ำเสียงอ่อนทั้งที่หลุบสายตาลงต่ำแล้วหยดน้ำตาใส ๆ ก็ไหลอาบสองแก้ม
ไทม์จ้องหน้าสายชลตาเขม็งก่อนจะถอนหายใจยาว ถึงเขาอยากจะโกรธเคืองเด็กหนุ่มมากเท่าไร ทว่าตากลมโตน่ารักของคนตรงหน้าที่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้าก็ทำให้เขารู้สึกว่า ‘โกรธไม่ลง’
“พี่ไทม์… น้องขอโทษ อย่าเคืองผมเลยนะ”
สายชลสบตามองไทม์ด้วยสายตาเว้าวอน เขาดึงฝ่ามือใหญ่ของไทม์มาไว้ที่ข้างแก้ม ศีรษะกลมเอียงรับมืออบอุ่นของคนตรงหน้าด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“ดูเราทำเข้าสิ อ้อนพี่อย่างกับแมวเลย”
“ก็เพราะผมเป็นน้องแมวน้อยของเจ้าชายไงครับ” สายชลเอ่ยน้ำเสียงหวาน กะพริบตาปริบ ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่คั่งค้างให้เลือนหายไป
“อื้ม” ท้ายที่สุดไทม์ก็แพ้ให้กับลูกอ้อนของน้องแมวน้อยที่ชื่อว่า ‘สายชล’ อีกครั้ง ไทม์แสยะยิ้มร้ายเมื่อคิดแผนการแกล้งน้องออก เขาหรี่ตามองสายชลด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ
“ทำไมพี่ไทม์ทำหน้าแบบนั้น พี่ไม่เชื่อผมเหรอครับ”
“จะว่าไปแล้ว คำพูดน่ะใครก็พูดได้ หนูมีหลักฐานไหม ว่าน้องสายชลเป็นคนเดียวกันกับคนที่พี่กำลังตามหา”
“พวกจดหมายที่เราเคยเขียนหากันน้องไม่ได้เอามาด้วยน่ะสิ”
ไทม์ลอยหน้าลอยตา
“งั้นที่แอบอ้างมาอาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”
“โธ่ พี่ไทม์ คิดอะไรอยู่เนี่ยน้องก็เป็นแมวน้อยจริง ๆ จะไปแอบอ้างเพื่อ…” สายชลเน้นเสียงแล้วเขาก็เริ่มหงุดหงิดเล็ก ๆ เมื่อไทม์กล่าวหาว่าเขาแอบอ้างเป็นคนที่ไทม์ตามหา
“งั้นน้องสายชลต้องบอกเรื่องที่มีแต่เรารู้แล้วละ”
“เมื่อก่อนเราจะได้เจอกันทุก ๆ ปิดเทอม พี่ไทม์แวะมาเล่นกับน้องที่หาดบริเวณหน้ารีสอร์ต และเราก็เขียนจดหมายหากันตลอด… ไม่สิ น้องเขียนหาพี่ไทม์ตลอดตั้งแต่สมัยประถม ขึ้นมัธยม แต่หลัง ๆ พี่ไทม์ไม่ตอบจดหมายผมเลย” สายชลเล่าด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“เอ่อ…” สายตาไทม์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เป็นตัวเขาเองที่ละเลยน้อง แต่จดหมายของน้องแมวน้อยทุกฉบับเขาเก็บไว้เป็นอย่างดีมาตลอด
“พี่ไทม์อย่าหายไปจากน้องอีกนะ” สายชลจ้องตาคนตรงหน้าตาแป๋ว
“เราก็แชทคุยกันทุกวันอยู่แล้วนี่” ไทม์มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบอย่างพยายามเก็บอาการ
“แต่เมื่อกี้… พี่ไทม์เพิ่งบอกว่าอยากจะห่างกับน้องนี่ครับ”
“ก็…”
“หรือเรื่องที่ผมเล่ามันยังน้อยเกินไป พี่ไทม์อาจไม่เชื่อผม” แล้วสายชลก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะย้อนนึกถึงคำที่ไทม์เคยบอกเขาเมื่อตอนที่อยู่ห้วงอนาคต อาจเป็นเพราะไทม์รู้อยู่แล้วว่า ตัวเขาในเวลานี้จะต้องไม่เชื่อแค่เพียงคำพูดเลื่อนลอยของน้องแน่ ๆ
“พี่ไทม์เคยซื้อแหวนทองคำขาวลายหูแมวจากเงินเดือนก้อนแรก แต่งานของพี่น่ะยุ่งมากก็เลยไม่ได้แวะมาหาผมที่หัวหิน พี่ไทม์เก็บแหวนวงนั้นไว้ในกล่องกำมะหยี่สีดำ ล็อกรหัส 2549 เอาไว้ในกล่องไม้โบราณของคุณย่าครับ”
“เฮ้ย… น้องสายชลรู้ได้ยังไง พี่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยนะ” ไทม์ตกตะลึงพรึงเพริดจ้องมองสายชลตาแทบไม่กะพริบ เรื่องนี้เขายังไม่เคยบอกใครเสียด้วยซ้ำ ‘อย่างน้อยก็มีไอ้ราเชนทร์คนหนึ่งละที่รู้ แต่มันก็ไม่น่าจะรู้จักกับน้องสายชลนี่นา’ ยิ่งไทม์คิดเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่าเหตุใดน้องแมวน้อยถึงรู้เรื่องนี้ ทั้งยังรู้เรื่องที่เก็บแหวนรวมถึงรหัสปลดล็อกด้วย ยิ่งคิดเขาก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
สายชลดึงมือทั้งสองข้างของไทม์มากุมเอาไว้แน่น “น้องรู้ว่าพี่ไทม์อาจสงสัยว่าทั้งหมดนี่ผมรู้ได้ยังไงใช่ไหมฮะ เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก… น้องอยากให้พี่ไทม์เชื่อใจ ไว้ใจน้องเหมือนที่ผ่านมาจะได้หรือเปล่าครับ”
เสียงออดอ้อนของสายชลทำให้ท่านประธานหนุ่มใจอ่อนอีกครั้ง อันที่จริงแค่เป็นคนตรงหน้า ถึงเด็กหนุ่มจะไม่เอ่ยปากออกมา เขาก็ใจอ่อนทุกครั้งไป ในตอนแรกไทม์ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าสายชลเป็นคนคนเดียวกับน้องแมวน้อย ความสงสัยของไทม์ก็คลายลงอย่างง่ายดาย ‘เขายอมให้สายชลแล้วทุกอย่าง คิดถึงเหลือเกิน’ ไทม์ได้แต่คิดเช่นนั้นอยู่ในใจ
“ถึงพี่แปลกใจที่เรารู้แม้กระทั่งรหัสปลดล็อก แต่ก็จริงอย่างที่หนูพูดนั่นละ ทุกอย่างมันไม่สำคัญไปกว่าเรื่องที่เราได้พบกันอีกครั้ง”
เมื่อสายชลรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ขุ่นเคืองเรื่องที่เขาปิดบังความจริงที่ว่าเขาคือน้องแมวน้อย สายชลก็ถึงกับยิ้มแป้นจนตาหยี
“แต่… ถึงพี่จะยอมรับ แต่ก็ยังเคืองอยู่นะ”
“พี่ไทม์ครับ อย่าเคืองผมเลย”
ไทม์กระตุกยิ้มอย่างคนที่มีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ “งั้นน้องต้องไถ่โทษแล้วละ”
“พี่ไทม์อยากให้น้องทำอะไรบอกมาได้เลยครับ”
“อื้ม…” คนแก่กว่าทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มกริ่ม
“พี่ก็ยังไม่รู้ แต่พี่ขอติดเอาไว้ก่อนนะครับ”
จู่ ๆ ไทม์ก็ลุกขึ้นแล้วโน้มใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะฉวยจุมพิตอ่อนโยนที่หน้าผากมนของสายชล
“ทะ… ทำอะไรครับพี่ไทม์ คนเยอะแยะ” สายชลหันรีหันขวางมองรอบตัว ก่อนจะหันมาส่งสายตาดุ ๆ ให้คนตรงหน้า ท่าทางเลิ่กลั่กของสายชลยิ่งทำให้คนขี้แกล้งอย่างไทม์ชอบใจจนเผลอหัวเราะหึออกมา
“ก็มัดจำไงครับ”
“มัดจำอะไรกันครับ”
“น้องสายชลยังติดพี่อยู่ครั้งหนึ่งนะ โทษฐานทำให้พี่เคือง”
“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพี่ไทม์” เด็กหนุ่มบ่นอุบ แล้วปล่อยมือของไทม์ให้เป็นอิสระ
ขณะที่รัตติกาลหรี่ตาแสยะยิ้มร้าย แทนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเองที่อยู่ตรงข้าม ทว่ากลับทิ้งตัวนั่งอยู่ข้าง ๆ สายชล คนแก่กว่าทิ้งน้ำหนักเอียงไปหาคนตัวเล็กอย่างหยอกเย้า
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้พี่ไม่รีบร้อน”
“พี่ไทม์หมายถึงอะไรครับ”
รัตติกาลโน้มใบหน้าก้มลงมากระซิบข้างหู ลมหายใจร้อนสร้างความหวั่นไหวใจให้แก่สายชลจนต้องเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดอาการเขิน
“น้องสายชลเพิ่งพูดไปเองว่า ได้ทีเอาใหญ่ พี่ก็เลยบอกว่า พี่ยังไม่รีบเอา ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” ไทม์แซวด้วยท่าทางสบาย ๆ ถึงเขาจะกระซิบบอกสายชลด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนให้หลงใหล ทว่าเขาก็ยังเน้นย้ำตรงคำว่า ‘เอา’ จนคนฟังรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นสั่นระรัว
“พี่ไทม์ ไอ้คนทะลึ่ง” สายชลตีเข้าที่หน้าขาของคนตรงหน้าเสียงดังเพียะ แต่นั่นยิ่งทำให้คนที่ถูกตีหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ
“แบบนี้แล้ว พี่ไทม์ยังขอห่างกับผมอีกไหมน้า” สายชลเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง เขาหันไปจ้องหน้าของไทม์ตรง ๆ ดวงตากลมโตกะพริบตาปริบราวกับลูกแมวตัวน้อยกำลังรอเจ้าของให้ความรัก
ไทม์ใช้วงแขนแกร่งรวบเอวคนด้านข้างเอาไว้หลวม ๆ แล้วโผเข้ากอดด้วยความอบอุ่น “ขอบคุณนะที่ตามหาพี่”
“ตะ… ตามหาอะไรกันครับ มะ… ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” สายชลเอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เขาพยายามเสตามองไปทางอื่น
“ไม่ว่าจะยังไง พี่จะไม่ปล่อยให้หนูต้องจากพี่ไปไหนไกลอีกแล้ว” ไทม์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เรือกำลังเทียบท่า การออกมาเดทครั้งนี้เหนือความคาดหมายของทั้งสองคน แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี
“เราไปเที่ยวกันต่อได้ไหม ?” ไทม์เอ่ยถามด้วยสายตาเว้าวอน ขณะที่กำลังเดินไปยังสะพานเชื่อมกับท่าเรือ เขายังคงโอบเอวของสายชลเอาไว้แน่นโดยไม่สนสายตาใครที่มองมา
“เอ่อ… พี่สายฟ้ารอผมอยู่น่ะสิ”
“งั้นก็พาพี่แฝดของหนูไปด้วยก็ได้”
“พี่สายฟ้าเขาไม่ไปไหนต่อกับพี่ไทม์หรอกเชื่อน้องสิ”
“นี่ไงครับ พูดไม่ทันขาดคำพี่สายฟ้าก็ไลน์มาหาน้องแล้ว”
สายชลก้มลงอ่านข้อความที่สายฟ้าส่งมาให้พลางถอนหายใจยาว
“เราไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันตรงโน้นก่อนดีไหมครับ แล้วพี่จะเดินไปส่งหนูคืนสายฟ้าเอง”
“ได้ครับ”
ทั้งสองคนถ่ายภาพความทรงจำที่น่าประทับใจบริเวณท่าเรืออยู่สักพักใหญ่ แสงจากเรือท่องเที่ยวสะท้อนผืนน้ำเปล่งประกายระยับ สายลมโชยเอื่อยปะทะผิวกาย แม้จะรู้สึกเหนียวตัวไปบ้าง ทว่าความรู้สึกดีที่สายชลบอกความจริงกับไทม์ครั้งนี้ ทำให้เขามีความสุขล้น
“พี่ไทม์ครับ ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่…”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ไทม์เอ่ยด้วยท่าทางขึงขังจริงจังผิดกับก่อนหน้านี้
“ผมก็แค่สมมติเอง” สายชลเสียงอ่อน เขาคล้องแขนของคนตรงหน้าแล้วเขย่าเบา ๆ
“ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกนะครับ”
สายชลสบตาไทม์ด้วยความรู้สึกสับสน เขายังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยว่าจะอยู่รอดไปได้อีกนานแค่ไหน เขาเพียงอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทั้งที่พยายามคิดแบบนั้นแล้วแท้ ๆ แต่ก็อดที่จะคิดเรื่องโชคชะตาที่ตัวเองต้องตายไม่ได้ ‘ภาพที่โดนรถชนหน้ามหาลัยยังติดตาอยู่เลยน่ะสิ’
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะดูแลหนูเอง” ไทม์เชยคางของสายชลขึ้นมาให้สบตาเขาตรง ๆ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“นี่ไอ้พี่ไทม์… จะจูบกันตรงนี้เลยหรือไง”
เสียงคุ้นหูแว่วมาแต่ไกลพร้อมกับใบหน้าที่ละม้ายเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ คนมาใหม่ปรี่ตรงมาที่ไทม์ด้วยสายตาไม่ชอบใจ แม้ทั้งสองคนรูปร่างหน้าตาแทบไม่ต่างกัน ทว่าหากได้มารู้จักทั้งสองคนแล้วต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เหมือนกันเลย’
“พี่สายฟ้า มาได้ไงครับ” สายชลรีบผละออกจากไทม์ด้วยท่าทางเคอะเขิน
“ถ้าไม่มาเดินเล่นแถวนี้จะเห็นเหรอว่ามีคนจะจูบกัน” สายฟ้าหันไปกระตุกยิ้มแซวน้องชายด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่น้องฝาแฝดปุ ๆ
“เอ่อ… งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่รถแล้วกันนะ เดี๋ยวกูเดินไปร้านขายของมือสองตรงหัวมุมโน้นก่อน” สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนของไทม์ และเขาอยากแวะไปร้านขายของวินเทจตรงสุดทางเดินร้านนั้นเสียก่อนเผื่อว่าเขาจะพบกับ ‘คุณคนนั้น คนที่ใจคะนึงหาเหลือเกิน’
สายฟ้าหันหน้าไปสบตาไทม์ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน “เพราะเห็นว่าน้องผมชอบพี่หรอกนะ แต่ห้ามทำอะไรประเจิดประเจ้อ เข้าใจไหมครับ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?