ตอนที่ 39ช่วงเวลาต้องมนตร์กับคนของหัวใจ

เสียงใสกังวานที่คุ้นเคยจากกล่องดนตรีดังแว่วหวามมาจากที่ไกล ๆ ผสานเสียงใบไม้หวีดหวิวขับกล่อมเป็นทำนอง บรรยากาศโดยรอบดำมืดเงียบสงัด สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านปะทะผิวจนรู้สึกขนลุกชูชันเสียวสันหลังวาบ กลิ่นดอกพลับพลึงเจือความหอมหวานที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มชวนหลงใหล กลิ่นหอมคละคลุ้งปะทะโสตประสาทราวเชื้อเชิญให้สายชลหาที่มา ทว่าเหลียวหน้าแลหลังกลับพบเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า ณ ที่แห่งนี้เป็นอาณาบริเวณมืดมิดและไกลสุดสายตา ลมหายใจเด็กหนุ่มหอบถี่กระชั้นด้วยความตื่นเต้น อากาศรอบตัวพลันอุ่นขึ้นทำให้สายชลรู้สึกสงบผ่อนคลายจากความตื่นตระหนก ไม่นานพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือก กายหนาวสั่นปวดลึกไปยันแกนกระดูก เด็กหนุ่มเจ็บร้าวระบมผิวกระทั่งทรุดลงไปกองกับพื้น

เสี้ยววินาทีปรากฏลำแสงสีทองสาดส่องช่วยให้สายชลคลายหนาว ความเจ็บปวดที่ได้รับพลันหายไปอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ก่อนที่กลุ่มแสงนั้นกลับขยายวงกว้างและใหญ่กระทั่งสายตาของสายชลพร่าเลือนขาวโพลน ชายชลยกหลังมือขึ้นมาบดบังสายตา จู่ ๆ ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเหล่านั้นวูบหายไปเหลือไว้เพียงความเย็นสบาย สัมผัสนุ่มละมุนดุจขนนกโอบรอบตัว สายชลพริ้มตาด้วยความอ่อนล้า เด็กน้อยรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน นี่น่าจะเป็นความฝันที่สุดแสนจะแปลกประหลาด ทว่าสมจริงยิ่งกว่าโรงภาพยนตร์ 4 มิติ

“ไอ้สายฟ้า ตื่น… วันนี้มึงมีประชุมกับบริษัทคุณไทม์” ดรีมถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยพลการ กระชากผ้าห่มอย่างไม่ปรานีพร้อมทั้งตะโกนเสียงโหวกเหวก

สายฟ้าไม่ใช่คนที่ตื่นสายหรือผิดเวลา แต่ดรีมเห็นโทรศัพท์ก็ไม่รับ กดเรียกหน้าประตูตั้งนานก็ไม่เปิด เลยทึกทักเอาเองว่าเพื่อนซี้อาจจะป่วยตายคาห้อง เพราะช่วงหลังสายฟ้าโหมงานหนักตั้งแต่น้องของเขาหายไป สายฟ้าก็เอาแต่ทำงานทั้งที่ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนั้นเขาก็มีเงินกินไปทั้งชาติแล้ว ทว่าที่สายฟ้าพยายามโหมงานหนักนั้นก็เพื่อจะให้ลืมความโศกเศร้าที่น้องชายหายไป ทั้งสายฟ้าและดรีมก็หวังตลอดให้สายชลได้รอดพ้นโชคชะตาที่โหดร้าย และหวังว่าจะได้พบกันในสักวัน…

“ไอ้สัตว์ คุณมึงหลับหรือตายวะ เฮ้ย… ตื่น !!!” ดรีมตะโกนใส่หน้าของคนที่นอนหลับสนิทอีกครั้งพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก

ช่วงนี้ดรีมไม่จำเป็นต้องทำงานการตลาดของบริษัทหนักเหมือนช่วงแรกที่ตั้งบริษัท ต้องขอบคุณพาร์ทเนอร์ยิ่งใหญ่อลังการอย่างไทม์ รัตติกาล ทำให้บริษัท ดรีมสกาย แชร์ริ่ง เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แบบก้าวกระโดด แม้ช่วงนั้นบริษัทเขาเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ แต่รัตติกาลป้อนงานให้บริษัทไม่ขาดสายเรียกว่าผูกขาดเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะงานทำเพลง งานออร์แกไนซ์ หรืองานอะไรต่อมิอะไร ไทม์ก็ประเคนงานให้บริษัทเขาจนแทบจะทำกันไม่ไหว ดรีมจึงมีหน้าที่ดูแลภาพรวมของบริษัทและยังคงคอนเซ็ปต์เดิม ทำอย่างไรก็ได้ให้บริษัทได้รับกำไรมากที่สุด

“โอ๊ย ใครกันเนี่ยตะโกนเสียงดังขนาดนั้น นี่ยังปิดเทอมอยู่นะฮะ” คนที่นอนหลับค่อย ๆ ลืมตาตื่นต่อว่าคนที่ปลุกเขาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

หน้าต่างที่ดรีมเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงธรรมชาติ แสงจ้าสาดส่องเข้าแยงตาจนคนที่เพิ่งตื่นต้องใช้หลังมือขยี้ตาเพื่อปรับสายตา พลางขมวดคิ้วยุ่งเนื่องจากมีคนปลุกก่อนเวลาที่เขาอยากตื่น

“ตื่นสักทีนะมึง กูคิดว่าซ้อมตาย” ดรีมพูดพลางเดินไปที่โต๊ะทำงานของเจ้าของห้องก่อนจะช่วยเช็กเอกสารที่ต้องเอาเข้าบริษัทเพื่อเซ็นสัญญากันในเช้าวันนี้

คนที่เพิ่งตื่นนอนใหม่มองไปยังรอบ ๆ ห้องพลางขมวดคิ้วแน่นก่อนจะสบตากับคนที่เข้ามากวนเวลานอน “พะ… พี่ดรีมครับ ?”

“เพี้ยนหรือไงเรียกกูเสียงหวานเชียว ขนตูดกูลุกไปหมดละ” ดรีมพูดขำ ๆ พร้อมกับถือเอกสารเดินตรงมายังเจ้าของห้อง

เสี้ยววินาทีที่ดรีมเงยหน้าขึ้นมาสบตาความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามา ดรีมจำได้ไม่มีวันลืม นัยน์ตาที่ไร้เดียงสากับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนตาเป็นสระอิ ‘ไอ้นี่มันสายชล ไม่ผิดแน่’

“สายชล มึงจริง ๆ ใช่ไหม ?” ดรีมพูดพร้อมโผเข้ามากอดเด็กหนุ่มแน่น หัวใจเขาเต้นระรัวยิ่งกว่ากลองศึกพร้อมรบ ดนัยคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้เขาจะมีโอกาสได้พบกับน้องอีกหรือไม่ ลึก ๆ ในใจเขาหวังให้น้องทำตามที่วางแผนให้สำเร็จและมีชีวิตอยู่ต่อไป

‘แล้วที่จู่ ๆ มันโผล่มาที่นี่อีกหมายความว่ายังไงวะ ?’

“เลือดอะไรวะ… จมูกมึงเลือดไหล”

สายชลเงยหน้าพลางรับทิชชูจากมือดรีมมายัดไปที่โพรงจมูก แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มแม้ตอนนี้จะมีเลือดเปรอะเปื้อนก็ตาม…

ดรีมจัดการดูแลสายชลอย่างดี จนเด็กน้อยปรับตัวไม่ทัน และเผลอคิดไปว่าถ้าดรีมยุคอายุ 19 จะโวยวายแค่ไหนที่จู่ ๆ เห็นเลือดแบบนี้ สายชลจำได้ดีว่าดรีมกลัวเลือดมาก เดี๋ยวนี้ดรีมไม่กลัวเลือดแล้วหรือ ?

“พี่ดรีม ขอบคุณนะครับ” สายชลยิ้มหวาน

“แล้วนี่น้องชลมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วเห็นไอ้ฟ้าไหม” ดรีมพยายามหันมองหาสายฟ้าเพราะเช้านี้มีนัดคุยงานที่ออฟฟิศไทม์

“ชลก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ดรีม ตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว น้องก็งงเหมือนกัน” สายชลทำหน้าตาเด๋อด๋าดูทำตัวไม่ถูก ดรีมพอเข้าใจได้เพราะน้องก็หายไปนาน สมัยก่อนดรีมสนิทกับน้องมากกว่านี้ แต่ด้วยระยะเวลาที่นานจนทุกคนทำใจแล้วว่าคงไม่ได้เจอน้องอีก

ดรีมลูบคลำใบหน้าของสายชลมองด้วยความแปลกใจ แต่งานวันนี้เขาคงต้องเลื่อนหรือให้ไอ้สองไปแทนก่อนเพราะเรื่องของสายชลก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ดรีมคิดได้ดังนั้นก็จัดการโทร.แจกแจงงานเพื่อให้ตัวเองว่างที่สุด หลังจากจัดการธุระเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินกลับมาหาสายชลที่เตียง ดรีมหย่อนสะโพกนั่งลงข้างเด็กหนุ่มพลางลูบศีรษะกลมเบา ๆ อย่างเอ็นดู

สายชลมองหน้าดรีมแล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “พี่ดรีมดู…”

ในขณะที่ ดรีมขมวดคิ้วยุ่งพลางสงสัยว่าคนตรงหน้าเหตุใดมองเขาเช่นนั้น

“เอ่อ… ดูดีขึ้นนะครับ” สายชลพูดพร้อมกับจ้องดูใบหน้าของดรีมก่อนจะลุกไปที่โต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง

ดรีมที่สายชลรู้จักเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งแต่มีกล้ามเนื้อ ไม่หนาล่ำเท่าตอนนี้ที่ดูมีกล้ามเนื้อชัด แม้จะตัวไม่ใหญ่แต่รวม ๆ ดรีมดูเท่ขึ้นเยอะมาก

สายชลลุกไปที่หน้าโต๊ะกระจก ขณะลุกขึ้นเด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวอยู่เล็กน้อย ภายในห้องพักของสายฟ้าการจัดวางในข้าวของในห้องส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม หากแต่ของใช้บนโต๊ะเครื่องแป้งกลับเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย

“ห้องนี้… แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะครับ” สายชลพึมพำ

“ไอ้ฟ้าบอกว่า อยากเก็บไว้เดิม ๆ น่ะ”

สายชลมองหน้าตัวเองราวกับไม่เชื่อสายตา เด็กหนุ่มใช้สองมือจับที่บริเวณใบหน้า ก่อนจะหันซ้ายขวาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“พี่ดรีม…” สายชลตะโกนลั่นห้อง

“อะไร มีอะไร” ดรีมตกใจลุกพรวดพราดมาหาน้องน้อยอย่างนึกเป็นห่วง

“หน้าผม หน้า… ทำไมมันดูแก่อย่างนี้” สายชลมองตัวเองในกระจกด้วยใบหน้าซีดเผือด

“โธ่ กูก็นึกว่าอะไร เออ น้องชลรู้ไหมว่าเราน่ะหายไปกี่ปีแล้ว”

สายชลส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมกับส่งสายตาเว้าวอนให้ดรีมเล่าทุกสิ่งในช่วงเวลาที่หายไปให้ตนได้ฟัง

“มึงน่ะ หายไปเกือบ 8 ปีได้แล้วมั้ง ถ้านับอายุน้องชลตอนนี้ก็ 25 แล้วละ”

“ละ… แล้วพี่ไทม์…” สายชลเอ่ยเสียงสั่น

“เรื่องคุณไทม์พี่ยังไม่เล่าอะไรดีกว่า เดี๋ยวพี่พาชลไปตัดผมโกนหนวด เออซื้อชุดใหม่ด้วย เดี๋ยวสัก 11 โมง พวกเราค่อยไปหาคุณไทม์ พี่ต้องแวะไปเอาเอกสารด้วย” ดรีมเอ่ยพลางเก็บเอกสารต่าง ๆ ลงกระเป๋าเตรียมตัวพาน้องคนสำคัญของเพื่อนพ่วงตำแหน่งเจ้านายไปแปลงโฉมให้ดูเข้าที่เข้าทาง สายชลในตอนนี้เหมือนคนติดเกาะมา 2 ปีเห็นจะได้

บรรยากาศแถวสยามเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ร้านขนมที่สายชลชอบไปก็เปลี่ยนเป็นร้านเสื้อผ้า ส่วนร้านขายเครื่องดนตรีที่สายชลเจอกับไทม์ในห้วงเวลาที่จากมานั้นก็กลายเป็นห้องซ้อมดนตรีไปเป็นที่เรียบร้อย ทุกอย่างรอบตัวล้วนเปลี่ยนไปหมด

‘แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เหมือนเดิม’

ก่อนหน้านี้สายชลรู้สึกกลัวทุกครั้งเวลาที่ลืมตาตื่นมาพบว่าไม่ได้อยู่ที่ที่ควรจะอยู่ เขาหวาดกลัวสังคมและทุกอย่างรอบตัวมันแปลกใหม่ไปหมด การปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมแวดล้อมที่แปลกใหม่มันเป็นเรื่องที่ยากและกดดันสำหรับสายชลมาก แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ด้วยความช่วยเหลือและกำลังใจของคนรอบข้างที่ส่งให้ สายชลจึงพยายามเรียนรู้และอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ให้ได้…

หากนับกันจริง ๆ ที่ข้างในนี้ สายชลเป็นเพียงเด็กอายุ 19 คนหนึ่ง แต่วันนี้สายชลไม่ใช่คนก่อนแล้ว การที่เด็กหนุ่มมีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไปห้วงเวลาของตัวเอง กระทั่งได้มายังอนาคตที่แทบไม่มีใครคิดฝันว่าจะได้มา ทำให้สายชลได้เรียนรู้หลายอย่าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่ลืมว่าเขาเป็นใคร พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ และพยายามปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ แม้สิ่งที่เผชิญนั้นมันจะกดดันหรือยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

‘หากเรามีความเชื่อว่าเราทำได้ ผมคิดว่าเราก็จะก้าวข้ามผ่านทุกอย่างไปได้ จริงอยู่ที่คนข้างในนี้คือสายชลที่อายุย่าง 20 ปี กำลังจะเป็นเฟรชชี่ แต่สิ่งที่คนจากอนาคตได้สอนผมทั้งความรู้ ความสุข ความเจ็บปวดทั้งหลาย รวมถึงความรัก ทำให้ผมมีความกล้า กล้าพอที่จะเปิดใจยอมรับ กล้าที่ก้าวผ่านทุกอุปสรรค’

‘ผมจะต้องกล้า ถึงแม้หากต้องกลับไปยังห้วงเวลาปัจจุบันของผมแล้วพบกับความจริงที่ผมหนีโชคชะตาที่จะต้องตายไม่พ้น ตอนนี้ขอเพียงผมได้ทำทุกอย่างอย่างที่อยากทำ เคลียร์ทุกอย่างให้ไม่ค้างคาใจ ไม่ว่าจะเป็นพี่ไทม์ในห้วงอนาคตคนที่ผมรักสุดหัวใจ หรือพี่ไทม์ในห้วงปัจจุบัน ตั้งแต่ผมลืมตามาห้วงอนาคต ผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ผมจะขอใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุด’

แม้สายชลไม่รู้ว่าการที่เขามายังห้วงอนาคตนี้จะได้กลับไปหรือไม่ ? หรือวันพรุ่งนี้อาจลืมตาตื่น ณ ห้วงเวลาที่จากมา แต่สายชลจะไม่มีวันเสียใจและพยายามใช้ทุกเวลาหลังจากนี้ให้มีค่ามากที่สุด

ดรีมกับสายชลมาถึงยังออฟฟิศใหญ่ของบริษัทไทม์ พวกเขารออยู่ที่ห้องประชุมเล็กซึ่งเป็นห้องประจำสำหรับทีมงานสายฟ้าและทีมงานเขามักไว้ใช้ประชุมหรือคุยงานกัน

สายชลถูกแปลงโฉมใหม่เป็นชายหนุ่มหน้าใส ทรงผมที่ถูกตัดให้เข้ารูปทรงเซตเปิดหน้าเผยให้เห็นดวงหน้าขาวผ่องกระจ่างใส เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนสีครีมทำให้สายชลดูเป็นหนุ่มน้อยที่น่ามองจนสาวน้อยสาวใหญ่ในออฟฟิศต่างตกใจกันทั่ว เพราะคิดว่าสายฟ้าเปลี่ยนลุค ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงไหนสองแฝดนี้ก็ยังหน้าตาคล้ายกันราวภาพสลัก หากแต่สายชลดูอ่อนโยนและอัธยาศัยดี

ไม่นานนักบานประตูห้องประชุมเล็กก็ถูกเปิดออก ปรากฏชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานสวมสูทผูกเนกไทสีดำดูนิ่งขรึม ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผมสีดำขลับเซตเปิดหน้าราวกับมาเฟียที่มีรังสีกดดันแผ่ซ่านรอบตัว

เสี้ยวนาทีที่รัตติกาลและสายชลสบตากัน หัวใจของพวกเขาแทบจะหยุดเต้น หัวใจที่แข็งกร้าวดังภูผาของท่านประธานพังครืนลงแค่เพียงเห็นดวงหน้าที่คิดถึง สายตาที่คุ้นเคย เขาโผกระชับกอดสายชลอย่างคิดถึงสุดหัวใจ แขนแกร่งโอบกระชับคนตัวเล็กเอาไว้แนบอก เขาวางศีรษะของตนลงบนลาดไหล่ของเด็กหนุ่ม มือหนาลูบไล้แผ่นหลังเล็กอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวร่างที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงภาพฝันที่พร้อมจะแหลกสลายหายไป…

“พี่คิดถึงแมวน้อยสุดหัวใจ พี่รู้ว่าน้องชลต้องกลับมาหาพี่ในสักวันหนึ่ง” ไทม์พูดพร้อมกับกระชับวงแขนแน่น

“พะ… พี่ไทม์ น้องเจ็บ” แม้สายชะลอยากให้ไทม์กอดแน่นแบบนี้ไปนาน ๆ ทว่าเด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บร่างแทบแหลก ไทม์รัดเขาแน่นยิ่งกว่างูรัดเสียอีก

“ขอโทษทีครับ พี่คิดถึงน้องชลนะครับ” ไทม์คลายอ้อมกอดสบตาสายชลด้วยความคิดถึง ก่อนจะประทับจูบอย่างอ่อนโยนที่หน้าผากมน มือหนายีผมอย่างที่เขาชอบทำมาตลอด

“น้องมีเรื่องอยากคุยกับพี่ไทม์เยอะเลยครับ”

“พี่ก็อยากคุยกับน้องชลเหมือนกัน อยากมากกว่าคุยอีก”

แล้วเสียงกระแอมเบา ๆ ก็ดังมาจากด้านหลังขัดจังหวะท่านประธานคลั่งรัก

“แหม กอดจูบกันกลางห้องประชุมเลยเหรอวะ” ราเชนทร์เอ่ยแซว

“โอ๊ย มึงนี่นะเข้ามาขัดจังหวะคนเขากำลังจะจู๋จี๋กัน เสียอารมณ์จริง ๆ” ดรีมแขวะราเชนทร์ด้วยสีหน้าเอือมระอา

“จะไปดูไอ้ไทม์ทำไม อยากจู๋จี๋มานี่มา” ราเชนทร์เดินเข้ามายักคิ้วให้ไทม์อย่างรู้กัน ก่อนจะโอบเอวดรีมออกไปเพื่อให้ไทม์ได้มีเวลาพูดคุยสองต่อสองกับคนที่ไทม์รอคอยตลอดเวลาที่ผ่านมา

“เดี๋ยวน้องชลไปรอพี่ที่ห้องทำงานสักแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ พี่ขอเคลียร์งานนิดเดียว”

“ได้สิครับ เวลาสำหรับที่นี่ทั้งหมดของน้อง ให้พี่ไทม์คนเดียวเลย”

ไทม์ดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดพร้อมกับใช้กลีบปากอ่อนนุ่มบดจูบเบา ๆ ก่อนจะดูดดุนอย่างร้อนแรงในเวลาต่อมา สายชลไม่ทันตั้งตัว เขาตกใจตาเบิกโพลงพร้อมกับผลักอกแกร่งออกอย่างตกใจ

“พะ… พี่ไทม์ ฉวยโอกาสนะ” สายชลหน้าแดงจัด รู้สึกร้อนผ่าวหัวใจเต้นแรง

“ถ้าพี่อยากฉวยมากกว่านี้… จะได้ไหมครับ” ไทม์ก้มลงมากระซิบข้างหูพร้อมกับพ่นลมหายใจร้อนกระทบซอกคอ กระทั่งสายชลรู้สึกวูบไหวใจสั่นสะท้าน

“ไหน ใครบอกว่าจะไปเคลียร์งานครับ” สายชลพูดด้วยใบหน้าร้อนผ่าว ถึงเด็กหนุ่มจะดีใจและชอบสัมผัสวาบหวิวนั่น แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะสู้ตาคนร้ายกาจ

‘ทำไมเจอพี่ไทม์ครั้งนี้เขาดูร้อนแรงจังนะ ผมสับสนไปหมดแล้ว พี่ไทม์เป็นคนแบบไหนกัน เป็นคนกวนประสาท เป็นผู้ชายอบอุ่น หรือเป็นคนหื่นกันแน่… ใจคอไม่ดีเลย แต่ก็รู้สึกดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ