ตอนที่ 22สัมผัสจางมิรู้ลืม

สายชลห้อยขาริมสระหน้าบ้านของราเชนทร์พลางทอดอารมณ์ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา จากวันนั้นที่มากินบาร์บีคิวจนถึงวันนี้ราว 2 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าห้วงเวลาเดิมเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อนึกถึงยามที่ตนเองกลับไปไล่ตามหาพี่ ๆ ทีละคน คงน่าปวดหัวพิลึกเลย สายชลค่อย ๆ ทิ้งตัวนอนราบลงบนพื้นขอบสระในขณะที่ยังจุ่มขาลงในน้ำอยู่

“ท้องฟ้าวันนี้สวยจังเลยนะ” สายชลบ่นพึมพำ ซันก้มหน้าลงมามองพร้อมกับยิ้มหวานตามแบบฉบับของคนอารมณ์ดี

“ว่ายังไงครับคุณราชันทร์” สายชลทักทายซันด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขัดกับสีหน้าหยอกล้อ

“ไม่เอาอะชล เรียกเราซะเต็มยศเลย” ซันทิ้งสะโพกนั่งลงข้าง ๆ สายชล

“วันนี้ไม่ลงเล่นน้ำเหรอ”

“ไม่ดีกว่า รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้”

“อ้าว ซันไปเอายาให้ไหม ?”

“ไม่เป็นไร คงเพราะหิวมากไปหน่อยเลยปวดหัว”

“เกี่ยวกันด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ” สายชลพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนมองดูท้องฟ้า

“น่ารัก” ซันพูดขึ้นมาลอย ๆ สายชลทำเป็นไม่สนใจจนกระทั่งซันค่อย ๆ ทิ้งตัวนอนข้าง ๆ คนตัวเล็กพร้อมกับนอนตะแคงจ้องหน้าแล้วพูดย้ำคำว่าน่ารักอีกครั้ง

“นี่ซัน ชมเราทำไมเราไม่ได้น่ารักสักหน่อย”

“ถ้าแบบนี้ไม่น่ารัก ให้เราเรียกว่าอะไร”

“เรียกว่าหล่อ เราหล่อนะซันดูดี ๆ”

“ไหนหล่อก็หล่อ หล่อแบบน่ารัก” ซันจีบปากจีบคอพูด คนถูกชมนอนหัวเราะคิกคัก

“ไอ้ไทม์อยากเข้าไปคุยกับน้องก็เดินเข้าไปดิวะ ปล่อยให้ไอ้ซันเต๊าะอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” ราเชนทร์หยิบโหลน้ำพันช์ผสมแอลกอฮอล์ พร้อมกับแซวไทม์ที่นั่งมองสายชลอยู่ตรงที่นั่งริมสระน้ำ

“มึงจะให้กูไปนอนจีบชลแบบไอ้ซันเหรอวะ”

“ก็ไม่ใช่… แต่มึงมานั่งมองตรงนี้น้องมันจะรู้เหรอ”

“เจอซันว่าหนักแล้วเดี๋ยวเจอสายฟ้ามาขัดหนักกว่านะเว้ย” เชนตบบ่าไทม์ปุ ๆ

“ไทม์เอ๊ย ช่างน่าสงสารมึงจริง ๆ” ราเชนทร์แซวพร้อมกับยกแก้วน้ำพันช์ดื่ม ที่วันนี้เขาเลือกทำน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์เพราะอยากให้ดื่มกันสนุก ๆ แต่ไม่ถึงกับเมามาย วันนี้ไม่มีบาร์บิคิวแบบคราวก่อน มีเพียงกุ้งเผาปลาเผากับยำที่โทร. สั่งจากร้านหน้าหมู่บ้านมาเท่านั้น

ดรีมเดินออกมาจากตัวบ้าน ตรงเข้ามายังคนร่างสูงโปร่งที่กำลังยกน้ำพันช์ดื่มอย่างช้า ๆ “อารมณ์ไหนมึงเนี่ย จิบน้ำผลไม้”

“ก็ไม่ยังไง สักแก้วไหม” เชนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงเชิญชวน

“ไม่อะ บ้านมึงยังมีเบียร์เหลือไหม”

ราเชนทร์ก้มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงรัญจวนใจ “ผมดื่มน้ำผลไม้แล้ว น้ำจะหวานนะคืนนี้พิสูจน์หน่อยไหม”

“มึงนี่นะ คิดแต่เรื่องทะลึ่ง” ดรีมพูดพลางตักน้ำพันช์ใส่แก้ว พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดง

“ไม่เอาเบียร์แล้วเหรอ”

“ไม่แล้ว กูขี้เกียจเดิน” ดรีมพูดด้วยน้ำเสียงสั้นห้วน ติดหงุดหงิดผิดกับสีหน้าที่เขินแทบจะมุดแผ่นดินหนี

“คุณดรีมครับ สายฟ้าไม่ลงมาสนุกด้วยกันหรือครับ” ไทม์ถาม เพราะปกติจะเห็นประกบน้องชลไม่ห่าง แต่จนตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้วก็ยังไม่เห็นหน้า อดนึกกังวลไม่ได้เผื่อพี่ชายน้องชลอาจจะไม่สบายของดรีมทำเอาราเชนทร์ถึงกับอมยิ้มให้

“อ้อ สายฟ้ามันบอกว่า วันนี้กินกันเลย มันไม่ลงมาขอพักอยู่บนห้อง ยังไงวันนี้ผมฝากคุณไทม์ดูน้องหน่อยนะครับ” ดรีมพูดพลางก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณ

ในขณะที่สายฟ้าเก็บตัวอยู่บนห้องรับรองแขกที่ทางบ้านราเชนทร์จัดไว้ให้ เขาพลิกแหวนของรุจไปมาอยู่ในมือพลางนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในความฝัน

สายฟ้าในวัย 15 ปีเดินพลัดหลงเข้ามายังห้องที่มีแต่หนังสือ ห้องนี้มีลักษณะที่แปลกตาราวกับห้องสมุดในโรงเรียนเวทมนตร์ของหนังฝรั่งอย่างไรอย่างนั้น ผนังทุกด้านถูกทำเป็นชั้นหนังสือสูงไปถึงเพดาน คาดคะเนจากสายตาน่าจะราว ๆ 5 ชั้นเห็นจะได้ มีรางบันไดเลื่อนสำหรับปีนขึ้นไปหยิบหนังสือด้านบน เพดานห้องเป็นโดมกระจกสามารถมองเห็นดาวส่องสกาวอยู่รำไร

ที่นี่ค่อนข้างแปลกตาอย่างมาก สายฟ้าเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่ดูอายุน่าจะ หลายสิบปี ไม่สิ น่าจะเป็น 100 ปีก็เป็นได้แต่กลับไม่มีฝุ่นสักนิด แสดงว่าที่แห่งนี้มีคนดูแลเป็นอย่างดี ทว่าเขาหันซ้ายแลขวากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน สายฟ้าถือวิสาสะเดินไปรอบ ๆ ห้องสมุดแห่งนี้

บรรยากาศที่แปลกตาทำให้หัวใจสายฟ้าเต้นรัว กลิ่นหอมแปลกทำให้จิตใจที่รู้สึกหวาดกลัวกลับรู้สึกสงบอย่างไม่น่าเชื่อ กลิ่นที่คล้ายกับดอกพลับพลึงแซมวานิลลา เจือจางด้วยใบชา เป็นกลิ่นที่หอมผ่อนคลายแต่ให้ความรู้สึกลึกลับ ในขณะที่สายฟ้าเดินไปยังเคาน์เตอร์ริมประตูสายตาเขาก็สะดุดกับกล่องดนตรีที่เป็นรูปกระต่ายแฝดใส่ชุดทักซิโด้ ปกติเขาไม่มาสนใจของพวกนี้สักเท่าไร ติดเพียงแค่กล่องดนตรีนี้เหมือนกับอันที่เขามีอยู่ราวกับมาจากโรงงานเดียวกัน สายฟ้าเอื้อมมือไปไขลานกล่องดนตรี เสียงกรุ๊งกริ๊งใสดังขึ้นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งตัวโยน

เสียงฝีเท้าตรงมายังคนมือบอนและหยุดอยู่ที่ข้างหลังเขา สายฟ้าตกใจรีบหันกลับจนชนกับอกหนาของใครบางคน คนที่สายฟ้าดีใจเมื่อได้พบอีกครั้ง

“อ้าวคุณนั่นเอง” สายฟ้าทักด้วยเสียงตื่นเต้น

“เจอกันอีกแล้วนะครับ เด็กน้อย”

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ปีนี้อายุ 15 แล้วนะ”

“นั่นสิ โตขึ้นแล้วนี่นะ เกือบเท่าไหล่ของฉันแล้ว”

“คุณอยู่ที่นี่เหรอ คุณสบายดีไหม” เด็กหนุ่มถามด้วยความคิดถึง

“…” คุณคนลึกลับพยักหน้าแทนคำตอบ พร้อมกับเดินนำไปยังส่วนท้ายสุดของห้องสมุด

“คุณอ่านหนังสือทั้งหมดนี่เลยหรือเปล่า มันเยอะมากเลยนะ” สายฟ้าพลางมองหนังสือรอบ ๆ ตัว

“ทำไมคุณไม่ค่อยคุยกับผมเลย เราเจอกันตั้งหลายครั้งแล้วนะ” สายฟ้าพูดกับคุณคนลึกลับด้วยน้ำเสียงปนอ้อน แต่ก็ยังวางมาดในคราวเดียวกัน

“เธออยากจะให้ฉันคุยอะไรล่ะ”

“คุณมีแฟนหรือยัง” สายฟ้าถามด้วยสีหน้าทะเล้นแววตาเจ้าเล่ห์

“คำถามอะไรของเธอเนี่ย”

“ก็คุณให้ผมถามอะไรก็ได้” สายฟ้าเถียงพร้อมกับเอาข้อศอกยันที่โต๊ะ อุ้งมือวางรองที่ใต้คาง จ้องมองผู้ชายร่างสูงแต่งตัวภูมิฐานพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ อย่างลุ่มหลง

“ฉันอยู่คนเดียวที่นี่ตลอด ไม่มีหรอกคนที่เธอถาม”

“งั้นให้ผมอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม” สายฟ้าพูดพร้อมกับยืนหน้าเข้าหาคนแก่กว่า

“ไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ” คุณคนลึกลับยิ้มบางเบา แต่แววตากลับเศร้าจนคนมองรู้สึกได้

“อ้าว ทำไมล่ะ ก็นี่ไงผมมาเจอคุณออกจะบ่อย” สายฟ้าเถียงทำสีหน้าไม่พอใจ ในขณะที่คุณตรงหน้าเพียงแต่ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยน

“งั้นจะทำยังไงให้ได้เจอคุณบ่อย ๆ ดีนะ” สายฟ้าพึมพำเบา ๆ

“คุณ ทำไมคุณดูไม่แก่ขึ้นเลย นอกจากความทรงจำวัยเด็กทั้งหมดของผมที่หายไปตอนอุบัติเหตุ ผมก็จำได้แค่คุณ ตอนนั้นพ่อบอกว่าผมหลับไปเป็นเดือน ๆ คุณจำได้ไหม ตอนนั้นผมก็มาเล่นกับคุณ”

“จำได้สิ เธอตัวเล็กนิดเดียวแต่ก็ชอบทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้ก็ด้วย”

“ถ้าผมโตกว่านี้ คุณจะชอบผมได้ไหม” สายฟ้าจ้องหน้าคุณคนนั้นพร้อมกับถามตรง ๆ อย่างจริงใจ

“เธอยังเด็ก พูดอะไรออกมาแบบไม่คิด”

“ก็จริงอยู่ที่ผมยังไม่โตเท่าคุณ แต่สิ่งที่ผมคิดผมพูดเป็นเรื่องจริงนะ ผม…”

“อย่า อย่าเพิ่งพูดอะไร จิบชาก่อนเถอะชาดอกไม้ร้อน ๆ

“ไม่มีอย่างอื่นเหรอ” สายฟ้าบ่นอุบ แต่เห็นมือคนตรงหน้ากำลังบรรจงเทชาลงในแก้วอยู่ มีอันต้องชะงักจึงได้แต่ตอบรับชาหอม ๆ แก้วนั้น

“แหวนวงนี้สวยจังเลย” สายฟ้าพูดพร้อมกับปรายตามองที่นิ้วนางข้างขวาของคนตรงหน้า

“เป็นแหวนประจำตัวน่ะ ถึงจะดูไม่หวือหวาอะไรแต่ฉันก็ชอบวงนี้ที่สุด เพราะแหวนวงนี้อยู่กับฉันมาตั้งแต่จำความได้” ผู้ชายลึกลับพูดพลางมองไปที่โลหะทรงกลมแวววับที่ด้านบนมีลายคดเคี้ยวราวกับเถาวัลย์พันเกลียวอยู่ เป็นแหวนที่สวยแปลกตาดูน่าพิศวงมาก

“ทำไมคุณไม่บอกชื่อผมสักหน่อยครับ เราเจอกันมาตั้งหลายรอบแล้ว” สายฟ้ากระเซ้าอ้อนถามชายตรงหน้า 

โดยปกติสายฟ้าเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบขรึม ทว่าทุกครั้งที่เจอกับคุณคนลึกลับราวกับเป็นคนละคน สายฟ้าขี้อ้อนช่างคุยและรอยยิ้มหวานที่ไม่เคยให้ใคร เขาก็มอบให้ผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว ไม่ว่าเจอคุณคนลึกลับที่อยู่ตรงหน้ากี่ครั้งใจเขาก็ตื่นเต้นราวกับพบกันครั้งแรก ทว่าคนตรงหน้าไม่เคยที่จะยอมเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามให้แก่ตนได้รู้สักที สายฟ้าคิดในใจมาตลอดไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือเป็นอะไรเขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่สายฟ้าสนใจอย่างเดียวก็คือ เขาไม่ชอบเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของคนตรงหน้า ทุกครั้งที่เขามองเข้าไปในแววตาเหมือนเขาเห็นความเศร้าและหม่นหมอง

“เธอไม่เห็นจำเป็นต้องรู้เลย” ชายลึกลับนั่งไขว่ห้างพร้อมกับมือบางประคองแก้วน้ำชายาขอบทองขึ้นสูดดมกลิ่นและจิบเบา ๆ ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่ม สายฟ้ามองอย่างประทับใจ ไม่ว่าชายตรงหน้าทำอะไรเขาก็รู้สึกว่าดูดีน่าหลงใหลทุกองศา ดูดีจนอยากจะครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

“คุณพอจะบอกได้ไหมว่านี่ไม่ใช่ฝัน คุณมีตัวตนจริงไหม” สายฟ้าถามด้วยสีหน้ากังวล ลึก ๆ ในใจเขาก็อยากให้คนผู้นี้มีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่เป็นเพียงความฝันที่จับต้องไม่ได้

จู่ ๆ ชายร่างสูงโปร่งเอื้อมมือเรียวสวยมากอบกุมมือเด็กหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน

“จับมือผมทำไมครับ”

“ฉันกำลังแตะมือเธออยู่ เธอคิดว่าฝันหรือเปล่าล่ะ” คุณคนลึกลับคลี่ยิ้มพร้อมจะดึงมือกลับ

“คุณแกล้งผมแบบนี้ ทำตัวน่ารักแบบนี้ จะทำให้ผมสติแตกรู้ไหม” สายฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย ทว่าก็เอาอีกมือคว้ากอบกุมไว้ไม่ให้อีกฝ่ายชักมือกลับ

“จะทำอะไรน่ะ”

“ก็พิสูจน์ไงครับ” สายฟ้ากดยิ้มมุมปากพร้อมกับหยิบยกมือชายตรงหน้าขึ้นมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา เขารู้สึกตื่นเต้นราวกับมีผีเสื้อมากมาวนอยู่ที่ท้องสมองขาวโพลนความสุขช่างอัดแน่นเต็มอก เพียงไม่นานสายฟ้าก็ตื่นจากฝันเพราะต้องรีบไปโรงเรียน

เด็กหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง ช่างเป็นฝันที่ดีจริง ๆ ทว่าขณะที่กำลังจะแปรงฟัน เขาเหมือนได้กลิ่นของคุณคนนั้น กลิ่นที่เขาคุ้นเคย

สายฟ้านึกถึงความฝันครั้งเก่าก่อนในขณะที่ยังจับแหวนลายเถาวัลย์นั่นไว้แน่น ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตามเขายังจำทุกสัมผัสของคุณคนนั้นได้อย่างแม่นยำ เพราะเรื่องราวทั้งหมดของเขามันฝังแน่นตราตรึงอยู่ในใจ

“คุณชื่อรุจเหรอ เป็นชื่อที่ไพเราะมาก ๆ” สายฟ้ายิ้มให้กับแหวนพร้อมทั้งเอาแหวนกอดไว้แนบกับอก

“สักวันเราต้องได้พบกัน ทำไมคุณไม่มาหาผมเลย คอยดูนะ ผมไม่ยอมหรอก ผมเฝ้าคิดถึงคุณมาตลอดชีวิต ผมจะทำทุกวิถีทางที่จะเจอคุณให้ได้ คุณรุจ รอผมนะครับ” สายฟ้าประทับจูบที่แหวนพร้อมปิดตาเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาหวังลึก ๆ ว่าค่ำคืนนี้เขาจะฝันถึงคนที่เฝ้ารอมาตลอด

รัตติกาลนั่งมองเด็กน้อยที่ในคราแรกบอกจะไม่เล่นน้ำ สุดท้ายแล้วก็ลงไปว่ายน้ำหัวเราะร่าเสียงดังกับไอ้ซัน ใบหน้าที่สดใส แววตาน่ารักไม่ต่างอะไรกับแมวตัวน้อย ๆ ไทม์นั่งมองสายชลจากที่นั่งริมสระพลางนึกในใจว่าทำไมเขาถึงหลงรักเด็กคนนี้ได้มากมายขนาดนี้ ช่วงหลังทั้งกลุ่มไลน์บริษัทที่เป็นกลุ่มลับคู่ชิปอะไรนั่นมักจะชอบลงรูปตามติดชีวิตสายชล บ้างก็จับคู่เขากับสายชล บ้างก็จับคู่กับซัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย แต่เมื่อไม่นานมานี้มีคอลัมน์ซุบซิบถ่ายภาพของไทม์กับสายชล แม้จะเห็นเพียงด้านหลังแต่ก็จำได้อย่างแน่นอนว่าแผ่นหลังบอบบางนั้นเป็นสายชล

ไทม์อดลำบากใจไม่ได้ แม้เขาจะไม่ใช่ดาราดังแต่ก็เป็นคนที่พวกนักข่าวบันเทิงจับตามองและชอบเอาไปเขียนเต้าข่าว ตัวเขาไม่เท่าไรเพราะเคยชินกับข่าวซุบซิบเสียแล้ว แต่แมวน้อยของเขาอาจจะคิดมากจนไม่ยอมรับความรู้สึกเขาก็ได้ ไทม์นึกถึงคำพูดสายชลเมื่อตอนบ่าย

“ผมเป็นแค่เด็กคนนึง ถึงอยู่ที่นี่ผมจะอยู่ในนามน้องพี่สายฟ้าอายุตั้ง 28 ปี ความจริงผมก็แค่เด็กที่กำลังจะเข้ามหาลัยฯ และผมก็ไม่มีอะไรที่เทียบเท่าพี่ไทม์ได้ ผมเป็นคนธรรมดา ที่สำคัญจะหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่ไทม์อย่ามาจมอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตอะไรอย่างผมเลย”

เฮ้้อ เด็กคนนี้ดื้อจริง ๆ ทำไมไม่ถามเขาสักคำว่าเขารู้สึกยังไง เขาไม่เคยสนใจคำพูดคนอื่นหรือแคร์อะไรทั้งนั้น ถึงจะหายไปแล้วมันจะยังไงกันล่ะ เขาพร้อมรับความเสี่ยง ขอแค่วันนี้มีกันก็น่าจะเพียงพอแล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก

“พี่ไทม์มาเล่นด้วยกันสิฮะ” สายชลตะโกนเรียกพร้อมกวักมือ ไทม์เพียงแต่ยิ้มรับพร้อมส่ายหน้าแทนคำตอบ ถึงแม้ในใจอยากจะแยกสายชลให้ออกห่างจากไอ้ซัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าแววตาและเสียงหัวเราะของสายชลแล้ว เขาก็เปลี่ยนความคิดแล้วนั่งมองอยู่ตรงนี้

ไม่นานนักคนตัวเล็กก็ขึ้นจากน้ำ เดินไปเทน้ำพันช์มาดื่มอย่างกระหาย “อ๊า อร่อยจังน้ำพันช์พี่เชนเนี่ย อ้าวซันจะไปแล้วเหรอ” สายชลตะโกนถามเพื่อนคนสนิทที่กำลังเช็ดหัวพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือเตรียมจะเข้าบ้าน

“อื้ม เดี๋ยวเราจะเข้าแล้ว เนี่ยเพิ่งเช็กอีเมล ลูกค้าขอให้แก้เอกสารให้ตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย บอกว่าเจ้านายเพิ่งว่างตอนนี้รอเซ็นให้เนี่ย”

“อ้าวเหรอ งั้นรีบ ๆ ไปแก้งานนะ เหนื่อยแย่เลยหมดเวลางานแล้วแท้ ๆ”

ไทม์เห็นคนตัวเล็กบ่นงึมงำก็อดที่จะมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้ มือหนาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กดึงแมวน้อยเข้ามาที่อ้อมกอดพร้อมกับเช็ดผมให้คนตรงหน้า

ทั้งสองหันหน้าเข้าหา 2 สายตาประสานกัน สายชลลากนิ้วไปตามแนวขนคิ้วเรียงสวยของชายร่างสูงตรงหน้า ทั้งไทม์และสายชลต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน แววตาคู่นี้คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นแววตาของคนที่อยู่ในหัวใจเขาตลอดมา

“น้องชลบอกว่าบ้านอยู่ที่หัวหินใช่ไหมครับ”

“ครับ บ้านน้องอยู่หัวหิน จริง ๆ พี่ไทม์ก็รู้จักรีสอร์ตบ้านผมนะ” สายชลพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลันนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่พบกัน พี่ไทม์โดนนักเลงท้องถิ่นกระทืบเพราะจะรีดไถเงินแต่พี่ไทม์กลับไม่มีอะไรให้โจรมันปล้น อีกทั้งยังหมั่นไส้ใบหน้าหล่อนี้จึงโดนรุมกระทืบ

รัตติกาลขมวดคิ้วพลางนึก แต่ก็คิดไม่ออกเพราะเท่าที่เขาจำความได้คนตัวเล็กไม่เคยบอกเขาเลยว่าบ้านอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าอยู่ที่หัวหิน

“ก็รีสอร์ตเดียวกันกับที่พี่ไทม์ไปพักวันนั้นไงครับ ที่พี่โดนโจรกระจอกมันกระทืบ นอนงอหงิกเป็นกุ้ง” สายชลพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อคิดถึงท่าทางอวดดีของชายตรงหน้า แม้จะโดนกระทืบแต่ก็ยังวางฟอร์มว่าไม่เป็นอะไร

ขณะที่ไทม์ได้แต่นิ่งอึ้ง แววตาประหลาดที่สายชลก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ทว่ากลับสังเกตเห็นดวงตาที่วูบไหวคล้ายมีหยดน้ำตาคลอที่นัยน์ตา ก่อนจะนึกสงสัยในใจว่าเผลอพูดอะไรที่จี้ใจดำไปหรือเปล่า

“เอ่อ ผมขอโทษครับพี่ไทม์ ผมพูด…”

จู่ ๆ เสียงพูดของสายชลก็ขาดหายไปด้วยริมฝีปากอุ่นที่ประทับจูบลงมาไม่ให้ตั้งตัว เป็นการจูบที่รับรู้ถึงความอบอุ่นราวกับได้รับของรักที่หายไปกลับคืนในอ้อมกอด คนตัวเล็กกว่าตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายมากนักแต่ก็ไม่ทันได้ขัดขืนอะไร

“แมวอ้วน”

“นี่พี่ไทม์ จะแซวผมว่าแมวก็ไม่ว่านะ แต่แมวอ้วนนี่ไม่เอาได้ปะ”

“นี่เจ้าชายเอง”

“ฮะ อะไรนะครับ”

รัตติกาลก้มหน้าลงมาสบตาสายชลชัด ๆ แล้วใช้น้ำเสียงที่ทักทายกับแมวอ้วนฝาแฝดครั้นสมัยเป็นเด็ก

“สวัสดีครับเจ้าชายของแมวอ้วนมาแล้วครับ พี่คิดถึงแมวอ้วนจังเลย” ไทม์พูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข มือทั้งสองประคองหน้าสายชลเอาไว้ในขณะที่สายชลทำสีหน้าสับสนพร้อมกับหัวใจเต้นเร่าอย่างรุนแรง

เดี๋ยวนะทำไมพี่ไทม์ถึงทักผมแบบเดียวกับที่เจ้าชายทักเลยล่ะ นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม พี่ไทม์คนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้จะเป็นผู้ชายคนเดียวกันกับคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดอย่างนั้นหรือ

สายลมพัดเอื่อยคลื่นทะเลพัดเข้าชายฝั่ง สายชลนั่งมองทะเลเหมือนอย่างที่เคย หาดทรายละเอียดนุ่มละมุน เกลียวคลื่นที่ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเป็นประกายระยิบระยับมองแล้วเพลินตา

สายชลเฝ้ารอผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เขาเรียกว่าเจ้าชาย เมื่อครั้งที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อกลางปีที่ผ่านมาทำให้เทอมนี้ต้องระงับการเรียนไว้ชั่วคราว แต่ที่น่าแปลกคือนอกจากคนที่เขาเรียกว่าเจ้าชายแล้วเรื่องราวที่ผ่านมาก็แทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับ เจ้าชายของแมวอ้วนมาแล้วครับ พี่คิดถึงแมวอ้วนจังเลย” เด็กหนุ่มในวัยมัธยมปีที่ 1 เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแตกหนุ่ม

“หนูบอกเจ้าชายตั้งหลายครั้งแล้ว เรียกแมวน้อยไม่ใช่แมวอ้วน”

“งั้น แมวดื้อได้ไหม” เด็กหนุ่มหย่อนสะโพกนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับยิ้มหวานด้วยสีหน้าดีใจที่ได้พบกับ แต่นัยน์ตากลัับมีความสับสนปนความอึดอัดอะไรบางอย่าง

“ทำไมดูสีหน้าไม่ดีครับ เจ้าชายไม่สบายเหรอครับ” เด็กน้อยสายชลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

“ไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อยครับ”

“เล่าให้หนูฟังได้นะ” เด็กน้อยยกมือชู 2 นิ้วพร้อมกับยิ้มตาหยีเป็นสระอิ

“หนูไม่บอกใครหรอก ด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยนะ”

เด็กหนุ่มหยิบขนมที่ซื้อมาจากกรุงเทพมฯ ส่งให้เด็กน้อยพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด

“ทำไมเจ้าชายซื้อมาเยอะจังเลย”

“อ้าว วันนี้ผู้ปกครองหน้าดุไปไหนล่ะ ปกติเห็นมากันเป็นแพ็กคู่นี่นา”

“ใครเหรอครับ”

“ก็ฝาแฝดแมวดื้อไง”

“ฝาแฝดที่ไหนกัน ผมเป็นลูกคนเดียวนะครับ” สายชลในวัยเด็กคิดตามที่เด็กหนุ่มพูด จู่ ๆ ก็เหมือนได้ยินเสียงของเด็กคนหนึ่งแวบเข้ามาในโสตประสาท แววตาที่คล้ายคลึงกับตน มือเล็ก ๆ ที่คอยจับมือเขาข้ามถนน ความอบอุ่นที่แปลก ๆ นี่มันคืออะไรกัน ความรู้สึกเขาตอนนี้ราวกับว่ามีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความทรงจำที่หายไป แต่มันคืออะไรกัน เด็กน้อยสายชลเอามือกุมที่หัวพลางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

“แมวดื้อ เป็นอะไรไป” เด็กหนุ่มเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง

“ปวดหัวครับ ปวดมาก ๆ เลย”

“บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวพี่ให้อาพาไปส่ง”

เด็กน้อยพลางชี้ไปที่รีสอร์ตสไตล์บาหลีตรงหาดส่วนตัวใกล้ ๆ แล้วบอกว่ารีสอร์ตนี้เป็นกิจการของที่บ้าน เขาชอบมาวิ่งเล่นเป็นประจำ ไทม์พยุงเด็กน้อยเดินไปยังส่วนล็อบบี้ของรีสอร์ต พนักงานต้อนรับเป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาดูใจดี วิ่งเข้ามารับเด็กน้อยด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

“คุณหนูเป็นอะไรคะ ขอบคุณนะคะพ่อหนุ่ม”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่รู้สึกปวดหัวเฉย ๆ”

“เดี๋ยวน้าโทร.ตามป้านิดให้นะคะ”

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ” เด็กน้อยพูดด้วยสีหน้าเศร้า

“อาทิตย์นี้คุณฤดีไปต่างประเทศไงคะ ไม่เศร้านะคะคุณหนู เล่นกับพวกป้า ๆ น้า ๆ ไปก่อนนะ”

“คุณน้าครับ แล้วเด็กแฝดอีกคนไปไหนครับ” ไทม์ถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เขาเข้ามายังด้านหน้ารีสอร์ต แม้แต่บริเวณรอบ ๆ ก็ไม่เห็นวี่แววเด็กแฝดหน้าตาเคร่งขรึมคนนั้น

เมื่อไทม์ถามคำถามนั้นออกไป พี่ ๆ พนักงานทั้งหมดรวมถึงป้านิดคนที่มาใหม่ต่างก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ดูท่าทีแปลกออกไป เด็กหนุ่มจึงไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรต่อ

แมวน้อยพาเจ้าชายของเขาไปนั่งเล่น โต๊ะริมระเบียงติดกับหน้าชายหาดส่วนตัว สามารถมองเห็นทะเลได้อย่างจุใจ ไม่นานนักป้านิดก็ยกน้ำผลไม้กับขนมมาตั้งไว้กลางโต๊ะ

“ป้าฝากดูแลคุณหนูด้วยนะคะ พอดีเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาคุณหนูเกิดอุบัติเหตุ คุณฤดีแม่ของคุณหนูเธออยากให้พักรักษาตัวก่อน คุณหนูก็ไม่ค่อยมีเพื่อนแถวนี้ วันนี้ป้าดีใจแทนคุณหนูมาก ๆ ที่พ่อหนุ่มมานั่งเล่นกับคุณหนู ว่าแต่พ่อหนุ่มชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”

“ผมชื่อ ทะ…”

โครม ! จู่ ๆ แขกที่มาพักรีสอร์ตทะเลาะกันเพราะเรื่องเข้าใจผิด ป้านิดจึงรีบเข้าไปดูและบอกให้เด็ก ๆ อย่าเพิ่งเข้าไปด้านในนั่งคุณกันตรงนี้ไปก่อน และเธอดีใจที่ได้รู้จักเพื่อนของคุณหนู ยังบอกให้เขาแวะมาเล่นที่นี่บ่อย ๆ อีกด้วย

“ป้านิดใจดีจังเลยเนอะแมวน้อย”

“ใช่ฮะ ป้านิดเหมือนแม่อีกคนของหนูเลย หลัง ๆ แม่ไม่ค่อยอยู่บ้านไปทำงานต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง หนูก็อยู่กับป้านิดตลอดเลย วันนี้ดีใจจังเลยที่เจ้าชายแวะมาหา ว่าแต่ช่วงนี้ยังไม่ปิดเทอมนี่ครับ ทำไมแวะมาได้”

“อ้อ ช่วงนี้ที่บ้านให้พี่พักการเรียนที่โรงเรียน จ้างครูมาสอนที่บ้านปรับพื้นฐาน พี่ก็เลยขอที่บ้านมาอยู่บ้านที่หัวหินช่วงนี้”

“แบบนี้ก็แสดงว่าพี่จะมาเล่นกับหนูทุกวันเลยใช่ไหมครับ”

“ใช่ ๆ ดีใช่ไหมล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มด้วยสีหน้ากังวล

“อ้าวแล้วเจ้าชายจะกังวลอะไรกันล่ะ หน้าตาดูไม่ดีเลย ใช่ ๆ เมื่อตะกี้บอกว่าไม่ค่อยสบายใจ ไหนเล่าให้หนูฟังหน่อยสิ” เด็กน้อยทำหน้าราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ นั่งกอดอกตีหน้าจริงจัง แต่ก็แอบหยิบขนมเคี้ยวหยับ ๆ จนแก้มป่อง

“แมวอ้วนเอ๊ย” คนโตกว่ามองเด็กตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู

“หนูไม่อ้วนสักหน่อย”

“ที่บ้านจะให้พี่ไปเรียนต่อที่อินเดียปีหน้า”

“ทำไมต้องเป็นที่อินเดียครับ” เด็กน้อยพูดพลางเคี้ยวขนม มือเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ

“พ่อแม่พี่ไปทำธุรกิจที่นั่น ดูเหมือนว่าคราวนี้จะนานก็เลยอยากให้พี่กับน้องสาวไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่นั่น”

“อินเดียไกลกว่ากรุงเทพฯ มากไหม”

ไทม์ในวัยเด็กยกมือมาลูบหัวแมวน้อยอย่างแผ่วเบา “ไกลกว่ามาก”

เด็กน้อยได้ฟังเช่นนั้นขนมสุดอร่อยพลันหลุดออกจากมือ หยาดน้ำตาใสไหลคลอที่เบ้าตาพร้อมกับร้องไห้กระซิกพูดฟังไม่ได้ศัพท์

“ไม่ไปได้ไหม หนูรอพี่มาตั้งนาน ไปไกล ๆ แล้วจะได้เจอกันไหม ฮือ ฮือ…”

“เดี๋ยวพี่ส่งอีเมลมาหา”

“ไม่เอา เขียนจดหมายมาหาหนูได้ไหม” เด็กน้อยอ้อนวอนกะพริบตาปริบราวกับลูกแมวตัวน้อย ทำเอาไทม์เห็นแล้วหัวใจอ่อนยวบ

“ได้สิ ได้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มด้วยสีหน้าอบอุ่นพร้อมกับยีหัวเด็กขี้แยเบา ๆ ทั้งคู่ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับผู้ใหญ่ ทว่าในเวลานั้นก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเด็กคนหนึ่งเลย การรอคอยที่แสนยาวนานกับระยะทางที่คนละขอบฟ้า

ไทม์ยังคงส่งจดหมายตามสัญญาที่ให้กับแมวน้อยตลอดมา ถึงแม้ตัวเขาจะไม่ได้กลับไทยเลยแต่เขาก็เขียนจดหมายตามคำสัญญาที่ให้ไว้อยู่ตลอดมา จนกระทั่ง 8 ปีก่อน ไม่ว่าเขาจะเขียนจดหมายไปอีกกี่ฉบับก็ไม่มีจดหมายตอบกลับมาอีกเลย เขาไปยังรีสอร์ตนั้นหลายหน แต่ก็ไม่เคยเจอเด็กน้อยคนนั้นอีกเลย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ