สายชลนั่งรถพี่ดรีมพลางทอดสายตาออกไปยังนอกรถแล้วถอนหายใจเป็นระยะ ๆ ภายในรถเงียบงันมีเพียงเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ แม้ว่าเนื้อเพลงจะเสียดแทงหัวใจ
“กูก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่มึงมีเรื่องอะไรทำไมไม่คุยกันดี ๆ มึงก็รู้ทั้งรู้ว่า…”
สายชลหันไปสบตากับพี่ดรีม ตั้งใจฟังว่าพี่ชายคนดีจะพูดอะไรต่อ
“ว่า…?” สายชลลากเสียงยาวนั่นยิ่งทำให้ดรีมรู้สึกกดดันไม่น้อย
“กูจะพูดยังไงดี”
“ก็บอกชลตรง ๆ”
“เออได้ มึงก็รู้อยู่ว่าวันดีคืนดีมึงอาจจะหายไปตอนไหนก็ได้ แล้วไหนมึงเคยบอกว่าการที่ได้มาเจอกับไอ้ไทม์เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตไงล่ะ ถ้าโชคดีหน่อยเราก็อาจได้เจอกันอีก ถ้าโชคไม่เข้าข้างมึงแล้วล่ะสายชล มึงอาจไม่ได้เจอมันอีกเลยก็ได้นะ เออไม่สิ ถ้าได้เจอกันก็คงเป็นเจอในห้วงเวลาของมึง ช่วงเวลาที่เขาไม่รู้จักมึง แบบนั้นมันดีแล้วหรือไง พี่ก็ไม่เก่งเรื่องการความสัมพันธ์เท่าไรหรอกนะ แต่อย่างน้อย ๆ ไม่พอใจอะไร ทะเลาะอะไรกัน แทนที่จะคุยกันดี ๆ มึงหนีมาแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร” ดรีมร่ายคำบ่นยาวเหยียด ในขณะที่สายชลได้แต่ฟังด้วยสีหน้าเศร้านัยน์ตาแดงจัดน้ำตารื้นคลอ ก่อนที่จะไหลลงมาที่แก้มนวล
“พี่ดรีมผมอยากไปทะเล อยากไปหัวหิน”
“คุณน้อง กูรู้ว่ามึงเศร้าอยู่แต่กูไม่มีเวลาพามึงไปเลย เอาแบบนี้ไหม รอไอ้ฟ้าก่อนเห็นว่ามันได้รถแล้ววันนี้ รอมันพาไปดีไหม”
สายชลพยักหน้าแทนคำตอบ หลังจากนั้นมีเพียงเสียงบรรเลงในรถราวกับเป็นเพื่อนในยามทุกข์ใจ ไม่นานนักก็ถึงยังคอนโดมิเนียมหรูของพี่ชาย เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าไปอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่ดรีมเดินตรงไปยังโซฟาตัวโปรดที่สายฟ้าหวง เป็นโซฟาซึ่งมีระบบนวดไฟฟ้านั่งแล้วผ่อนคลายราวกับไปนวดที่ญี่ปุ่น สายฟ้ามักชอบอวดเก้าอี้นวดตัวนี้ วันนี้ทางสะดวกดรีมจึงรีบขึ้นไปนั่งอย่างไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเรียก
“วันนี้กูอยู่เป็นเพื่อนนะ ไหน ๆ ก็พักแล้วกูนอนดูซีรีส์บนเก้าอี้นวดพี่มึงซะหน่อย ชลมีอะไรเดินมาหาพี่ได้ตลอดนะ จริง ๆ มึงน่าจะมาดูด้วยกันนะสนุกออกเนี่ย” ดรีมพูดพลางหย่อนสะโพกลงบนโซฟาที่เป็นเก้าอี้นวดในตัว
“ไม่ละพี่ดรีม เดี๋ยวผมเวฟป๊อบคอร์นให้นะ พี่จะได้ดูไปกินไปเพลิน ๆ” ในขณะที่สายชลกำลังลุกจากโซฟาข้าง ๆ ดรีม ชายร่างสูงเอื้อมมือมาลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“ดีมากไอ้ชลน้องรัก อย่าคิดมากเว้ย” ดรีมมองสายชลด้วยแววตาและท่าทางเป็นห่วง แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้คงช่วยอะไรน้องไม่ได้มากนัก คงทำได้แต่อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ
สายชลเดินไปหยิบถุงป๊อบคอร์นเข้าไมโครเวฟไม่ถึงนาที ป๊อบคอร์นสีขาวหอมกลิ่นเนยก็ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายคนที่เอาแต่นอนเล่น สายชลยกขนมไปให้พี่ดรีมพร้อมกับขอตัวเข้าห้อง
สายชลเดินไปนั่งคิดทบทวนทุกอย่างที่โต๊ะทำงาน สายตาเลื่อนลอยจ้องมองกล่องดนตรีด้วยจิตใจเคว้งคว้าง เขาไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีอย่างที่คิดในตอนแรกหรือเปล่า การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ไม่ง่ายเลย ถึงจะมีทั้งพี่ดรีม พี่สายฟ้า ซัน หรือแม้แต่พี่ไทม์ สุดท้ายลึก ๆ ในใจก็รู้สึกว่าการที่สายชลอยู่ที่นี่ไม่ต่างจากความฝัน เป็นช่วงเวลาที่แสนหอมหวานแต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ของจริง
มือบางค่อย ๆ ไขลานกล่องดนตรี เด็กหนุ่มชอบฟังเสียงหวาน ๆ ใส ๆ ของกล่องดนตรียามที่มันบรรเลง ทุกครั้งที่ได้ฟังมันช่วยให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลายลงได้ราวกับถูกมนตร์สะกด
ในยามที่สายชลมีความสุข หรือในช่วงเวลาที่ไม่สบายใจ ที่ผ่าน ๆ มาเขาชอบเขียนจดหมายหาเจ้าชาย ใช่แล้ว เจ้าชายที่เด็กหนุ่มเรียกติดปากมาตลอดก็คือพี่ไทม์คนนี้ ซึ่งเขาไม่เคยรู้ชื่อจริงของไทม์เลย เพราะเจ้าชายเคยบอกว่าถ้าสายชลเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะกลับมาและเป็นคนบอกเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟังเอง เราทั้งสองมักจะแทนตัวเองด้วยฉายาที่เรียกกันตั้งแต่วัยเด็ก
มือบางหยิบปากกาค่อย ๆ จรดน้ำหมึกลงบนกระดาษ ในขณะที่กล่องดนตรียังคงบรรเลงเพลงเสียงใส สายชลสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว เขาค่อย ๆ เรียงร้อยความรู้สึกผ่านบทกลอน ทั้งที่คืนนั้นของพวกเขาเป็นแค่เพียงคืนดี ๆ คืนเดียวก็จริง นั่นมันยิ่งทำให้เด็กหนุ่มถลำตัวฝังลึก สายชลจะไม่โทษอะไรทั้งนั้นที่ทำให้เขาต้องเจอเหตุการณ์เหล่านี้ จะโทษก็คงเป็นหัวใจของตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอ
สายชลเขียนจดหมายถึงพี่ไทม์เรียบร้อย มือบางค่อยบรรจงพับใส่ซอง ผนึกปิดด้วยหัวใจที่บอบช้ำ เด็กหนุ่มตั้งใจให้จดหมายนี้แก่พี่ไทม์ในวันที่เขาจากไปยังห้วงเวลาเดิม แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ วันนี้สายชลรู้สึกคิดถึงการจากไปบ่อยกว่าทุกวันจริง ๆ หรือใจจริงของเขาจะไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วกันแน่ มือบางไขลานกล่องดนตรีอีกครั้งแล้วฟุบไปกับโต๊ะ นอนมองกระต่ายตัวน้อยที่ดูยิ้มสดใสราวกับว่ามันไม่เคยมีความทุกข์ร้อนใจ มันก็แค่กล่องดนตรีมันจะไปมีความทุกข์ได้อย่างไรกัน ดวงตาหวานรู้สึกหนักอึ้ง วันนี้เขาร้องไห้มาเยอะจริง ๆ เปลือกตาสีเนื้อค่อย ๆ ปิดลงจนสู่ห้วงนิทรา
๐๐๐
เสียงเพลงบรรเลงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นในโสตประสาท นี่มันอะไรกัน พี่ดรีมเปิดเพลงบรรเลงอะไรตอนนี้ คนยิ่งเหนื่อย ๆ อยากจะพักอยู่ โอ๊ย แล้วนี่ใครเปิดไฟกันแสบตาชะมัด
“คุณหนูคะ /สายชลลูก เป็นอะไรหรือเปล่า”
แรงสั่นสะเทือนไหวแผ่วเบาเขย่าร่างเล็กให้โอนเอนไปตามแรง นี่มันอะไรกัน แล้วใครเนี่ยเสียงคุ้นหูแม่เหรอ ? สายชลลืมตาขึ้นโดยทันทีแต่ต้องขยี้ตาซ้ำ ๆ เพราะดวงตารู้สึกฝ้าฟางจากแสงไฟนีออนสีขาว ที่นี่มันที่ไหนกัน เด็กหนุ่มมองไปโดยรอบทั้งป้านิด และคุณแม่ยืนยิ้มน้ำตาคลอด้วยความดีใจอยู่ข้างเตียง เดี๋ยวนะที่นี่มันโรงพยาบาลนี่นา อะไรกันเนี่ย
“แม่หรือครับ”
“ใช่จ้ะ แม่เอง สายชลเป็นยังไงบ้างลูก แม่ขอโทษนะ ต่อไปนี้แม่จะอยู่ดูแลลูกเอง จะไม่ไปต่างประเทศบ่อย ๆ แล้ว ครั้งนี้ถือว่าฟาดเคราะห์นะลูก” คุณแม่โผเข้ากอดสายชลที่ลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง ในขณะที่ป้านิดดึงมือเขาไปประทับจูบอย่างรักใคร่
“คุณหนูของป้า ไม่เป็นอะไรแล้วนะคะ” ป้านิดพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
เด็กหนุ่มตื่นมาด้วยความมึนงง แต่สิ่งที่เขารับรู้เพียงอย่างเดียวคือตัวเองคงไม่เห็นพี่ไทม์อีกแล้วใช่ไหม !? ความรู้สึกที่โหยหาผสมปนเปไปกับความเจ็บปวดถาโถมในจิตใจ สายชลโผกอดเอวคุณแม่ใบหน้าซุกแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ปิดบัง ถึงแม้โลกใบนี้จะไม่มีพี่ไทม์คนที่เคยรู้สึกดีด้วยแล้ว
สายชลออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ก่อนที่จะภาวนาในใจด้วยทุกอณูความรู้สึกของความคิดถึง ฝากท้องฟ้า... บอกสายลม ให้ช่วยพัดพาความคิดถึงของเขาให้ลอยไปหาคนคนนั้นที...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?