จางอี้หมิง ซุนซูเย่และชาวบ้านชายอีกห้าคนเดินทางออกจากลานประชุมหมู่บ้านมุ่งตรงไปยังภูเขาโดยหวังว่าจะมีผักป่า อาหารหรือพวกหัวเผือกหัวมันให้เก็บกินเป็นอาหารพอให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตบ้าง แต่เดินมากว่าสองชั่วยามก็หาได้มีสิ่งใดที่พอจะเป็นอาหารไม่
“ท่านลุงเย่ หิมะยังไม่ค่อยละลายเช่นนี้ เรามองหาต้นหัวเผือกหัวมันไม่เห็นเลยขอรับ เช่นนี้คงไม่รู้ว่าที่ตรงไหนมีเผือกมันให้เราได้ขุดแน่” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้น เขาเห็นทุกคนดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินมาตลอดสองชั่วยาม เท้าน้อย ๆ ของเขายังเริ่มบวมและมีอาการเจ็บอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าเขาจะมาถอดใจไม่ได้...
“ลุงเห็นด้วยนะหมิงหมิงน้อย เช่นนี้ลำบากมาก” ซุนซูเย่ตอบ
“เมื่อเช้าตอนที่แม่นางเจียวเม่ยเอาข้าวต้มมาแจก เห็นบ่น ๆ ว่าไม่มีข้าวเหลือแล้วนะท่านพี่เย่ แม้แต่ธัญพืชหยาบก็หามีไม่ พวกโจรมันช่างใจร้ายยิ่งนัก ไม่ฆ่าพวกเราก็เหมือนฆ่าเช่นกัน” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสิ้นหวัง
“ครั้งนี้ท่านเทพจะประทานพรให้เราผ่านพ้นการขาดแคลนอาหารไปได้ดั่งเช่นภัยหนาวหรือไม่” ชายชาวบ้านอีกคนเปรยขึ้นมาบ้าง
“พี่ชาย ท่านเทพต้องประทานพรให้เราเป็นแน่ เพียงแต่เราอย่าได้ถอดใจเท่านั้น” จางอี้หมิงเดินไปกอดขาของชายคนนั้นเบา ๆ อย่างต้องการให้กำลังใจ
“หมิงหมิงน้อย วันนี้พวกเราหมดเวลาไปกับการค้นหาอาหารบนภูเขานี้อยู่หลายชั่วยามแล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้ยังจะขึ้นมาค้นหาต่อไปอีกหรือไม่”
ซุนซูเย่เอ่ยถาม ไม่รู้เป็นเพราะเหตุอันใด ถึงแม้ว่าเด็กน้อยตรงหน้านี้ต่อให้มองเช่นไรก็คือเด็ก แต่เขากับรู้สึกเชื่อใจและไว้วางใจในตัวเด็กน้อยตรงหน้าอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลใด เขาก็ยังคงเชื่อและทำตามคำบอกของเด็กชายตรงหน้าเสมอ
“ข้าว่าเราไม่ควรจะขึ้นมาบนเขาลูกนี้อีกแล้วขอรับท่านลุงเย่ ข้าว่าน่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เช่นวันนี้อีกเป็นแน่ ท่านลุงเย่มีป่าที่อยู่ตรงตีนเขาหรือป่าที่ไม่ต้องขึ้นมาบนเขาอีกหรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยถามเนื่องจากครั้งที่แล้วในตอนมาหาเชื้อเพลิงและในครั้งนี้การขึ้นมาบนภูเขาสูงเช่นนี้หาได้เจออันใดที่พอจะนำไปทำอาหารได้ เขาจึงอนุมานว่าควรหาป่าที่ไม่ได้อยู่บนภูเขาสูงบ้าง อาจจะมีบางสิ่งที่เขาพลาดไป
“ป่าที่ราบลุ่มภูเขาเช่นนั้นหรือ มีสิ มันอยู่ถัดไปจากภูเขานี้อีกสองลูก ที่นั่นเป็นทุ่งราบไม่มีสิ่งใดให้เก็บกินได้นะ เพราะมันเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ มันอยู่ห่างจากหมู่บ้านใช้เวลาเดินทางหลายชั่วยาม ทางที่ต้องไปก็ลำบาก ชาวบ้านจึงไม่ใคร่สนใจสักเท่าไหร่”
“ทุ่งดอกไม้หรือขอรับ บางทีดอกไม้อาจจะกินได้ก็เป็นได้นะขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยมันคือดอกไม้ มีสีสันสวยงามมากมีหลากหลายสีข้าเคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อมันเป็นเพียงดอกไม้และอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากจึงไม่ค่อยมีใครสนใจมากมายนัก”
“หากข้าอยากไปดู เราไปตอนนี้ทันหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงยังคงถามต่อ
“วันนี้คงไม่ทันแล้ว อีกไม่นานตะวันจะลับฟ้า เราต้องลงจากเขาแล้ว หากเจ้าอยากจะไปดูพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปกันแต่เช้าตรู่ก็แล้วกัน” ซุนซูเย่เอ่ยสรุปความ
“ท่านพี่เย่ แล้ววันนี้พวกเราจะกลับบ้านไปเช่นนี้หรือขอรับ ตอนเย็นนี้พวกเราชาวบ้านหลัวถงก็ไม่มีอาหารแล้วนะขอรับ จะทำเช่นไรกันดี” ชาวบ้านชายที่มาด้วยอีกคนเอ่ยถามอย่างกังวล
ถ้าลงไปทั้งอย่างนี้แย่แน่ ธัญพืชต่างๆในคลังก็จวนจะหมดลงแล้ว ไม่มีอาหารอันใดเหลือให้ปรุงอาหารอีกแล้วในยามนี้
“ข้าก็หวังว่าอาห้าวและคนอื่นจะหาสัตว์ป่ามาได้บ้าง” ซุนซูเย่ตอบเสียงแผ่วเบา
“หากหาไม่ได้เล่าขอรับ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบจากชายหัวหน้ากลุ่มที่เป็นความหวังของทุกคน จางอี้หมิงดึงสติกลับมาทันทีที่ได้ยินว่าเย็นนี้จะไม่มีอาหารให้ทุกคนได้กินแล้ว แต่อย่างน้อยตอนที่กลับไปเขาจะสอนให้ชาวบ้านทำซุปสายรุ้งอยู่แล้วนี่นา
เอ๊ะ! ใช่แล้ว
“ท่านลุงเย่ พวกเรารีบลงเขากันเถอะขอรับ สำหรับวันนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกเราจะหาอาหารได้จากที่ไหน” จางอี้หมิงเอ่ยบอกทุกคนให้รีบลงเขาทันที
“หมิงหมิงน้อย เจ้ารู้แล้วเช่นนั้นหรือว่าจะหาอาหารมาจากที่ไหน” ซุนซูเย่เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ขอรับ มันอยู่ใกล้ทะเลที่เราต้องผ่านไปหาต้นลูกหนาม ข้า ท่านพี่หมิงเย่และท่านพี่ซูลี่เคยไปเก็บด้วยกันขอรับ อยู่ใกล้กับท่าเรือของชาวบ้าน มันเรียกว่าหอยหินขอรับ”
“โธ่ หมิงหมิงน้อย ข้านึกว่าเจ้าจะมีอาหารอันใดเสียอีก” ชายชาวบ้านคนหนึ่งถอนหายใจออกมา
“หมิงหมิงน้อย มันกินไม่ได้ เปลือกมันแข็ง หากใช้หินทุบต้องทุบแรงมาก ทุบแรงหอยก็เละ ชาวบ้านจึงไม่สนใจ มันมีมากมายเต็มชายหาดเหมือนหินทั่วไป” ชายชาวบ้านอีกคนออกความเห็น
“จริงอย่างที่น้องชายทั้งสองคนว่า หมิงหมิงน้อยมันกินไม่ได้” ซุนซูเย่เอ่ยย้ำอีกครั้ง หรือเขาจะคิดผิดไป
“เหตุใดจะกินไม่ได้เล่าท่านลุงเย่ ข้ากับท่านพ่อได้นำมาทำเป็นอาหารกินแล้วขอรับ การแกะก็ช่างง่ายดาย เพียงแต่พวกท่านไม่รู้วิธีเท่านั้น การทำอาหารยิ่งง่าย มันอร่อยมาก และมันยังเอาไปทำเครื่องปรุงได้อีกด้วย ข้าทำขึ้นมาก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง ข้าตั้งใจทำเป็นอาชีพให้กับชาวบ้านหลังฤดูหนาวด้วยขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายอย่างใจเย็น
“เจ้าว่าเช่นไรนะ เจ้าได้ทดลองทำเป็นอาหารและการแกะช่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ” ซุนซูเย่เอ่ยถามเด็กน้อยอีกครั้ง เมื่อเห็นจางอี้หมิงพยักหน้าตอบรับ เขาจึงได้เอ่ยเร่งให้ทุกคนรีบลงเขามุ่งหน้าสู่ลานหอยหินในทันที
“โอ้! ช่างเป็นข่าวดียิ่ง เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ”
พวกเขาใช้เวลาแค่กว่าชั่วยาม ด้วยตอนขากลับเป็นทางลาดลงเขาและด้วยความที่รีบร้อนมิได้ไล่มองหาสิ่งใดทำให้ย่นระยะเวลาในการเดินทางลงไปมาก พวกเขาทั้งหมดจึงมาถึงลานดงหอยหินได้อย่างรวดเร็ว
โชคดีที่บริเวณชายหาดหิมะละลายไปหมดแล้ว แต่ลมที่แรงมากกลับทำให้พวกเขาหนาวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ใช่ว่าความเย็นจะลดลง
“ท่านพี่เย่จะทำเช่นใดดีขอรับลมแรงและหนาวเช่นนี้พวกเราคงอยู่ที่นี่นานมิได้ อีกไม่กี่ชั่วยามคงจะมืดแล้ว” ชายชาวบ้านเอ่ยถาม
“นั่นสิ ยิ่งใกล้มืดค่ำเช่นนี้อากาศยิ่งแย่ พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” ซุนซูเย่หันซ้ายแลขวาแต่ก็ยังคิดไม่ออก
“เช่นนั้นก็เก็บหอยหินใส่ลงไปในตะกร้าไม้ไผ่ทุกคน แล้วแบกกลับไปแกะที่บ้านก็ได้ขอรับ พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บและแกะที่ตรงชายหาดอีกที ในเมื่อเราไม่มีเวลาและทนหนาวมากไม่ได้ มันอาจจะหนักหน่อยนะขอรับ เอาเฉพาะทำอาหารเพียงเย็นนี้ก็ได้ขอรับ” จางอี้หมิงสรุปให้ทุกคนได้ฟัง
“ได้ เช่นนั้นพวกเราก็รีบจัดการกันเถอะ” ชายชาวบ้านตอบตกลงและหันไปหยิบหอยหินขึ้นมาใส่ตะกร้า
หลังจากที่เก็บหอยหินจนเต็มตะกร้าสานครบทุกคนแล้ว กลุ่มของจางอี้หมิงจึงเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน พอดีกันกับกลุ่มของเจียวเม่ยที่เก็บหญ้าสายรุ้งและนำไปล้างไว้เรียบร้อย เนื่องจากทุกคนรู้วิธีมาจากการทำเกลือผักแล้ว
“ท่านพี่ แบกสิ่งใดมาตั้งมากมายเจ้าคะ หรือว่ามันคืออาหาร” เจียวเม่ยเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นสามีและชาวบ้านชายอีกห้าคนแบกบางสิ่งกลับมาด้วย
“หอยหินน่ะ หมิงหมิงน้อยบอกว่ามันกินได้และแกะง่ายมาก” ซุนซูเย่ตอบภรรยา พลางนั่งลงพักเหนื่อยที่แคร่ไม้ไผ่รวมทั้งชายทั้งห้าคนด้วย นั่งพักยังไม่ทันหายเหนื่อยอาห้าวก็นำพวกพ้องเดินเข้ามายังลานประชุมเช่นกัน
“ได้สัตว์บ้างหรือไม่” ชายชาวบ้านถามขึ้นอย่างมีหวัง
“...”
ทว่าความเงียบกลับเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี
จางอี้หมิงเห็นว่าตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ทุกคนดูเหน็ดเหนื่อยและหิวโหย เพียงน้ำชาผักคงไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เขาจึงได้บอกให้ทุกคนทำตามที่บอก
“เนื่องจากในตอนนี้ท่านย่ากับท่านแม่ของข้าไม่ค่อยสบาย ท่านปู่ถงกับท่านพ่อก็ยังไม่กลับมาจากในเมือง ดังนั้นข้าขอเป็นตัวแทนของบ้านจางสอนการทำอาหารให้กับท่านลุงท่านป้าทั้งหลายนะขอรับ อาหารในวันนี้สมควรต้องกินกับโจ๊กธัญพืชหรือข้าวแต่หมู่บ้านเราหาได้มีสิ่งที่กล่าวมาไม่ ดังนั้นพวกเราก็คงได้กินซุปหอยกับซุปสายรุ้งไปก่อนนะขอรับ” จางอี้หมิงยืนอยู่กลางลานบ้าน เขาตะเบ็งเสียงให้ดังมากที่สุด
“หมิงหมิงน้อย ซุปสายรุ้งเราจะกินได้เช่นนั้นหรือ มันเค็มมิใช่หรือ” หญิงสาวบ้านเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หญ้าสายรุ้งหากเรารู้วิธีการปรุงก็สามารถเอามาทำเป็นอาหารได้ขอรับ ด้วยในวันนี้ไม่มีข้าว เราจึงต้องทำเป็นซุปสายรุ้ง วิธีการทำไม่ยากขอรับ เอาเฉพาะใบเช่นการทำเกลือผักล้างจนสะอาดแล้วให้นำไปต้มในน้ำร้อน ตักออกมาแล้วนำไปแช่น้ำเย็น บีบเอาน้ำออก ทำเช่นนี้สักสามสี่ครั้ง จนชิมดูแล้วไม่เค็มมากจึงหยุด
เมื่อได้หญ้าสายรุ้งลวกเรียบร้อยแล้ว ตั้งหม้อน้ำให้เดือด ใส่เครื่องเทศ น้ำตาลผักลงไปขอรับ พอน้ำเดือดแล้วจึงใส่หญ้าสายรุ้งที่ลวกไว้ลงไป ชิมรสดูขอรับ หากมีเครื่องปรุงก็ใส่ซีอิ๊วลงไปด้วย เพียงเท่านั้นเราก็จะได้ซุปสายรุ้งร้อน ๆ ให้ดื่มกินพอรองท้องไปได้แล้ว”
“ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถาม
“ง่ายถึงเพียงนี้แหละขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้า
จางอี้หมิงหันหน้าไปทางสตรีวัยกลางคนและที่ยังสาวด้านหน้า เขาเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ท่านป้าท่านน้าทั้งหลายจำได้หรือไม่ขอรับ”
“ข้าจำได้”
เมื่อได้คำตอบ เด็กน้อยจึงหันไปทางฝ่ายชายบ้าง
“ในส่วนของหอยหิน เราจะทำ 2 รายการนะขอรับ หนึ่งคือนำไปต้มทำซุป สองคือการนำเอาไปย่างไฟ ในเมื่อตอนนี้เรื่องฟืนไม่มีปัญหาแล้วเราสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ หอยหินนำไปย่างบนไฟ เวลาที่จะกินให้เอาเกลือผักใส่ลงไป หรือว่าเกลือก็ได้แต่อย่าใส่มากมันจะเค็ม
วิธีที่สองการทำซุป เราต้องตั้งหม้อต้มน้ำเดือดแบ่งเป็นสองหม้อ หม้อแรกทำน้ำซุป หม้อที่สองสำหรับลวกหอยหิน ขอรบกวนพี่ชายหลายคนแกะหอยหินให้หน่อยขอรับ วิธีการทำคือนำหอยหินวางลงให้ด้านเรียบหงายหน้าขึ้น หาผ้าจับก็จะดีขอรับเพราะเปลือกหอยคม ใช้มีดปลายแหลมแซะเข้าไปตรงก้นหอย ตัดเส้นเอ็นที่ฝาหอยแล้วงัดเปิดขอรับ เพียงเท่านี้ก็จะได้หอยข้างใน
แกะเอาตัวหอยออกมาไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วเอามาให้ฮูหยินทั้งหลายสำหรับต้มทำซุป บางส่วนให้ท่านลุงท่านน้านำไปย่างไฟขอรับ”
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าผู้ชายไปแกะหอย พวกข้าผู้หญิงจะไปทำซุป ส่วนพวกเราครึ่งหนึ่งไปทำซุปสายรุ้ง พวกที่เหลือทำซุปหอยหิน ส่วนพวกเจ้าสามคนไปต้มน้ำลวกหอย” เจียวเม่ยเป็นคนแจกแจงงานและหน้าที่ให้แต่ละคน
“ท่านป้าเจียวเม่ย ลวกหอยอย่าให้นานนะขอรับ เมื่อใส่ลงไปแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจก็ตักขึ้นมาเลย ไม่เช่นนั้นมันจะเหลือนิดเดียวและสุกเกินไป” จางอี้หมิงเอ่ยสำทับภรรยาของซุนซูเย่อีกครั้ง
“เช่นนี้พวกผู้ชายตามข้ามา” ซุนซูเย่พาพวกผู้ชายไปจัดการกับหอยหินที่เก็บมา
จางอี้หมิงเดินไปที่กลุ่มผู้ชายก่อน เมื่อเห็นว่าการแกะหอยเป็นไปอย่างราบรื่นถึงแม้ว่าจะเงอะงะไปบ้างในตอนแรก แต่เมื่อแกะไปนานเข้าจึงเกิดความชำนาญ เด็กชายผละจากกลุ่มผู้ชายมายังกลุ่มฮูหยินที่ทำซุปสายรุ้ง และตามด้วยซุปหอยหินในเวลาต่อมา
“ท่านป้าเจียวเม่ย เรามีเครื่องปรุงเหลือไหมขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม
“หมิงหมิงน้อย มีซีอิ๊วเหลือนิดหน่อยใช้วันนี้ก็หมดแล้ว เกลือไม่มีเลย โชคดีที่เรามีเกลือผักแต่ก็เหลือไม่มากแล้ว” เจียวเม่ยตอบ
“แล้วเครื่องเทศเล่าขอรับ พอมีเหลือหรือไม่”
“เครื่องเทศพอมีเหลืออยู่บ้าง แต่ก็น้อยเหลือเกิน ที่เหลือคงเป็นเพราะว่ามันใกล้จะหมดแล้วเป็นแน่”
“ไม่เป็นไรขอรับ อย่างไรก็เอาวันนี้ให้รอดไปก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยปลอบใจท่านป้าเจียวเม่ย
หลังจากที่เดินวนไปมาระหว่างกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิงอยู่ราวเกือบครึ่งชั่วยาม ซุปสายรุ้ง หอยหินต้มซุป และหอยหินย่างจึงแล้วเสร็จพร้อมให้ทุกคนได้ดื่มกิน ไม่น่าเชื่อว่าหอยหินย่างจะส่งกลิ่นหอมถึงเพียงนี้
อาจจะเป็นเพราะทุกคนหิวโหยอาหารมากก็เป็นได้ กลิ่นของหอยย่างจึงทำให้ท้องไส้ของทุกคนปั่นป่วน
เจียวเม่ยกำลังจะตักอาหารแบ่งให้กับทุกคน ซุนถงและจางอี้เทาจึงได้กลับมาจากในเมืองพอดี แต่พวกเขากลับมามือเปล่าไม่มีสิ่งใดติดมือกลับมายังหมู่บ้านหลัวถงเลยแม้แต่อย่างเดียว
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ซุนซูเย่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“ท่างลุงเย่ อย่าเพิ่งถามอันใดเลยขอรับ ดูท่าทุกคนจะหิวกันมิใช่น้อย เช่นนั้นให้ทุกคนกินข้าวกันให้เสร็จก่อน ได้เรื่องเช่นไรค่อยเจรจาทีหลังขอรับ” จางอี้หมิงรีบเอ่ยเตือนซุนซูเย่เมื่อเห็นว่ากำลังจะอ้าปากซักถามบิดาตนเอง
ซุนซูเย่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับและปลีกตัวไปรับแจกอาหาร ซุนถงและจางอี้เทาจึงตามไปด้วย หลังจากนั้นการวิจารณ์รายการอาหารในวันนี้จึงได้เริ่มขึ้น
“ฮูหยินเจีย เจ้าลองชิมดู ข้าไม่คิดว่าหญ้าสายรุ้งพอเอามาทำเป็นซุปจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้”
“พี่สาวฉิน ลองชิมหอยหินต้มซุปนี้ มันหวานมาก ข้าไม่นึกว่าหอยหินจะอร่อยถึงเพียงนี้ ซดน้ำร้อน ๆ ช่างคล่องคอยิ่งนัก”
“พี่ซูเย่ หอยหินย่างอร่อยยิ่งนัก”
“เจ้าหน้าเหม็น หอยอันนี้ข้าย่างไว้ เจ้าจะกินก็ไปย่างเอง”
“...”
“...”
“...”
จางอี้หมิงสะกิดบิดาให้รับอาหารไปส่งให้มารดาและท่านย่าด้วย ซึ่งทั้งสองคนนอนอยู่ในห้องของบ้านซุนอย่างอ่อนแรง จางอี้เทาเมื่อจัดการกินอาหารเรียบร้อยแล้วจึงได้ไปรับอาหารและนำไปป้อนให้กับมารดาและภรรยาต่อไป
เอ้! แต่ว่าข้าลืมอันใดไปหรือไม่นะ
จางอี้หมิงเสมือนมีสิ่งที่ตนเองหลงลืม แต่ก็คิดไม่ออกว่าตนเองหลงลืมอันใดไป ช่างเถอะ ในเมื่อจำไม่ได้ก็ช่างมัน
โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเป็นสาเหตุให้หนุ่ม ๆ หลายบ้านอารมณ์พลุ่งพล่านมากแค่ไหนโดยเฉพาะบิดาของตนเอง เนื่องจากคนบ้านจางย้ายมานอนและทำการเปลี่ยนที่ทำการกลุ่มการค้าหลัวถงให้เป็นบ้านชั่วคราว
บ้านซุนแบ่งฟูกนอน หมอน ผ้าห่มมาให้ ชาวบ้านเองก็เก็บเชื้อเพลิงมาส่ง ถึงแม้ว่าจะขลุกขลักไปบ้างแต่ก็มีบ้านเป็นของตนเอง แม้ว่าจะมีห้องหับเป็นของส่วนตัว แต่หลี่อ้ายไม่สบาย จางอี้เทาที่อารมณ์พลุ่งพล่านเป็นพิเศษถึงกับนอนไม่หลับถ้าไม่ได้ปลดปล่อย คืนนั้นจึงเป็นคืนที่ทรมานยิ่งของชายหนุ่ม
ส่วนจางอี้หมิงนอนหลับสบายเพราะเหนื่อยล้าจากการขึ้นเขามาทั้งวันและเมื่อคืนก่อนก็นอนในถ้ำอับชื้น วันนี้เมื่อมีโอกาสได้นอนที่นอนนุ่ม ๆ เขาจึงหลับสบายไปจนถึงเช้า
เด็กน้อยหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าห้องข้างๆ บิดาของเขากำลังร้อนรุ่มราวกับไฟ
นี่แหละ...คือสิ่งที่จางอี้หมิงลืมไปเสียสนิท
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?