ตอนที่ 44 ช่วยชีวิต

หลังจากที่ท่านอ๋องออกไปจากห้องครัวแล้ว จางอี้หมิงถึงกับลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากหนิงอ๋องยังประทับอยู่ คนครัวจากเหลาซิ่งฝูคงไม่มีสมาธิทำสิ่งใดแน่ เด็กน้อยเรียกขวัญตัวเองและชะเง้อคอมองเนื้อย่างบนเตา เมื่อเห็นว่าย่างสุกได้ที่แล้วจึงรีบบอกให้อู๋เจ๋อยกลงมา

“ท่านลุงหั่นตามขวางเป็นชิ้นหนาเท่านี้นะขอรับ” จางอี้หมิงยกนิ้วตนเองให้อู๋เจ๋อดู

“โอ้ หมิงหมิงน้อย ดูสิ...มันสุกเกรียมข้างนอกแต่ข้างในสุกกำลังพอดี ช่างล่อลวงให้ลิ้มลองยิ่งนัก” พ่อครัวใหญ่จากเหลาอาหารอันดับสองอุทานออกมา เพราะการทำเนื้อย่างของคนทั่วไปไม่ได้หมักด้วยเครื่องเทศใด ๆ และย่างไปตามปกติเท่านั้น เนื้อด้านในจึงไม่สุกและไม่ชุ่มฉ่ำถึงเพียงนี้

“ท่านลุง เพราะเป็นเนื้อหมูจึงต้องย่างให้สุก เสร็จแล้วท่านลุงจัดใส่จานเลยขอรับ ท่านอ๋องคงรอเสวยแล้ว” จางอี้หมิงเอ่ยเตือน 

เขาไม่แน่ใจว่าคนในสมัยนี้มีความรู้เรื่องการรับประทานอาหารสุกหรือดิบมากแค่ไหน หากพ่อครัวอย่างอู๋เจ๋อปรุงเนื้อหมูไม่สุกและส่งให้ลูกค้าทั้งอย่างนั้น ไม่ดีแน่ ยิ่งในครั้งนี้ที่มีคนชิมเป็นถึงอ๋องจากแคว้น เหลียง

“ได้ ๆ” 

อู๋เจ๋อนำเนื้อย่างที่มีน้ำซึมออกมาเล็กน้อยวางลงไปบนจานใบใหญ่ที่หลานชายของเขาจัดจานไว้รออยู่ก่อนแล้ว ในจานประดับไปด้วยแครอทต้ม ดอกไม้มะเขือเทศ และยังมีถ้วยเล็ก ๆ สองใบ ใบหนึ่งเป็นน้ำราดที่เขาทำเอง อีกใบเป็นน้ำปรุงมะเขือเทศที่เขาเอามาด้วยจากเหลาซิ่งฝู ขาดไม่ได้คือข้าวสวยหุงสุกร้อน ๆ กลิ่นหอมที่พากันส่งควันลอยขึ้นไปบนอากาศยิ่งทำให้อาหารนี้ดูน่ากินมากขึ้นไปอีก

เมื่อเสร็จแล้ว นางกำนัลจึงมารับชุดอาหารของทั้งตี้ปินและเหลาซิ่งฝูไปจัดขึ้นโต๊ะเสวย

“ท่านอ๋องมีรับสั่งให้คนของเหลาซิ่งฝูเข้าพบ” หัวหน้าพ่อบ้านเป็นคนมาแจ้งเรื่องด้วยตนเองหลังจากนั้นไม่นาน

ทุกคนจึงล้างมือและเดินตามหัวหน้าพ่อบ้านไปยังห้องเสวยอาหารของจวนอ๋องทันที จางอี้หมิงมือเย็นเฉียบ เขาประหม่าเล็กน้อย

ตอนเป็นอานนท์ก็ไม่เคยได้ทำอาหารให้คนใหญ่คนโตกิน นี่ข้ามมาโลกโบราณไม่ทันไรก็ได้ทำเครื่องเสวยให้ท่านอ๋องของแคว้นใหญ่โตเสียแล้ว จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน

“พวกเจ้ามาแล้วยังไม่คุกเข่าถวายพระพรอีกเช่นนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนที่จางอี้หมิงเห็นว่าขากระเผลกซึ่งนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับหนิงอ๋องตวาดเสียงดังขึ้นมา

“คารวะท่านอ๋องขอรับ” อู๋เจ๋อ อู๋หมินและจางอี้หมิงถึงกับเอ่ยทักทายและทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าแทบไม่ทัน

“เอาล่ะ พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ท่านอาจารย์ อย่าได้ทำให้พวกเขากลัวไปเลย ข้ามิใช่คนใจร้ายหรือเข้มงวดเช่นนั้น พวกเจ้าก็อย่าไปถือสาหาความท่านอาจารย์เลยนะ พวกเจ้าพูดกับข้าตามปกติเถอะ” หนิงอ๋องเอ่ยปากอนุญาตให้ทุกคนลุกขึ้นและหัวเราะถูกใจเสียงทุ้ม

ชายทั้งสามคนที่อายุต่างกันจึงลุกขึ้นยืนค้อมตัวก้มหน้ามองต่ำรอฟังรับสั่งของผู้สูงศักดิ์ต่อไป

จางอี้หมิงถือว่าตนเองเป็นเด็กจึงมีความกล้าที่จะมองไปยังโต๊ะเสวยซึ่งตอนนี้มีคนแต่งกายด้วยชุดทหารกำลังชิมอาหารบนโต๊ะ ทั้งยังใช้อะไรสักอย่างจิ้มไปบนอาหารทั้งหมดบนโต๊ะด้วย

โอ้ ทดสอบพิษของจริงเลยวุ้ย เช่นนั้นในทีวีก็อ้างอิงมาจากเรื่องจริงน่ะสิ

“พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง” หนิงอ๋องเอ่ยถาม ทำให้คนที่กำลังมองขั้นตอนการทดสอบพิษในอาหารสะดุ้งขึ้น

“ข้าน้อย จางอี้หมิง เป็นหลานชายบุญธรรมของท่านปู่หลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝู ผู้ที่ยืนอยู่ทางด้านขวาคือท่านลุงอู๋เจ๋อ เป็นหัวหน้าพ่อครัวและพี่ชายอู๋หมิน เป็นผู้ช่วยพ่อครัวขอรับ” เด็กน้อยเอ่ยแนะนำตนเองและคนจากเหลาอาหารซิ่งฝู

“อาหารช่างมีกลิ่นหอมและน่าลิ้มลอง มันเรียกว่าอันใดหรือ” หนิงอ๋องเบนดวงพักตร์มาถาม

“เรียนท่านอ๋อง อาหารตรงหน้าของท่านอ๋องเรียกว่า หุบเขาเดียวดาย ขอรับ” 

“หุบเขาเดียวดายเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดอาหารจานนี้ถึงได้ชื่อว่าหุบเขาเดียวดายเล่า” ท่านอ๋องถามต่อ

“เพราะอาหารชนิดนี้มีกลิ่นหอมมากขอรับ ตำนานเล่าว่ามีชายคนหนึ่งคิดวิธีการทำเนื้อย่างเช่นนี้ขึ้นมา เมื่อใดก็ตามที่เขาย่างเนื้อ กลิ่นหอมของเนื้อย่างจะส่งกลิ่นไปไกลจนมีชาวบ้านตามกลิ่นมาถึงหน้าบ้าน แย่งเนื้อย่างของชายคนนั้นไปกินจนหมด เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งจนเขาทนไม่ไหว จึงไปสร้างบ้านอยู่อย่างเดียวดายในหุบเขาลึก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้กินเนื้อย่างอย่างมีความสุขและไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาแย่งชิงไปขอรับ” จางอี้หมิงตอบที่มาของชื่อรายการอาหารชนิดนี้

เด็กน้อยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะในการเชื่อมโยงเก่งขนาดนี้มาก่อน เขาคิดขึ้นมาใหม่และกล่าวได้อย่างสวยงาม มีบ้างที่แอบคิดคนเดียวเล่น ๆ ก่อนหน้านี้ถึงชื่อของสเต็ก แต่เรื่องชายในหุบเขานี่บอกเลยว่าสดใหม่จากสมอง

“ที่มาง่ายดายเช่นนี้ อืม...ข้ายอมรับว่ากลิ่นมันหอมมาก แล้วมีวิธีการกินหรือไม่” ท่านอ๋องยังคงถามต่อ

“เรียนท่านอ๋อง ตรงหน้าของท่านประกอบไปด้วยเนื้อย่างสองแบบ แบบมีไขมันและไม่มี ข้าวหุง มันบด ผักลวก และเนื้อย่างต้องกินกับน้ำจิ้มสองอย่างที่อยู่ในถ้วยใบเล็กขอรับ” ขณะพูดเขาก็ผายมือไปที่ถ้วย ก่อนเสียงเล็กจะอธิบายต่ออย่างตั้งใจ

 “ถ้วยสีแดงทำมาจากมะเขือเทศและถ้วยสีน้ำตาลทำมาจากน้ำปรุงรส วิธีการกินท่านอ๋องเพียงคีบเนื้อย่างจิ้มลงไปที่น้ำปรุงรส กินได้ตามปกติ ระหว่างนั้นสามารถกินผักลวก ข้าว หรือมันบดตามลงไปได้ขอรับ เนื้อย่างท่านสามารถเลือกเอาแบบที่ชอบได้ขอรับ” 

หลังจากที่อธิบายวิธีการกินเสร็จสิ้นแล้ว จางอี้หมิงจึงก้มหน้าลงเช่นเดิม

“คีบเนื้อย่างจิ้มลงบนน้ำปรุงแล้วตามด้วยผักลวกหรือมันบด” ท่านอ๋องเอ่ยขั้นตอนการกินอีกครั้งและทำตามที่ได้เอ่ยออกไป หัตถ์เรียวสวยหยิบตะเกียบก่อนส่งเนื้อย่างแบบมีมันเล็กน้อยจุ่มลงไปในน้ำมะเขือเทศสีแดง เขาพินิจพิจารณาอย่างพอใจและนำอาหารเข้าปาก 

ความนุ่มของเนื้อที่หมักอย่างดีและกลิ่นหอมของเครื่องเทศกรุ่นในปาก ท่านอ๋องหลับตาพริ้มซึมซับรสชาติอาหาร เขาตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเมื่อรสสัมผัสมีความต่างออกไปในหนึ่งคำ ในตอนแรกให้ความรู้สึกกรอบและมีความนุ่มตามมาทีหลัง

“อืม ท่านอาจารย์สมควรได้ลิ้มลองดูนะ มันอร่อยมาก ข้ากินเนื้อย่างมาตั้งแต่จำความได้แต่ไม่เคยได้กินเนื้อย่างที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย แม้แต่อาหารในวังของเสด็จพ่อที่ปรุงขึ้นจากหัวหน้าพ่อครัวหลวงยังเทียบไม่ได้” หนิงอ๋องพูดจบแล้วจึงคีบเนื้อย่างวางลงไปยังจานของชายวัยกลางคนที่ขากะเผลกนั้นทันที

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านอาจารย์ค้อมศีรษะเล็กน้อยและนำชิ้นเนื้อย่างเข้าปาก

“เป็นเช่นไรบ้าง”

“อร่อยจริงด้วยพะยะค่ะ” 

“เช่นนั้นก็ลงมือเถอะท่านอาจารย์ เดี๋ยวหายร้อนแล้วจะไม่อร่อย” หนิงอ๋องอนุญาตให้อาจารย์ของตนที่ร่วมโต๊ะเสวยได้ลงมือทานอาหาร โดยที่พระองค์ก็เริ่มเสวยเช่นกัน

“ที่เรียกพวกเจ้ามาหาเพียงเพื่อสอบถามถึงที่มาของอาหารเท่านั้น ข้าชื่นชอบหุบเขาเดียวดายยิ่งนัก เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ หลังจากที่ข้ากินข้าวเสร็จแล้วจะได้มาคุยเรื่องน้ำตาลผักกันต่อไป” หนิงอ๋องเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกมืออนุญาตอยู่สองสามที

อู๋เจ๋อ อู๋หมินและจางอี้หมิงกำลังจะเอ่ยตอบรับแต่ยังไม่ทันเสร็จสิ้น เสียงไอโขลกและความวุ่นวายก็ทำให้พวกเขาชะงัก รีบมองเหตุการณ์ตรงหน้า

อึก อ๊อก แค๊ก ๆ

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอันใด”

หนิงอ๋องวางตะเกียบลงเกือบไม่ทันเมื่อเห็นชายวัยกลางคนเอามือขึ้นมากุมบริเวณลำคอ เขากำลังไอและดูเหมือนหายใจลำบาก อ๋องหนุ่มจึงเรียกอาจารย์ของตนด้วยความตกใจ

แค่ก แค่ก อือ อือ

“พวกเจ้ายังไม่รีบเรียกหมอมาอีก” ท่านอ๋องหนุ่มตวาดบอกบ่าวรับใช้ในห้องเสวยเสียงดังลั่น เสร็จแล้วจึงทำการทุบไปที่ด้านหลังของอาจารย์ตนเองเพื่อหวังให้สำลักอาหารออกมา บรรดาบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบออกไปตามหมอทันที

“ยะ อย่าขอรับ อย่าทุ.....” 

คำว่าทุบหลังยังไม่ทันได้พูดจบ ท่านอ๋องก็ทุบลงไปแล้วสองสามที ชายวัยกลางคนที่ตอนแรกยังพอหายใจได้แต่ตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออก ก่อนหน้านั้นเขาแค่หายใจลำบาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหายใจไม่ได้เสียแล้ว จางอี้หมิงลืมตัว เตรียมก้าวเท้าจะเข้าไปหาชายวัยกลางคนคนนั้น ดีว่าอู๋เจ๋อรีบดึงเด็กชายไว้เสียก่อน

“หมิงหมิงน้อย เจ้าจะทำอันใด” อู๋เจ๋อก้มลงไปกระซิบถามข้างใบหูของเด็กชาย

สถานการณ์ตอนนี้ ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังได้เหลือแต่หัวกลับไปให้เถ้าแก่หลินดู

“ท่านลุงอู๋ ข้ากำลังจะไปช่วยท่านลุงคนนั้นน่ะสิขอรับ”

“ไม่ได้ เจ้าเป็นเพียงเด็กจะช่วยอันใดได้ หากทำสิ่งใดให้ท่านอ๋องไม่พอใจ หัวเราไม่หลุดออกจากบ่าเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อยังคงจับตัวเจ้านายตัวน้อยไว้อย่างเหนียวแน่น

“แต่ว่า...ท่านลุงอู๋ดูท่านอาจารย์คนนั้นสิขอรับ คงทรมานมาก”

ระหว่างที่อู๋เจ๋อพยายามรั้งจางอี้หมิงไว้ ท่านอ๋องก็ตวาดเรียกหาหมออีกครั้งเมื่อเห็นอาจารย์ของตนทนไม่ไหวนั่งลงไปบนเก้าอี้แล้ว

“พวกไม่เอาไหน เหตุใดหมอยังไม่มาอีก”

“ท่านลุงอู๋ ปล่อยข้าขอรับ หากช่วยช้ากว่านี้พวกเราก็ไม่รอดเช่นกันเพราะอาหารบนโต๊ะทำมาจากเหลาซิ่งฝู ท่านลุงอู๋เองก็ต้องไปช่วยข้า” จางอี้หมิงอธิบายก่อนที่จะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอู๋เจ๋อและลากหัวหน้าพ่อครัวเหลาซิ่งฝูเดินตามตนเองไปด้วย

“เรียนท่านอ๋อง ห้ามทุบหลังท่านอาจารย์นะขอรับ จะทำให้อาหารยิ่งอยู่ลึกลงไปอีก บอกท่านอาจารย์ให้ไอออกมาแรง ๆ ขอรับ”

“เด็กน้อย เจ้าจะทำอันใด หลีกไปอย่าได้มาวุ่นวาย” หนิงอ๋องบอกปัด แต่ก็ไม่วายสงสัยในท่าทางมั่นใจราวคนที่มีความรู้พร้อมจะช่วย

“เชื่อข้าน้อยนะขอรับ ให้ท่านอาจารย์พยายามไอออกมาแรง ๆ แรงที่สุดเท่าที่ทำได้”

หนิงอ๋องเห็นสีหน้าที่มีความมั่นใจเป็นอย่างมากของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วเขาก็ไม่รู้มีอันใดมาดลใจให้เชื่อในคำพูดนั้น หนิงอ๋องจึงเอ่ยบอกอาจารย์ของตน

“ท่านอาจารย์ ท่านต้องไอ ไอแรง ๆ” 

ชายวัยกลางคนที่อาหารติดคอ ถึงแม้ว่าจะหายใจลำบากแต่ก็ยังไม่หมดสติ เมื่อได้ยินหนิงอ๋องบอกตนเช่นนั้นจึงพยายามไอออกมาแรง ๆ อยู่สองสามครั้ง อาหารก็ยังไม่หลุดออกมา จางอี้หมิงเห็นท่าทางที่อ่อนแรงลงไปมากของคนป่วยแล้วร้อนใจหนัก หากไม่ช่วยทำการรักษาเบื้องต้นแล้วเอาแต่รอหมอที่ให้บ่าวไปตาม ท่านลุงคนนี้อาจจะเสียชีวิตไปก่อน อีกอย่างหากหมอมาแล้วก็ไม่มีหลักประกันใดยืนยันได้ว่าชายคนนี้จะรอดและเหลาซิ่งฝูคงต้องรับผิดชอบ

ในเมื่อไม่ว่าทางไหนเหลาซิ่งฝูก็เสี่ยงทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ขอเสี่ยงที่โอกาสรอดมากไว้ก่อนดีกว่า

“ท่านลุงอู๋ มาช่วยข้าทีขอรับ”

อู๋เจ๋อมัวแต่คิดถึงคำพูดของจางอี้หมิงที่ว่าหากชายตรงหน้าไม่รอด พวกตนก็ไม่รอดเช่นกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเด็กน้อยตะโกนเรียกตนเองแล้ว

“ท่านลุงอู๋ท่านต้องตั้งสติ ฟังและทำตามที่ข้าบอก”

“ดะ ได้ เจ้าต้องการให้ลุงทำอันใด” อู๋เจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง 

“ท่านอ๋องขอรับ หากไม่ทำให้อาหารที่ติดอยู่หลุดออกมาโดยเร็วคาดว่าท่านอาจารย์คงจะแย่เป็นแน่ ในเมื่อท่านหมอยังมาไม่ถึง ข้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ทำการรักษาท่านอาจารย์เบื้องต้นก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงยกมือขึ้นเอ่ยด้วยความมั่นใจและฉะฉาน เขาไม่หลบสายตาของหนิงอ๋องแม้แต่น้อย

ทางด้านอ๋องหนุ่มพิจารณาเด็กน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน รูปร่างผอม สวมใส่เสื้อผ้าดั่งชาวบ้านธรรมดา แต่การพูดจาฉะฉาน ไม่มีความกลัวเมื่อต้องพูดคุยกับตนเอง สายตาที่แน่วแน่มีความมั่นใจ และยังเป็นคนที่ควบคุมการทำอาหารเจ้าปัญหาอยู่ตอนนี้อีกด้วย

“ได้ เจ้าลองดู” 

เมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตแล้ว จางอี้หมิงจึงเรียกอู๋เจ๋อมาช่วยตนเองทันที

“ท่านลุงอู๋ พยุงท่านอาจารย์ลุกขึ้นยืน ไปยืนช้อนหลังใช้ขาที่ถนัดที่สุดสอดเข้าไปตรงกลางขาของท่านอาจารย์ ใช้มือข้างที่ถนัดที่สุดกำมือ เก็บหัวแม่มือไว้”

ขณะที่พูดเขาก็มองท่านลุงอู๋ทำตามที่ตนบอกด้วยท่าทางเงอะงะ จึงสาธิตให้อีกฝ่ายดู

“ท่านลุงอู๋มองมือข้าเป็นตัวอย่าง วางไปบนระหว่างลิ้นปี้และสะดือของท่านอาจารย์ ใช้มืออีกข้างจับมือที่กำไว้ ขยับมือเฉียงให้สูงขึ้นไปดันให้ตัวท่านอาจารย์เข้าไปหาท่านลุงอู๋ ทำให้เป็นจังหวะ ทำตามที่ข้าให้สัญญาณ” จางอี้หมิงเอ่ยวาจาอย่างรวดเร็วแบบไม่มีหยุดพัก เด็กน้อยมองการกระทำของอู๋เจ๋ออยู่ตลอดเวลาว่าเข้าใจในคำบอกของตนเองหรือไม่ ในครั้งที่ต้องกำมือเป็นตัวอย่างเด็กชายก็ทำช้าลง เมื่อเห็นว่าอู๋เจ๋อพร้อมทำขั้นตอนต่อไปแล้ว อี้หมิงจึงเริ่มนับเป็นจังหวะ

“หนึ่ง สอง สาม ท่านลุงอู๋หยุด” อู๋เจ๋อทำตามคำบอกของจางอี้ หมิงอย่างเคร่งครัด เมื่อได้ยินเสียงสั่งให้หยุดก็หยุดตามคำสั่ง เมื่อเสียงเล็กส่งสัญญาณพ่อครัวเหลาซิ่งฝูจึงเริ่มขยับมือต่อ

“หนึ่ง สอง สาม ท่านลุงอู๋หยุด”

อะ โอ๊ะ อ๊อก เฮือก แค่ก ๆ 

เสียงที่ดังติดต่อกันของท่านอาจารย์คล้ายคนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด เมื่อก้อนเนื้อเจ้าปัญหาหลุดออกมา ท่านอาจารย์ถึงกับอ่อนแรงเกือบทรุดตัวลงไป 

“หลุดออกมาแล้ว” จางอี้หมิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ อู๋เจ๋อเองก็แทบหมดแรงเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนอ่อนแรงจะทรุดตัวลงไป อู๋เจ๋อจึงพยุงท่านอาจารย์ไปนั่งที่เก้าอี้

“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นยังไงบ้าง” หนิงอ๋องปรี่เข้าไปเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ขออภัยท่านอ๋อง อย่าเพิ่งถามหรือรบกวนท่านอาจารย์ขอรับ” หลังจากที่จางอี้หมิงเอ่ยจบ ชายชราไว้หนวดเคราสีขาวถือล่วมยาก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องเสวยอาหารด้วยอาการกระหืดกระหอบพอดี สบตากับท่านอ๋องที่มีแต่ความโกรธเกรี้ยวก็แทบเข่าอ่อน ทรุดลงไปตรงนั้น

“ท่านหมอ เจ้าจงรีบรักษาท่านอาจารย์” หนิงอ๋องเอ่ยสั่งการ

หลังจากนั้นหมอชราจึงได้สั่งให้ทหาร หามท่านอาจารย์ขึ้นเพื่อไปยังห้องของเขา ระหว่างที่ทหารยกขาของท่านอาจารย์ขึ้น จางอี้หมิงได้มีโอกาสเห็นแผลขนาดไม่ใหญ่มากนักที่ยังสดและไม่มีผ้าผันแผลพันไว้

“เด็กน้อย พวกเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกมาก เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา” หนิงอ๋องหันไปสั่งทหารให้นำชาและขนมไปให้ที่ห้องทำงาน ไม่ลืมสั่งให้ไปตามเถ้าแก่หวังและคนอื่น ๆ ตามไปด้วย เสร็จแล้วจึงเดินนำหน้าทุกคนมุ่งตรงไปยังห้องทำงานส่วนตัว

ความสุนทรีย์ในการที่จะได้กินหุบเขาเดียวดายจึงหมดไป เฮ้อ! ช่างน่าเสียดาย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ