ตอนที่ 96 แผนการร้าย

วันนี้จวนตระกูลจางภายในพื้นที่เหลียนฮวามีอากาศสดใสตั้งแต่เช้า หลังจากที่ทุกคนทำธุระส่วนตัวและกินอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวซุนก็ขอตัวออกไปเดินเที่ยวในตลาด ครอบครัวจางจึงพากันมานั่งคุยที่ศาลาบึงบัว เพื่อปรึกษาหารือเรื่องป้ายวิญญาณของท่านปู่

“หมิงเอ๋อร์ พวกเราจะทำเช่นไร หากฮูหยินใหญ่มิยินยอมให้ผู้อาวุโสทำพิธีมอบป้ายวิญญาณท่านปู่เจ้าให้กับพวกเรา” นางหูเอ่ยถามหลานชายด้วยความกังวล

“นั่นสิหมิงเอ๋อร์ พ่อมองมิเห็นว่าฮูหยินใหญ่จะยินยอมเช่นกัน” จางอี้เทาเองก็สงสัยไม่ต่างจากมารดา

“แม่ด้วยนะหมิงเอ๋อร์ ไม่ใช่เพราะนางหรอกหรือ พวกเราถึงต้องเร่ร่อนไปไกลถึงหลัวถง” หลี่อ้ายเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บแค้นใจ นางเกือบสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปในการเดินทางครั้งนั้น

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่เป็นกังวลเลยขอรับ ตอนนี้แค่รอเวลาเท่านั้น ไม่เกินหนึ่งเดือนพวกเราจะได้ป้ายวิญญาณท่านปู่มาอย่างแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงยิ้มสดใสให้ทุกคนและเอ่ยตอบเพื่อให้ความมั่นใจแก่บุคคลที่ตนรักมิยิ่งหย่อนไปกว่าแม่ครูในชาติที่แล้ว

“เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงได้มั่นใจเช่นนั้นเล่า” หลี่อ้ายถามขึ้น นางเองยังไม่เห็นหนทาง แล้วเหตุใดบุตรชายจึงได้มั่นใจนัก

“นั่นสิ ย่าก็อยากรู้เช่นกัน”

“หรือว่าลูกมีแผนการไว้แล้วเรียบร้อย” จางอี้เทาลองเสี่ยงเดาความคิดของบุตรชาย

จางอี้หมิงมิตอบอันใด เด็กน้อยส่งยิ้มจนตาหยีไปให้ทุกคนเพียงเท่านั้น แต่การกระทำนี้แหละที่เป็นคำตอบ

“นายท่านเจ้าคะ มีกงกงจากในวังมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อบ้านกำลังทำการต้อนรับอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งเดิมแกมวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวให้เจ้านายตนรับรู้ตามคำสั่งของท่านพ่อบ้านจนลืมเรื่องมารยาทไปสิ้น แต่สมาชิกบ้านจางก็ไม่ได้ติดใจเอาความ พวกเขารีบเดินไปที่ห้องโถงของเรือนทันที

เมื่อไปถึงเป็นจางอี้เทาจึงเอ่ยขอโทษท่านกงกงขึ้นเป็นคนแรก

“โปรดอภัยที่ข้าน้อยและครอบครัวมาต้อนรับท่านกงกงช้า”

“มิได้ มิได้ เชิญท่านเจ้าบ้าน เป็นข้าที่มาเยือนโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า ด้วยเป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาทให้นำความมาแจ้งแก่ครอบครัวจาง” ท่านกงกงรีบเอ่ยปฏิเสธคำขออภัยอย่างรวดเร็ว

“ขอรับ”

จางอี้เทาและครอบครัวรับคำและเดินไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง โดยจางอี้เทานั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งของผู้นำตระกูล ถึงแม้ว่าจางอี้หมิงจะมียศและศักดิ์สูงกว่า แต่ด้วยเพราะเป็นบุตรและอายุยังน้อยกว่ามาก จางอี้หมิงจึงมิยอมให้บิดามาทำความเคารพตนเอง ขณะอยู่ในแคว้นฉิน ครอบครัวจึงถือเอาว่าจางอี้เทาเป็นผู้นำตระกูลจาง เพราะเขายังไม่อยากอายุสั้น ถึงเช่นไรอี้หมิงก็ถูกสั่งสอนให้รู้ว่าเด็กต้องอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่

“ท่านจาง ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ท่านอ๋องน้อยเข้าเฝ้าและในอีกเจ็ดวันทางวังหลวงจะนำป้ายประกาศเชิดชูวงศ์ตระกูลมามอบให้กับจวนตระกูลจางอย่างเป็นทางการ” ท่านกงกงแจ้ง

“ด้วยความยินดีขอรับ ทางตระกูลจางจะจัดเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยขอรับ ส่วนทางด้านบุตรชายของข้า คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอันใด ใช่หรือไม่หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาเอ่ยตอบรับท่านกงกงก่อนจะหันไปถามความเห็นของบุตรชาย

“ไม่มีปัญหาขอรับท่านพ่อ ข้าอยู่ที่นี่มิมีอันใดให้ทำอยู่แล้ว หากต้องการให้เข้าเฝ้าวันไหนเพียงท่านกงกงส่งคนมาแจ้งได้เลยขอรับ”

“เช่นนั้นก็เป็นการดียิ่ง วันนี้ข้ามิมีอันใดแล้ว ขอตัวก่อน” เมื่อกล่าวจบ ท่านกงกงก็ลุกขึ้น เตรียมจะเดินจากไป

“น้อมส่งท่านกงกงขอรับ” จางอี้เทาล้วงถุงเงินส่งให้กับท่านกงกง พลางลุกเดินมาส่งถึงหน้าประตู

“ท่านจางมิต้องเกรงใจไป ข้ากลับเองได้ ข้าขอตัวอีกครั้ง”

“เชิญท่านกงกงขอรับ”

“เชิญท่านกงกงเจ้าค่ะ”

ครอบครัวจางบอกลาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านกงกงจากไปแล้ว จางอี้หมิงก็ขอตัวจากครอบครัว เขาเดินกลับไปที่ห้องนอนเพื่อเรียกองครักษ์ชีกับซานและสั่งการให้ไปทำบางสิ่งบางอย่าง เสร็จแล้วจึงเดินกลับไปสมทบกับครอบครัว ซึ่งกำลังปรึกษาเรื่องการจัดงานฉลองขึ้นป้ายเชิดชูวงศ์ตระกูล

“ท่านพ่อ ข้าต้องการให้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่จวนของเรา ให้เถ้าแก่จวงคัดรายชื่อผู้ที่สมควรได้รับเทียบเชิญ นอกจากจะได้จัดงานฉลองให้กับตระกูลจางของเราแล้ว พี่สาวซูลี่กับพี่ชายหมิงเย่เองก็สมควรเริ่มการคบหาสหายและกลุ่มคุณหนูคุณชายในเมืองหลวงได้แล้ว ก็ถือโอกาสนี้เสียเลย พอเข้าไปที่สำนักศึกษาจะได้มีเพื่อน

ที่สำคัญท่านพ่ออย่าลืมจัดหาอาจารย์มาสอนเพิ่มเติมศาสตร์ต่างๆ ให้ท่านพี่ทั้งสองด้วยนะขอรับ เราสมควรเตรียมความพร้อมให้ท่านพี่ไว้แต่เนิ่น ๆ เมื่อเข้าไปในสำนักศึกษา ใครที่คิดจะรังแกคงต้องคิดให้รอบคอบหน่อยว่าพี่สาวพี่ชายของข้าแตะต้องได้หรือไม่”

“ได้ เรื่องนี้ปล่อยให้พ่อจัดการเถอะหมิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

“หมิงเอ๋อร์ ย่าอยากจัดทำโรงทานแจกอาหารขึ้นในวันงาน เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไรบ้าง” นางหูถามความเห็นหลานชาย

“ข้าเห็นด้วยขอรับท่านย่า ข้าว่าเราควรจ้างโรงหมอให้เปิดบริการตรวจรักษาคนไข้โดยไม่เก็บเงิน บ้านจางของเราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เช่นนี้คงดีไม่น้อย”

“แม่เห็นด้วยนะหมิงเอ๋อร์ เงินทองเรามีมากมายแล้ว สร้างกุศลให้มากหน่อยก็ดีเหมือนกัน” หลี่อ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรชาย

“เช่นนั้น อาเทาไปจัดการเรื่องส่งเทียบเชิญกับโรงหมอ ข้ากับลูกสะใภ้จัดการเรื่องอาหารเอง” นางหูสรุปหน้าที่

“ส่วนข้าจะเตรียมตัวเข้าเฝ้าฮ่องเต้” จางอี้หมิงเอ่ยประโยคถัดจากท่านย่า

“หมิงเอ๋อร์ เข้าเฝ้าฮ่องเต้ย่ามิเห็นต้องเตรียมตัว เจ้าจะหาทางไปเที่ยวซนดั่งเช่นทุกวันใช่หรือไม่”

นางหูที่รู้ทัน นางจึงเอ่ยเย้าหลานชายเสียงนุ่ม

“โธ่ ท่านย่าขอรับ ข้ามิได้เที่ยวเล่นเสียหน่อย ข้าไปสำรวจเส้นทางการค้าต่างหากเล่าขอรับ” จางอี้หมิงรีบปฏิเสธเสียงโอดโอย

“แต่พ่อเห็นด้วยกับท่านย่าของเจ้านะ หมิงเอ๋อร์”

“ท่านแม่ขอรับ ท่านย่ากับท่านพ่อ รังแกข้าขอรับ ข้าเสียใจยิ่ง” จางอี้หมิงลุกขึ้นไปหามารดาและเอ่ยเสียงออดอ้อนหลี่อ้าย เขากอดแขนมารดาไว้แน่น ทำท่าทางคล้ายตนเองถูกผู้ใหญ่รังแกเสียหนักหนา

หลี่อ้ายเห็นเช่นนั้นก็ใจอ่อนยวบ บุตรชายของนางน้อยครั้งจะออดอ้อนเช่นนี้ แต่ละวันมีแต่เรื่องให้ต้องจัดการ ตัวหรือก็เล็กเพียงเท่านี้ จนบางครั้งเจ้าตัวคงลืมไปว่าตนเองอายุแค่เพียงหกขวบปี

“คืนนี้ท่านพี่นอนห้องรับแขกนะเจ้าคะ ข้อหารังแกหมิงเอ๋อร์ แม่จัดการเช่นนี้ดีหรือไม่” หลี่อ้ายหันไปคาดโทษสามี พลางเอ่ยถามความพอใจของบุตรชาย

“มะ ไม่ดีขอรับท่านแม่ ท่านพ่อข้อหาไม่ร้ายแรง โทษไม่ถึงขั้นประหารชีวิต ให้ท่านพ่อนอนกับท่านแม่ดีแล้วขอรับ ส่วนท่านย่า ต้องลงโทษด้วยการให้ข้าไปนอนด้วยดีหรือไม่ขอรับ”

“เป็นการลงโทษที่ดีมาก หมิงเอ๋อร์ พ่อเห็นด้วย”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเป็นการลงโทษที่ข้าขาดทุนเล่าเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเปรยออกมา ทุกคนในที่นั้นจึงส่งยิ้มและหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข

เมื่อครบกำหนดที่ทางวังหลวงต้องนำส่งป้ายเชิดชูวงศ์ตระกูล ขบวนแห่ไล่ยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ชาวบ้านออกมาร่วมชื่นชมและกล่าวสรรเสริญตระกูลจางมากมาย พวกเขาต่างเห็นด้วยว่าสมควรได้รับป้ายเชิดชู เนื่องจากการเปิดโรงทานแจกอาหารและเปิดโรงหมอให้การรักษาแก่ผู้ที่เจ็บป่วยโดยไม่คิดเงิน

ถือว่าจางอี้หมิงวางแผนเปิดตัวตระกูลจางได้อย่างยิ่งใหญ่ จากคุณหนูบ้านนอกที่ถูกดูถูกเหยียดหยามก็แปรเปลี่ยนเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ในชั่วข้ามคืน จึงทำให้คุณหนูคุณชายทั้งหลายต่างต้องการเข้าหาทำความรู้จักกับซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแผนระยะยาวที่จางอี้หมิงใช้ความอดทนวางแผนมาตั้งแต่ที่รู้ว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณครอบครัวจางแล้ว และเพื่อทุกคนรอบตัวจางอี้หมิงด้วย อย่างน้อยพี่สาวพี่ชายของเขาจะได้ไม่ต้องมาเริ่มต้นจากศูนย์ เขารู้ว่ามันยากเพียงไหน ชาติที่เป็นอานนท์มันสอนเขามามาก

ทุกคนในจวนตระกูลจางรวมทั้งครอบครัวซุนต่างแต่งกายอย่างงดงาม สวมอาภรณ์ชั้นดีราคาแพง ประดับประดาด้วยเครื่องประดับอย่างหรูหรา เหมาะสมกับเจ้าของบ้านที่ต้องทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน

แม้แต่ครอบครัวซุน ไม่ว่าจะเป็นซุนถง ซุนซูเย่ เจียวเม่ย ก็ถูกสั่งสอนเกี่ยวกับการวางตัวและบุคลิกของคหบดีชาวเมืองหลวงมาอย่างดีจากบัณฑิตที่จางอี้เทาขอให้มาสอนครอบครัวซุน ตั้งแต่เดินทางมาถึงในเมืองหลวงไม่กี่วันก่อน

ภายในงานรื่นเริงและเต็มไปด้วยคำสรรเสริญตระกูลจางเขตพื้นที่เหลียนฮวา แขกเหรื่อเอ่ยชมเกี่ยวกับอาหารที่นำมาเลี้ยงในวันนี้ไม่ขาดปาก ว่าทั้งอร่อยและแตกต่าง ทว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน แขกผู้ไม่ได้เทียบเชิญก็เดินเข้ามาและลั่นวาจาเสียงดัง

“ช่างหน้าไม่อาย แอบอ้างเอาความดีความชอบ ป้ายพระราชทานเชิดชูวงศ์ตระกูลควรจะเป็นของตระกูลจางของข้าถึงจะถูก ข้าจะฟ้องร้องกรมอาญา”

เป็นจือเฟยอินที่เดินเข้ามากับจางหม่าซือและจางอี้เหลียน นางเชิดคอพลางมองเหยียดมาทางหูไป๋หงราวกับผู้ที่ไม่ใคร่กันนัก

“ฮูหยินใหญ่ ผู้นำตระกูล คุณหนูใหญ่ ข้ามิทราบว่าท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ด้วย แต่พวกท่านก็ยังถือวิสาสะเข้ามาในงานนี้ มิใช่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ แต่ก็เอาเถอะ เพราะข้าเองก็ได้ไปงานเลี้ยงของฮูหยินใหญ่โดยมิได้รับเทียบเชิญเช่นกัน เช่นนั้นเราก็ถือว่าทั้งสองฝ่ายไม่ติดค้างอันใดกันก็แล้วกันเถอะ” หูไป๋หง ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลจางเจ้าของพื้นที่เหลียนฮวาเอ่ยขึ้น

“ฮูหยินผู้เฒ่า จือเฟยอิน เหตุใดท่านจึงกล่าวหาว่าตระกูลจางนี้แอบอ้างรับความดีความชอบเล่าเจ้าคะ” มีฮูหยินผู้หนึ่งทนความสงสัยมิไหว เอ่ยถามขึ้น

“เพราะสาเหตุที่จวนตระกูลจางนี้ได้รับป้ายพระราชทานเชิดชูวงศ์ตระกูลมาจากการทำความดีความชอบในเรื่องของเกลือและเครื่องบรรณาการ ซึ่งชาวบ้านหรือผู้ใดในเมืองหลวงต่างก็รู้ดี แต่ที่ทุกคนไม่รู้คือ ตระกูลจางนี้ลักลอบขโมยสูตรการทำเกลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามีของข้าเก็บรักษาไว้ต่างหาก เช่นนี้แล้วมิใช่ว่าตระกูลจางนี้มีความผิดหรอกหรือ เหตุใดจึงกลายเป็นได้รับความดีความชอบไปได้เล่า”

สิ้นเสียงคำตอบของฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน แขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงต่างเริ่มซุบซิบกันเสียงดังเซ็งแซ่

“ทุกท่านได้โปรดเงียบเสียงลงก่อน ขอบ้านจางได้มีโอกาสอธิบายด้วยเถิด” จางอี้เทาเอ่ยห้ามแขกด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย

“หึ มีอันใดให้แก้ตัว ข้าว่าไปแก้ตัวที่กรมอาญาดีหรือไม่” จางหม่าซือว่า

“ท่านพี่หม่าซือ ครอบครัวข้าถึงแม้จะถูกตัดขาดจากพวกท่านแล้วและต้องหนีตายจากโจรป่าในระหว่างทางไปหมู่บ้านหลัวถง แต่พวกข้ามิได้ขโมยสูตรการทำเกลือจากครอบครัวท่านมาอย่างแน่นอน การทำเกลือจากน้ำทะเลได้มาจากการเล่นซนของบุตรชายข้าต่างหากเล่า แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นบ้านข้าไปขโมยสูตรทำเกลือมาจากบ้านท่านได้ขอรับ” จางอี้เทาแย้ง

“หึ ข้ออ้างล่ะสิไม่ว่า” จางอี้เหลียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“เช่นนั้นข้าว่าพวกเราไปตกลงกันที่กรมอาญาก็ดีนะขอรับ จะได้รู้กันไปเลยว่าผู้ใดพูดความจริง” จางอี้หมิงที่เงียบมานานเอ่ยแนะนำ

“จะ เจ้า เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เหตุใดจึงพูดสอดขณะผู้ใหญ่พูดคุยกัน” จือเฟยอินถามเสียงเข้ม

“ข้าพูดความจริงต่างหากเล่าขอรับ หากกรมอาญาสอบสวนมาแล้วปรากฎว่าเป็นพวกท่านที่พูดโกหก ข้อหาลบหลู่พระราชดำริขององค์ฮ่องเต้ ท่านรับความผิดไหวหรือขอรับ”

“จะ เจ้า! เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ในเมื่อมันเป็นความจริง” จือเฟยอินรีบเอ่ยอย่างร้อนรน

“ความจริงเช่นนั้นหรือขอรับ แล้วเหตุใดท่านอาวุโสถึงไม่รู้ว่า ที่จวนตระกูลจางได้ป้ายพระราชทานเชิดชูวงศ์ตระกูลหาใช่จากเรื่องเครื่องบรรณาการเพียงอย่างเดียว พวกเราได้มาจากการช่วยเหลือชาวเมืองไห่ถังในเรื่องของภัยหนาวและการค้นพบเชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ต่างหากเล่าขอรับ

เพียงเท่านี้ กรมอาญาก็รู้แล้วว่าผู้ใดที่พูดความจริง ขอให้แขกทุกท่านจงเป็นพยานให้ครอบครัวข้าด้วยขอรับ”

จางอี้หมิงเอ่ยตอบจือเฟยอิน แล้วหันไปยกมือคารวะขอความร่วมมือจากแขกที่มาในงานเลี้ยงวันนี้กันถ้วนหน้า

“ได้ ๆ พวกเรายินดี”

เมื่อทุกคนพยักหน้ารับปาก จือเฟยอิน จางหม่าซือ และจางอี้เหลียนก็ถึงกับพูดอันใดไม่ออก พวกเขาคงคิดน้อยไป ไม่คิดว่าบ้านรองในตอนนี้จะกลายเป็นเสือเขี้ยวลากดินไปแล้ว พวกเขาไม่สามารถข่มเหงได้ดังเช่นกาลก่อนอีกต่อไป

“ท่านผู้อาวุโส เช่นนี้แล้วท่านยังอยากจะไปร้องเรียนที่กรมอาญาอีกหรือไม่” จางอี้หมิงถามต่อเสียงเรียบ

“จะ เจ้า ที่พวกข้ามาในวันนี้ก็เพียงแต่จะมาแจ้งพวกเจ้าไว้ว่า อย่าหวังจะได้ป้ายวิญญาณของท่านพี่เลยแม้แต่น้อย เพราะข้าจะไม่มีวันอนุญาตเป็นแน่” ฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอินพูดเสียงเข้ม หน้าแดงก่ำ นางจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือเพื่อระงับอารมณ์โกรธ

นางมาในวันนี้เพื่อหวังหักหน้าบ้านรองและรับความดีความชอบนั้นมาเป็นของครอบครัวนาง แต่นอกจากจะทำอันใดบ้านรองมิได้แล้ว บ้านหลักของนางยังจะมาเสียหน้าอีก จะไม่ให้นางโกรธได้เช่นไร บ้านรองแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“พวกข้าได้เตรียมใจไว้แล้วว่าท่านคงมิยอมเป็นแน่ แต่มิเป็นไร ข้าจะรอ รอวันที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเปลี่ยนใจขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ

“คงมิมีวันนั้น ซือเอ๋อร์ เหลียนเอ๋อร์ กลับ” จือเฟยอินหันไปบอกบุตรชายและหลานสาวก่อนจะเดินออกไปจากงานเลี้ยงอย่างเร่งรีบ

“พวกข้ามิส่งนะขอรับ”

จางอี้หมิงเอ่ยไล่ตามหลังกลุ่มคนเหล่านั้นไปด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เมื่อเห็นว่าฮูหยินใหญ่เดินจากไปไกลแล้ว เด็กน้อยจึงหันมาขอโทษแขกในงานทันที

“ข้าขอเป็นตัวแทนตระกูลจาง ขออภัยแขกทุกท่านในเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยนะขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ วันนี้ข้าขอมอบสุรานารีผลิบานให้เป็นสิ่งตอบแทนแขกทุกท่านนะขอรับ”

“นารีผลิบานเช่นนั้นหรือ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อน” แขกท่านหนึ่งเปรยออกมา

“มิแปลกหากพวกท่านจะมิเคยได้ยินมาก่อน นารีผลิบาน เป็นสุราที่กลุ่มการค้าหลัวถงคิดค้นขึ้นเพื่อจำหน่ายในเหลาอาหารซิ่งฝูเพียงเท่านั้น เป็นสุราที่เหมาะสำหรับคุณหนูที่เพิ่งหัดดื่มสุรา เปรียบได้กับดอกไม้แรกแย้ม มีความหอม หวาน ดื่มง่าย นุ่มนวล และไม่ทำให้เมามายขอรับ” จางอี้เทาเป็นผู้ตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง

“เป็นเช่นนี้นั้นเอง ข้าอยากลิ้มลองยิ่งนัก”

“ท่านจะได้นำกลับบ้านเพื่อไปมอบให้กับบุตรสาวหลานสาวหรือฮูหยินแน่นอนขอรับ ข้าจะให้บ่าวไพร่เตรียมไว้ให้ในตอนที่งานเลี้ยงเลิกแล้ว เช่นนั้นก็ขอเชิญทุกท่านสนุกกันต่อไปเถิดขอรับ” จางอี้เทาบอกแขกทุกคนเสียงนุ่ม ก่อนจะหันหน้าไปกระซิบกับบุตรชายเสียงเบา

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก พ่อเห็นเจ้าสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมนารีผลิบานไว้เมื่อวานนี้ มิใช่ว่าเจ้ารู้ว่าบ้านใหญ่จะมาระรานเราใช่หรือไม่”

“ฮิฮิ เป็นความลับขอรับ”

จางอี้หมิงส่งยิ้มตาหยีไปให้บิดา เขาเดินเลี่ยงไปหาพี่สาวพี่ชายที่กำลังถูกรุมล้อมไปด้วยเหล่าคุณหนูคุณชายในเมืองหลวงเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ปล่อยให้จางอี้เทาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่คนเดียว

เขาจะไม่บอกบิดาแน่นอนว่า องครักษ์ทั้งสองคนที่แฝงตัวอยู่ในบ้านใหญ่ทำงานได้ดีเกินคาด ทำให้เขาสามารถวางแผนล่วงหน้าเพื่อดักเล่นงานพวกนั้นและยังได้มีข้ออ้างประชาสัมพันธ์สินค้าใหม่ของกลุ่มการค้าหลัวถงไปในตัวด้วย ผลประโยชน์ที่ได้มากขนาดนี้แล้ว เหตุใดเขาจะไม่ยอมลงไปเล่นกับบ้านใหญ่เล่า

จางอี้หมิงหวนนึกถึงคำพูดของฮูหยินใหญ่แล้วก็ได้แต่ยกยิ้ม จะไม่มีวันมอบป้ายวิญญาณท่านปู่ให้กับครอบครัวเขาเช่นนั้นหรือ ก็คอยดูต่อไปว่าหากวันนั้นมาถึงยังจะยืนยันคำเดิมอยู่หรือไม่

ข้าจะรอดูท่าทางของท่านในวันนั้น...ฮูหยินใหญ่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ