รถม้าของเหลาอาหารซิ่งฝูวิ่งผ่านทหารยามของจวนท่านเจ้าเมืองมาจอดตรงหน้าเรือนหลังใหญ่ในยามอู่ (11.00 – 12.59) จางอี้หมิงและหลี่อ้ายก้าวลงมาจากรถพร้อมอาหารสำหรับคนท้อง ซึ่งทันเวลามื้อเที่ยงพอดี อาหารอีกสองชุดได้ถูกนำไปส่งให้เถ้าแก่หลินไห่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยอู่หมิน คาดว่าเถ้าแก่หลินไห่และอู๋เจ๋อจะต้องชอบรายการอาหารชนิดนี้เป็นแน่
พ่อบ้านของจวนที่คุ้นเคยกันดีกับจางอี้หมิงมารอรับทั้งสองคนแม่ลูกถึงหน้าจวนอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากเถ้าแก่หลินไห่ได้ให้คนมาแจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า
“คารวะท่านพ่อบ้านขอรับ” จางอี้หมิงและมารดาคารวะพ่อบ้านจวนเจ้าเมือง ถึงแม้ว่าจะเป็นบ่าวแต่ก็ถือว่ามีฐานะมากกว่าชาวบ้านทั่วไป
“เด็กน้อยมิต้องมากพิธี รีบไปกันเถอะ ฮูหยินรอพวกเจ้าอยู่นานแล้ว” พ่อบ้านแจ้งให้ทั้งสองคนเร่งเข้าไปด้านใน
“ท่านพ่อบ้านรบกวนให้บ่าวมาช่วยยกอาหารด้วยขอรับ ข้าต้องขอยืมครัวของจวนเพื่อทำการอุ่นอาหารก่อนนำไปตั้งโต๊ะ วันนี้ข้าทำมาหลายรายการเชียวขอรับ” จางอี้หมิงมิลืมเอ่ยให้พ่อบ้านหาคนมาช่วยยกอาหารทั้งหมดจากรถม้าด้วย
หลังจากที่จางอี้หมิงและหลี่อ้ายไปถึงในครัวจึงช่วยกันทำการอุ่นอาหารทั้งหมด ก่อนที่พ่อบ้านจะบอกให้คนยกอาหารออกไปที่เรือนของฮูหยินน้อยหวังเจียถิง
เมื่อจางอี้หมิงไปถึงเรือนของฮูหยินน้อยก็เห็นว่าเป็นห้องที่อับและไม่ปลอดโปร่ง เขาจึงแจ้งแก่พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองให้เปิดหน้าต่างออกเพื่อที่จะให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก โต๊ะอาหารของเรือนฮูหยินน้อยนั้นทางจวนได้จัดไว้สองโต๊ะ หนึ่งคือโต๊ะสำหรับฮูหยินน้อยได้นั่งกินอาหารและอีกโต๊ะที่ห่างออกไปคือโต๊ะที่มีไว้ให้บ่าวได้จัดเตรียมอาหารก่อนนำไปขึ้นโต๊ะหลัก ซึ่งตอนนี้อาหารทั้งหมดก็วางอยู่บนโต๊ะนี้ด้วย เนื่องจากฮูหยินน้อยได้กลิ่นอาหารอันใดมิได้ จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“คารวะฮูหยินใหญ่ขอรับ/คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” สองแม่ลูกบ้านจางเอ่ยคารวะฮูหยินท่านเจ้าเมือง ซึ่งครั้งนี้มิใช่การพบกันครั้งแรก เพราะหลี่อ้ายเองก็เคยได้นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารในงานเลี้ยงเปิดตัวรายการอาหารชนิดใหม่ที่เหลาซิ่งฝูไปแล้วครั้งหนึ่ง
สำหรับบุตรสาวท่านเจ้าเมือง ในตอนนี้มีร่างกายซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ท้องเองก็ยังเล็กมากเมื่อเทียบกับผู้อื่นที่ตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกัน คงเนื่องมาจากการที่กินอันใดมิได้เลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะเป็นดังที่ท่านหมอคาดไว้ว่าอาจจะรักษาไว้ไม่ได้ทั้งแม่ทั้งลูก อายุครรภ์หกเดือนนี้อันตรายมากเพราะเด็กในท้องยังไม่สมบูรณ์และสายเกินกว่าจะทำการเอาเด็กออกแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าจะมีร่างกายที่อ่อนแอ บุตรสาวท่านเจ้าเมืองก็ยังพอมีเเรงลุกจากเตียงมานั่งที่โต๊ะกินข้าวได้ตามปกติ
“คารวะฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ/คารวะฮูหยินน้อยขอรับ” สองแม่ลูกบ้านจางมิลืมที่จะทำความเคารพหวังเจียถิงด้วย
“พวกเจ้าก็ตามสบายเถอะ” ฮูหยินน้อยหวังเจียถิงโบกมือหนึ่งครั้ง เอ่ยตอบด้วยเสียงโรยแรง โดยมีสาวใช้คอยประคองให้นั่งลง
“หมิงหมิงน้อย ข้าในฐานะที่เป็นฮูหยินจวนเจ้าเมือง ต้องขอขอบใจเจ้ามากนะที่ช่วยชาวเมืองไห่ถังไว้ตั้งสองครั้งสองครา หร่านเอ๋อร์ได้เล่าให้ข้าฟังทั้งหมดแล้ว ครั้งนี้ยังรบกวนเจ้าเรื่องของถิงเอ๋อร์อีก” ฮูหยินหวังเอ่ยขอบใจเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงเอื้ออารีสมกับเป็นฮูหยินจวนเจ้าเมือง นางเสมือนเป็นมารดาของชาวเมืองไห่ถังด้วย
“เรียนฮูหยินใหญ่ ข้ากับชาวบ้านหลัวถงเพียงทำตามสิ่งที่สมควรกระทำเท่านั้นขอรับ มิได้ลงแรงอันใดมากมายถึงเพียงนั้น” จางอี้หมิงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ถึงแม้จะเป็นตามที่เจ้าว่าก็ตาม ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอขอบใจเจ้าอีกครั้งง ว่าแต่วันนี้ทำอาหารอันใดมาตั้งมากมาย” ฮูหยินหวังเอ่ยตอบและถามถึงอาหารที่จางอี้หมิงทำมาในวันนี้
“เรียนท่านฮูหยินใหญ่ ท่านปู่หลินแจ้งแก่ข้าว่าฮูหยินน้อยกินอันใดมิได้เลย ซึ่งท่านลุงอู๋หัวหน้าพ่อครัวเหลาซิ่งฝูได้ทดลองทำรายการอาหารทุกอย่างมาให้ฮูหยินน้อยได้ทดลอง ชิมแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นอาหารในวันนี้ เป็นอาหารชนิดใหม่ขอรับ ฮูหยินหวังอาจจะไม่เคยรู้จัก แต่ข้ารับรองได้ว่ามันกินได้แน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงอธิบาย
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ถิงเอ๋อร์ ไม่แน่ว่าอาหารพวกนี้เจ้าอาจจะกินได้ก็เป็นได้ เช่นไรก็ลองดูหน่อยเถิด แม่เห็นเจ้ากินอันใดมิได้แล้วแม่ปวดใจยิ่งนัก” ฮูหยินใหญ่ตอบรับคำเด็กน้อยก่อนที่จะหันไปพูดกับบุตรสาวของตนเองที่มีสีหน้าอิดโรยตลอดเวลา
“หมิงหมิงน้อย เช่นนั้นก็ลองบอกมาก่อนเถิด ให้ถิงเอ๋อร์ได้ลองชิมดู” ฮูหยินเจ้าเมืองอนุญาตให้จางอี้หมิงได้นำเสนอรายการอาหารที่ทำมาให้ชิมในวันนี้
“เริ่มด้วยน้ำนะขอรับ ข้าว่าคนท้องร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยดื่มชา สมควรเปลี่ยนมาเป็นดื่มน้ำขิงแทนขอรับ ท่านแม่ข้าบอกว่าน้ำขิงจะช่วยลดอาการแพ้ท้องได้วันนี้ข้าได้เตรียมมาจากที่บ้านด้วย อาหารที่ข้าได้ทดลองปรุงมาให้ชิมในวันนี้มีดังนี้ขอรับ
อันนี้เป็นซุปไก่บะหมี่ขาวขอรับ บะหมี่จะไม่เป็นเส้นนะขอรับ แต่จะเป็นแป้งหยด เรียกว่าเส้นด้องแด้ง ปรุงรสด้วยน้ำปรุงรสและหอมหัวใหญ่ซึ่งจะให้รสหวาน” เมื่อจางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้ว หลี่อ้ายจึงตักอาหารใส่ถ้วยเล็ก ๆ ส่งให้กับสาวใช้นำไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าฮูหยินน้อย ทว่าแค่เพียงนำถ้วยซุปไปวางไว้เท่านั้น ฮูหยินน้อยก็รีบเบือนหน้าหนีเพราะทนกลิ่นอาหารไม่ได้
“เอาออกไป มันเหม็น” ฮูหยินน้อยว่าแล้วยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกตนเอง สาวใช้รู้หน้าที่รีบยกถ้วยออกไปทันที
“เช่นนั้นลองดื่มน้ำขิงดูขอรับ ข้าได้ผสมกับน้ำตาลผัก ไม่แน่ฮูหยินน้อยอาจจะดื่มได้ขอรับ” จางอี้หมิงกล่าวต่อ
หลี่อ้ายเมื่อได้ยินบุตรชายเอ่ยถึงชาผักผสมขิงจึงจัดเตรียมน้ำชาตามที่บุตรชายบอก เสร็จแล้วจึงยื่นถ้วยชาผักให้กับสาวใช้คนเดิม
“อืม อร่อย มันหวานและเผ็ด” ฮูหยินน้อยอุทานออกมาหลังจากที่ดื่มน้ำชาขิงไปแล้ว
“ถิงเอ๋อร์ เจ้าว่าอร่อยเช่นนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่ถึงกับร้องถามบุตรสาวเสียงร้อนรน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่บุตรสาวบอกว่าของที่กินดื่มเข้าไปมันอร่อย
“เจ้าค่ะท่านแม่ มันหวานและอร่อยมาก” ฮูหยินน้อยตอบมารดาแล้วทำท่าทางจะยกน้ำชาขิงขึ้นดื่มอีก ส่งผลให้จางอี้หมิงรีบร้องเตือนแทบไม่ทัน
“ฮูหยินน้อย อย่าดื่มเยอะขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยเหตุใดจึงห้ามถิงเอ๋อร์เล่า เจ้ามิรู้หรือว่านี่เป็นครั้งแรกที่ถิงเอ๋อร์กินดื่มได้ ข้าดีใจยิ่งนัก” ฮูหยินใหญ่เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรียนฮูหยินใหญ่ น้ำชาขิงถึงแม้ว่าฮูหยินน้อยจะดื่มได้ แต่ก็หาใช่อาหารไม่ขอรับ อีกอย่างข้ายังมีรายการอาหารที่ยังไม่ได้ให้ฮูหยินน้อยได้ทดลองเลยขอรับ เช่นไรอดใจชิมให้ครบหมดทุกอย่างไปก่อนแล้วจึงค่อยดื่มชาก็ยังได้ขอรับ” อี้หมิงเอ่ยอธิบาย
เขาเห็นจากสภาพร่างกายแล้วคิดว่าขืนยังกินอาหารมิได้ เด็กในท้องอาจจะไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกสามเดือน ยังทันที่จะขุน อุ้ย มิใช่... ยังทันที่จะเสริมสร้างการเจริญเติบโต
“อันนี้เป็นอาหารเบา ๆ ที่ให้ชิมข้าทำเป็นยำไข่เครื่องเทศขอรับ จะมีรสชาติเผ็ดร้อนนิดหน่อย เปรี้ยวไม่มาก หวานเล็กน้อย”
จางอี้หมิงอธิบายรายการอาหารชนิดที่สอง และเหตุการณ์ก็เหมือนเช่นเดิม หลี่อ้ายตักยำไข่เครื่องเทศใส่ถ้วย แล้วส่งให้สาวใช้นำไปตั้งโต๊ะ
ฮูหยินน้อยไม่ได้เบือนหน้าหนี ทำให้จางอี้หมิงหันมาสบตากับมารดาแล้วยิ้มให้แก่กัน เพราะนั่นหมายถึงว่าฮูหยินน้อยไม่ได้เหม็นกลิ่นอาหาร ต่อไปก็ต้องมาลุ้นว่านางจะกินอาหารได้หรือไม่
ตักเข้าไป เคี้ยว แล้วกลืน แล้วตักคำที่สอง จางอี้หมิงได้แต่ภาวนาในใจให้อาหารชนิดนี้ประสบความสำเร็จ
ฮูหยินน้อยไม่ทำให้คำภาวนาของจางอี้หมิงล้มเหลว เพราะนางกำลังตักยำไข่เครื่องเทศเข้าปากไปเป็นคำที่สองแล้ว และคำที่สามกำลังจะตามไป ส่งผลให้จางอี้หมิงรีบร้องเอ่ยเตือนอีกครั้งทันที
“ฮูหยินน้อยขอรับ อย่าลืมว่าวันนี้เพียงแค่ชิมนะขอรับ กินมากไม่ได้เพราะร่างกายยังไม่ทันปรับตัวขอรับ ถ้าอาหารชนิดไหนทานได้ให้ตักเพียงแค่สองคำพอก่อนนะขอรับ”
“ถิงเอ๋อร์ เจ้ากินได้” ฮูหยินใหญ่ถึงกับอุทานออกมา น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ขอเพียงให้บุตรสาวของนางกินอาหารได้เพียงเท่านั้น มิว่าจะต้องจ่ายมากเพียงไหนนางก็ยินดี
“อาหารนี้กลิ่นหอมมากท่านแม่ รสชาติอร่อยจนข้าอดใจไม่ไหวต้องตักคำถัดไปเจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยตอบคำถามของมารดา
“อาหารมีกลิ่นหอมหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม เนื่องจากอาหารทั้งหมดในวันนี้เขาปรุงขึ้นจากเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุนทุกรายการ แต่ฮูหยินน้อยกลับบอกว่าหอม ไม่แน่ว่าข้อสันนิษฐานของเขาอาจจะถูกต้องก็เป็นได้ ฮูหยินน้อยตั้งครรภ์การรับรสจึงเปลี่ยนไปจากเดิม
เช่นนี้ต้องพิสูจน์ซะแล้ว
“รายการต่อไปคือต้มยำไก่ขอรับ ไก่ที่ข้านำมาปรุงเป็นส่วนอกที่ไร้กระดูกผสมกับเครื่องเทศจะมีรสเผ็ดร้อนเป็นหลักขอรับ”
หลี่อ้ายทำเหมือนเดิมและปรากฎว่าฮูหยินน้อยกินต้มยำไก่ได้ รวมถึงรายการอาหารสุดท้ายคือยำเส้นด้องแด้งใสเครื่องเทศด้วย เขาปรุงให้มันมีรสเผ็ดร้อนและเปรี้ยวนอกจากนี้จางอี้หมิงยังลวกผักใส่ลงไปด้วย ซึ่งดูแล้วฮูหยินน้อยชอบยำนี่มากเป็นพิเศษ
แต่ทว่าฮูหยินน้อยกลับเบือนหน้าหนีซุปไก่ เพียงแค่นี้จางอี้หมิงก็ได้ข้อสรุปว่า สาเหตุที่ฮูหยินน้อยกินอันใดไม่ได้เลย เพราะนางตั้งครรภ์ทำให้ต่อมรับรสและประสาทสัมผัสต่างๆ ไม่ปกติ ฮูหยินน้อยกินอาหารทุกอย่างที่มีกลิ่นฉุนและกลิ่นแรงของเครื่องเทศได้ แต่กลับไม่สามารถกินอาหารที่รสสัมผัสอ่อนหรือจืดได้เลย
เหตุเพราะตามความเชื่อของคนที่นี่คือคนท้องควรกินอาหารรสจืดแลเป็นพวกซุปนั่นเอง
“ฮูหยินใหญ่ขอรับ จากที่ข้าได้ทดลองทำอาหารทั้งหมดนี้ทำให้รู้ว่าฮูหยินน้อยกินอาหารที่มีรสจัดและเครื่องเทศได้ขอรับ อาหารที่มีรสจืดฮูหยินน้อยกลับเหม็นคาว เช่นนั้นง่ายมากเลยขอรับ ต่อไปข้าจะสอนอาหารที่ข้าทำมาวันนี้ให้กับพ่อครัวแม่ครัวของจวนเจ้าเมืองไว้ ต่อไปจะได้ทำให้กับฮูหยินน้อยได้ ขอเพียงมีรสจัดสักหน่อย ปรุงด้วยเครื่องเทศเป็นหลัก เพียงเท่านั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วขอรับ
คนท้องต้องกินอาหารให้หลากหลาย ผัก ผลไม้ เนื้อ ไก่ ปลา หมู ขอเพียงนำมาปรุงให้แตกต่างกันไป เท่านี้ฮูหยินน้อยก็จะกลับมาแข็งแรงแล้วขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายให้ฮูหยินใหญ่ฟัง
“หมิงหมิงน้อย วันนี้ข้าดีใจยิ่งนักที่ถิงเอ๋อร์กินอาหารได้แล้ว หากเป็นเช่นนี้อีกไม่นานถิงเอ๋อร์คงกลับมาแข็งแรงและหลานของข้าก็จะได้รับการบำรุงด้วย ข้าขอบใจเจ้ามาก จวนเจ้าเมืองติดหนี้บุญคุณบ้านเจ้าอีกครั้งแล้ว” ฮูหยินใหญ่เอ่ยขอบใจเด็กน้อยอีกครั้ง
“ฮูหยินใหญ่อย่าได้เกรงใจเลยขอรับ หากข้าสามารถช่วยให้ฮูหยินน้อยกลับมาแข็งแรงได้เช่นนี้ข้าก็ยินดีมากขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย ข้าขอขอบใจเจ้ามากนะ เมื่อก่อนที่น้องชายข้ามาเล่าความเก่งกาจของเจ้าให้ข้าฟัง ข้ายอมรับว่ามิได้เชื่อในคำเยินยอของน้องชายอย่างแท้จริง แต่มาวันนี้ข้าเชื่อคำน้องชายอย่างเต็มหัวใจแล้ว ขอบใจเจ้าอีกครั้ง ข้าและลูกน้อยติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว หากในอนาคตต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใดอย่าได้เกรงใจ ข้ายินดีทำตามคำขอของเจ้า หากว่าคำขอนั้นไม่เป็นสิ่งที่ผิดหลักคุณธรรม” ฮูหยินน้อยเอ่ยขอบใจจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ฮูหยินน้อยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ ข้ายินดีที่ฮูหยินน้อยและน้องน้อยจะกลับมาแข็งแรง หากมิมีอันใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปสอนการทำอาหารให้กับพ่อครัวของจวนก่อนนะขอรับ และข้าจะทดลองทำอาหารมาให้ฮูหยินน้อยได้ลองชิมอีกสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นฮูหยินน้อยคงมีรายการอาหารมากมายให้เลือกแล้วขอรับ เพราะหากต้องกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันบ่อย คงเบื่อเป็นเเน่”
“ไปเถอะ เจ้า นำทางฮูหยินจางกับหมิงหมิงน้อยไปที่ครัวที” ฮูหยินใหญ่หันหน้าไปบอกกับสาวใช้คนหนึ่งให้พาสองแม่ลูกบ้านจางไปยังครัวของจวนเพื่อสอนพ่อครัวแม่ครัวทำอาหารให้กับฮูหยินน้อยต่อไป
“เช่นนั้นข้าขอตัวขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขอตัวและเดินตามสาวใช้ออกไป หลี่อ้ายเห็นบุตรชายเดินออกไป จึงยกมือคารวะเอ่ยลาและเดินตามจางอี้หมิงออกไปเช่นกัน
“ถิงเอ๋อร์ แม่ดีใจที่สุดที่ลูกกินอาหารได้แล้ว อดทนไว้นะลูก เจ้ายังโชคดีมีเวลาอีกหลายเดือนในการบำรุงหลานน้อยของแม่ หากไม่ได้ครอบครัวจางแม่ไม่อยากนึกเลย แต่ช่างเถอะ แม่จะพูดให้ได้อันใดขึ้นมา เอาเป็นว่าครอบครัวเราติดหนี้บุญคุณครอบครัวจางอีกครั้งแล้ว” ฮูหยินเอ่ยขึ้นพลางลูบหลังบุตรสาวอย่างรักใคร่
หวังเจียถิงที่โหยหิวกินอาหารอันใดมิได้มาหลายเดือน เมื่อมีอาหารที่มีกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้า นางจึงขยับตะเกียบชิมอาหารไปหลายอย่างด้วยความสุข พลางลูบท้องตนเองไปมา
ลูกจ๋า เจ้าคงหิวมิต่างอันใดกับแม่ ตอนนี้หวังว่าเจ้าจะกำลังมีความสุขกับอาหารเช่นแม่ใช่หรือไม่
หวังเจียถิงพูดคุยกับลูกน้อยในใจ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเสมือนลูกน้อยจะเข้าใจมารดาจึงได้เตะท้องน้อย ๆ นั้นอย่างแรงหนึ่งที
“อุ้ย” หวังเจียถิงอุทานออกมา
“เป็นอันใดถิงเอ๋อร์”
“ดิ้นเจ้าค่ะ ลูกข้าดิ้นเจ้าค่ะท่านแม่” หวังเจียถิงหันหน้าไปตอบมารดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกน้อยของนางดิ้นจนนางสัมผัสได้ ตอนฮูหยินหวังตั้งครรภ์น้องชาย นางก็เคยได้สัมผัสกับท้องของมารดาในตอนนั้นและระหว่างนี้มารดาก็ถามอยู่เสมอว่าลูกน้อยของตนดิ้นบ้างหรือไม่ เพราะอายุครรภ์หกเดือนแล้ว
“ดีจริง ๆ วันนี้มีแต่เรื่องดี ๆ ข้ามีความสุขที่สุด” ฮูหยินเปรยออกมาน้ำตาคลอด้วยความดีใจ
“ฮูหยิน เหตุใดเราไม่ทำบุญแจกโรงทาน เพื่อเสริมสร้างบุญให้กับฮูหยินน้อยเล่าเจ้าคะ” แม่นมผู้เป็นบ่าวคนสนิทของฮูหยินหวังเอ่ยแนะนำขึ้นมา
“แม่นมกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เช่นนั้นฝากแม่นมจัดการด้วยนะ” ฮูหยินหวังเห็นดีด้วยกับคำแนะนำของคนสนิท
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปจัดการให้ในวันพรุ่งนี้”
ตลอดบ่ายวันนั้นจางอี้หมิงสอนพ่อครัวแม่ครัวของจวนเจ้าเมืองให้ทำอาหารสำหรับฮูหยินน้อย ซึ่งเขาเน้นอาหารปรุงด้วยเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรงและฉุนมากเป็นพิเศษ เด็กน้อยไม่ลืมแจ้งด้วยว่าเขาและมารดาจะมาทำอาหารที่จวนในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ สำหรับรายการอาหารชนิดใหม่เป็นเวลาอีกสองวันถัดไป
ในส่วนของเส้นด้องแด้ง เด็กน้อยขอให้ทางฮูหยินใหญ่ไปสั่งซื้อได้ที่เหลาอาหารซิ่งฝู ซึ่งมีอู๋หมินทำเป็นแล้ว เนื่องจากว่าจางอี้หมิงไม่สามารถบอกวิธีการทำให้ได้ เพราะเขาต้องการจะทำเป็นอาหารขายให้กับกองกำลังเหลียงอันในอนาคต ซึ่งฮูหยินใหญ่ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี
ผ่านพ้นไปสามวันตามที่ได้ตกลงกับทางจวนเจ้าเมืองไว้ สองเเม่ลูกบ้านจางจึงได้กลับบ้านเสียที ทันทีที่ลงจากรถม้ามายืนอยู่หน้าบ้าน จางอี้เทาก็ถึงกับวิ่งเข้ามากอดภรรยาก่อนจะหมุนร่างหลี่อ้ายไปรอบ ๆ เป็นวงกลม การแสดงออกของบิดาทำให้จางอี้หมิงถึงกับส่ายหน้า
หึ! เหม็นเบื่อคนมีความรัก ห่างกันเพียงแค่สามวันอย่างกับสามปี เขาไปอ้อนท่านย่าก็ได้
“ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านย่าที่สุดเลยขอรับ” จางอี้หมิงรีบเดินไปกอดเอวนางหูแล้วเอ่ยออดอ้อนขึ้นทันที
“ย่าก็คิดถึงหมิงเอ๋อร์ เป็นเช่นไรเหนื่อยหรือไม่ เข้าบ้านกันเถอะ” หูไป๋หงก้มตัวลงหอมแก้มหลานชายตัวน้อยด้วยความคิดถึงอยู่สองสามทีจึงลุกขึ้นและเดินจูงมือเด็กน้อยเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้สองคนผัวเมียได้แสดงความคิดถึงกันตามลำพัง
จางอี้หมิงแอบเหลียวหลังมามองบิดามารดา จางอี้เทากำลังสอบถามเรื่องราวต่างๆจากหลี่อ้ายไม่หยุด สนทนากันราวกับว่ามีเพียงเขาทั้งคู่เท่านั้น เด็กน้อยถอนหายใจอีกรอบ เขาฝากคำถามในห้วงความคิดไปถึงบัณฑิตจาง
รักกันถึงขนาดนี้ น้องข้ายังไม่มาอีกหรือท่านพ่อ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?