จางอี้หมิงมองดูแผ่นหลังของเกาจ้านเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อมั่นใจว่าชายชราก้าวพ้นประตูไกลพอควรแล้ว เด็กน้อยจึงพูดคุยกับท่านปู่บุญธรรมอีกเล็กน้อยโดยมีจางอี้เทาร่วมวงสนทนาด้วย
ระหว่างถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เถ้าแก่หลินเองก็กังวลเรื่องการแข่งขันเสียจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่งผลให้อี้หมิงต้องรีบให้กำลังใจและบอกว่าตนจะจัดการเรื่องนี้เอง
“เจ้าจะจัดการเรื่องการแข่งขันในนามเหลาอาหารซิ่งฝูหรือหมิงหมิงน้อย”
“ขอรับ ท่านปู่อย่าได้เป็นกังวล” จางอี้หมิงแย้มรอยยิ้มกว้าง
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถเลยขอรับ”
ได้ยินดังนั้นเถ้าแก่หลินก็เบาใจ เขาเชื่อในความรู้ความสามารถของหลานชาย ที่เหลาอาหารซิ่งฝูกลับมารุ่งเรืองเกินหน้าเหลาอาหารเฟิงฟู่ได้เช่นนี้ก็มาจากรายการอาหารชนิดใหม่ของบ้านจางทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึกๆแล้วเขาเองก็อยากให้เหลาอาหารซิ่งฝูเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งในรุ่นของตนเองสักครั้งเช่นกัน
เมื่อสองปู่หลานปลอบใจกันจนเรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงจึงไปสอนอาหารชนิดใหม่ให้กับอู๋เจ๋อและบรรดาคนงานในครัว
ส่วนจางอี้เทาเดินทางไปพบเถ้าแก่เนี้ยเพื่อมอบจดหมายจากภรรยาและขอยกเลิกการรับทำงานให้กับเถ้าแก่เนี้ย ซึ่งนางก็เข้าใจและยังบอกอีกว่าหากหลี่อ้ายว่างเมื่อไหร่ นางยินดีต้อนรับกลับมาทำการค้ากันตลอดเวลา
รถม้าของเถ้าแก่หวังวิ่งเข้ามารับสองพ่อลูกบ้านจางถึงหน้าเหลาอาหารซิ่งฝูเมื่อถึงเวลานัดหมาย ทางด้านหน้ามีรถม้าของท่านอ๋องจอดรออยู่ด้วย
จางอี้เทาจึงรีบอุ้มจางอี้หมิงขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปจวนเจ้าเมืองไห่ถังตามที่นัดหมายกันไว้ พวกเขาผ่านประตูจวนเข้าไปได้โดยง่ายเนื่องจากมีเทียบเข้าพบแจ้งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว
ท่านเจ้าเมืองและบุตรชายออกมายืนรอต้อนรับที่หน้าเรือนหลัก เมื่อทุกคนลงมาจากรถม้าก็เริ่มการคารวะและทักทาย หนิงอ๋องเป็นผู้แนะนำอ๋องน้อยให้เจ้าของจวนได้รู้จักด้วยตนเอง หลังจากนั้นหวงห่าวหรานจึงเอ่ยเชิญทุกคนไปนั่งปรึกษาหารือกันที่ห้องทำงาน
หนิงอ๋องถูกเชิญให้นั่งตรงกลางในตำแหน่งประมุข เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแขกแต่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์จากแคว้นเหลียง อ๋องน้อยหนิงเทียนนั่งทางขวาของพระบิดาแล้วจึงตามด้วยท่านอาจารย์เทียน จางอี้หมิงนั่งทางฝั่งซ้ายของหนิงอ๋องตามด้วยจางอี้เทาและเถ้าแก่หวังตามลำดับ
โดยมีท่านเจ้าเมืองนั่งทางฝั่งตรงข้ามกับหนิงอ๋อง ในขณะที่หวงห่าวหรานนั่งเยื้องไปทางขวาของบิดา
“ท่านเจ้าเมือง ข้าต้องขอโทษที่ส่งเทียบขอเข้าพบกะทันหัน มันเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญสำหรับแคว้นเหลียงของข้า หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่ถือสา” ท่านอ๋องเป็นผู้เปิดการสนทนาขึ้นเมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ได้ออกไปแล้วน็น็น
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องสำคัญอันใดถึงกับทำให้ต้องพูดคุยกันเร่งด่วนเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองไห่ถังเอ่ยถามด้วยความฉงน เนื่องจากว่าชายตรงหน้าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียง แล้วจะมีเหตุอันใดที่ต้องเข้าพบเขาซึ่งเป็นเพียงเจ้าเมืองแถบชนบทกันแน่
“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับอ๋องน้อยบุตรชายคนเล็กของข้า”
หนิงอ๋องเอ่ยขึ้นพลางผายมือไปทางจางอี้หมิง การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ท่านเจ้าเมืองแปลกใจเข้าไปอีกจนถึงกับขมวดคิ้ว
“ท่านอ๋องน้อยบุตรชายของท่านอ๋องมิใช่อ๋องน้อยหนิงเทียนหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงเป็นเด็กน้อยบ้านจางไปเสียได้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถาม
“ท่านเจ้าเมือง มิผิดที่ท่านจะไม่รู้ว่าข้าได้รับเจ้าตัวเล็กจางอี้หมิงเป็นบุตรชายอีกคนของข้า ที่ผ่านมาข้าเพียงไตร่ตรอง ทว่ายังมิได้ทำการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเพียงเท่านั้น ในอนาคตที่เจ้าตัวเดินทางไปยังแคว้นเหลียง ข้าจะทำพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเสียที”
“เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ เด็กน้อยบ้านจาง ไม่สิ ท่านอ๋องน้อยเป็นเด็กที่ฉลาดและจิตใจดีจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านเจ้าเมืองยกมือคารวะเพื่อแสดงความยินดีอย่างจริงใจ ในเมื่อเด็กน้อยบ้านจางคือคนของแคว้นฉิน ทั้งยังเป็นชาวเมืองไห่ถัง การได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ถึงแม้จะต่างแคว้นแต่ก็ไม่สามารถดูแคลนได้ ในอนาคตอาจจะได้ทำคุณประโยชน์กับบ้านเมืองอีกมากมาย
“ท่านอ๋องตรัสว่าท่านอ๋องน้อยอี้หมิงมีความดีความชอบ มันคือเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่แสดงความยินดีตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าเมืองจึงได้วกกลับเข้ามาเรื่องสำคัญทันที
“ท่านอ๋อง ข้าขอเป็นผู้อธิบายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงได้ยินคำถามของท่านเจ้าเมืองเช่นนี้จึงยกมือคารวะเพื่อขออนุญาตเป็นผู้แจ้งรายละเอียดด้วยตนเอง เขาเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะกล่าวออกมาเองจึงเหมาะสมที่สุด
“ได้สิข้าอนุญาต”
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ข้ามีข่าวดีของเมืองไห่ถังของเรามาแจ้งแก่ท่านเจ้าเมือง ซึ่งในอนาคตจะทำให้การค้าและเมืองไห่ถังพัฒนามากขึ้นได้ขอรับ...” เด็กน้อยเริ่มอธิบาย
“เป็นอย่างที่ทุกท่านในที่นี่ทราบว่าแคว้นเหลียงเป็นแคว้นที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ปลูกพืชผักอันใดมิได้ ท่านอ๋องเป็นห่วงชาวบ้านและชาวเมืองแคว้นเหลียงจึงพยายามคิดหาวิธีการปลูกผัก ปลูกข้าวในพื้นที่ของแคว้นตน แต่ก็อับจนหนทางด้วยมีสภาพอากาศเป็นอุปสรรค
นับเป็นความโชคดีที่พวกเรารวมทั้งท่านอาจารย์เทียน ที่ได้ค้นพบวิธีการปลูกผักขึ้นเมื่อช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะต้องมีการทดลองอีกมากแต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทว่ายังมีปัญหาหนึ่งที่เป็นหัวใจของการปลูกผักในฤดูหนาวที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในแคว้นเหลียง แต่สามารถทำได้ในแคว้นฉินขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ช้า ชัด และมองทุกการกระทำของผู้ใหญ่ในห้องทำงานนี้อย่างพิจารณาว่ามีข้อสงสัยอันใดหรือไม่
“ท่านอ๋องน้อย ท่านว่าท่านรู้วิธีการปลูกผักในฤดูหนาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเจ้าเมืองถึงกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนและแปลกใจ
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ได้โปรดเรียกข้าอย่างที่เคยได้หรือไม่ขอรับ ในขณะนี้ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ถึงแม้ว่าท่านอ๋องจะยอมรับข้าแล้ว แต่ข้าหาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการไม่ อีกประการคือข้าอยู่ที่แคว้นฉิน คุ้นชินแบบชาวบ้านมากกว่าขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองหันหน้าไปทางท่านอ๋องอย่างถามความเห็น เมื่อได้รับการพยักหน้าตอบรับ จึงเอ่ยตอบเด็กน้อยตรงหน้าที่มากไปด้วยวาสนา แต่กลับถ่อมตนยิ่ง
“ได้สิ ข้ายินดีเรียกเจ้าอย่างที่เคย”
“ขอบคุณขอรับ ข้ารู้วิธีปลูกผักในฤดูหนาวจริงแต่อย่างที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้านี้ เรายังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกหนึ่งอย่างนั่นคือไฟขอรับ ในการปลูกผักต้องใช้ไฟในการให้ความอบอุ่นแก่ผัก ในเมื่อต้องใช้ไฟเราก็ต้องหาเชื้อเพลิงขอรับ แต่เราคงไม่สามารถตัดไม้มาทำเป็นฟืนได้ทั้งหมดเพียงเพื่อก่อไฟให้ความอบอุ่นแก่พืชผักเท่านั้น”
“หมิงหมิงน้อย เจ้าคงหมายถึงปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงหรือไม้ที่จะนำมาทำเป็นฟืนใช่หรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามออกมา จางอี้หมิงพยักหน้ารับและชื่นชมในใจว่าพี่ชายคนนี้ช่างฉลาดและมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งสมกับเป็นว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไป
“ใช่แล้วขอรับคุณชายหวง พวกเราจึงต้องมาขอเข้าพบท่านเจ้าเมืองในวันนี้เพื่อหาหนทางในการแก้ไขปัญหานี้ขอรับ”
“เช่นนั้นมิใช่ว่าเจ้ามีหนทางแก้ปัญหาแล้วใช่หรือไม่หมิงหมิงน้อย” คุณชายหวงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ขอรับ เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาข้าได้แนะนำผลของลูกหนามที่ใช้แทนเชื้อเพลิงได้ เมืองไห่ถังของเราถึงแม้ว่าจะมีอยู่หลายหมู่บ้าน แต่ก็หาได้เพียงพอต่อความต้องการของแคว้นเหลียง เนื่องจากชาวบ้านเองก็ต้องการฟืนใช้ในฤดูหนาวเช่นกัน คงไม่สามารถตัดไม้หมดป่าเพียงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผักเท่านั้น หากคนขาดฟืนแล้วจะปลูกผักมาเพื่ออันใด จริงหรือไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไรเล่า” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าจะแปรรูปผลลูกหนามและไม้ให้เป็นถ่านขอรับ ในการแปรรูปจะช่วยให้การขนส่งสะดวกมากยิ่งขึ้น การเก็บรักษาก็ยาวนานขึ้น การลดปริมาณการใช้ไม้และผลลูกหนาม รวมทั้งการส่งเสริมให้ปลูกต้นลูกหนามเพื่อการค้าขอรับ เนื่องจากในตอนนี้ต้นลูกหนามเป็นเพียงต้นไม้ที่ขึ้นตามป่า หาได้มีประโยชน์และการดูแลอย่างถูกต้องเพื่อผลประโยชน์สูงสุดไม่”
“หมิงหมิงน้อย เจ้าคงมิได้หมายความว่า เหตุที่เจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้ท่านพ่ออนุญาตให้มีการปลูกต้นลูกหนามในเชิงการค้าใช่หรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นระยิบ เขารอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
“ขอรับ ข้าต้องการมานำเสนออาชีพในอนาคตให้กับชาวเมืองไห่ถัง หากเราให้ชาวบ้านเริ่มปลูกต้นลูกหนามในเชิงการค้า กลุ่มการค้าหลัวถงจะรับซื้อผลลูกหนามทั้งหมดและผลิตเป็นถ่านส่งไปขายให้กับกองกำลังหนิงอันและแคว้นต่าง ๆ รวมทั้งขายในแคว้นฉินด้วย โดยศูนย์กลางการผลิตจะอยู่ที่เมืองไห่ถัง ในอนาคตก็สามารถเก็บภาษีการค้าได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีอาชีพ ก็มีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น มีเงิน ฐานะ สภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็จะดีขึ้น
ทั้งยังสามารถจัดตั้งสถานศึกษาเพื่อให้ชาวเมืองทุกฐานะได้มีโอกาสเรียนหนังสือ มีการตั้งโรงเตี๊ยมเพื่อต้อนรับพ่อค้าต่าง ๆ โรงน้ำชาเพื่อเผยแพร่สินค้าที่แปรรูปมาจากผลลูกหนาม เนื่องจากเจ้าลูกหนามนี้ยังสามารถเอาไปแปรรูปได้อีกมากขอรับ โดยกลุ่มการค้าหลัวถงจะเป็นผู้ริเริ่มและสอนสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องเรียนรู้ให้กับชาวเมืองเองขอรับ”
จางอี้หมิงตอบด้วยใบหน้าราบเรียบ ปราศจากอาการตื่นเต้นใด ๆ ทั้งสิ้น แตกต่างจากบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ตกตะลึงกับแผนการของเด็กน้อยอายุไม่ถึงห้าขวบปี ในขณะที่ท่านอ๋องทำเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ คล้ายว่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ช่างเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ในอนาคตเด็กคนนี้จะสร้างประโยชน์แก่แคว้นเหลียงอย่างมาก
ในส่วนของจางอี้เทาเอง ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าบุตรชายฉลาดเฉลียวขึ้นหลังกลับมาจากแดนสวรรค์ แต่กระนั้นก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจมิน้อยเช่นกัน
อ๋องน้อยถึงกับเบิกตากว้างจ้องมองไปยังน้องชายตัวเล็กด้วยความตื่นใจและทึ่งในความรู้ความสามารถ เขายอมรับในใจเงียบ ๆ ว่าตนเองยังสู้เด็กน้อยตรงหน้ามิได้จริง ๆ เช่นนั้นแล้วการเอามาเป็นน้องชาย การแสดงออกถึงความจริงใจยิ่งต้องกระทำอย่างที่สุด
เขาจะปล่อยให้อัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ไปอยู่ในมือคนอื่นได้เช่นไร ในอนาคตที่เขาได้ขึ้นครองราชย์ น้องชายผู้นี้จะต้องช่วยเหลือและให้คำปรึกษาได้ดีมากเป็นแน่
คิดได้ดังนั้นอ๋องน้อยจึงหันพักตร์ไปทางบิดาซึ่งก็สบเข้ากับสายพระเนตรของหนิงอ๋องที่มองมายังบุตรชายในอุทรอยู่ก่อนแล้ว สายตาเช่นนี้ที่ผู้เป็นพ่อส่งมา อ๋องน้อยเข้าใจได้อย่างถ่องแท้และค้อมศีรษะให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการขอบคุณที่พระบิดาได้ปูทางไว้ให้เขาเป็นอย่างดี
“ข้าเข้าใจแล้ว ว่าการปลูกต้นลูกหนามจะทำให้ชาวไห่ถังมีรายได้มากขึ้นและทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าวางแผนการผลิตเช่นไร จากการแก้ไขปัญหาในฤดูหนาวที่ผ่านมา ข้ามิมีข้อโต้แย้งในความสามารถของเจ้า ข้าในฐานะเจ้าเมืองยินดียิ่งนักหากเมืองไห่ถังจะเจริญเป็นแหล่งการค้าของแคว้นฉิน ข้าตกลงทำตามที่เจ้าแนะนำ แล้วข้าต้องทำอันใดบ้างเล่า”
ท่านเจ้าเมืองเมื่อได้พิจารณาถึงแผนการจากเด็กชายแล้ว ตนเองก็เห็นด้วยหากว่าจะทำให้เมืองไห่ถังพัฒนาขึ้นต่อไปในอนาคต หากเก็บภาษีได้มาก การนำส่งเข้าเมืองหลวงได้มาก เช่นนี้ ตำแหน่งของเขาอาจจะก้าวขึ้นไปอีกก็เป็นได้
สวรรค์ช่างเมตตาต่อเขาจริง ๆ การได้รับความดีความชอบเรื่องการแก้ปัญหาภัยหนาวในคราวที่ผ่านมาจากฮ่องเต้ก็ถือว่าดีแล้ว หากยังสามารถเก็บภาษีเข้าบำรุงท้องพระคลังได้เพิ่มอีก เช่นนี้ล้วนเป็นผลที่ดีจริง ๆ
ในส่วนของจางอี้หมิงนั้นรู้ดีว่าการทำเช่นนี้จะทำให้แต่ละคนได้ผลประโยชน์เช่นไรบ้าง แต่เขาหาได้สนใจไม่ เนื่องจากเขาเองก็ต้องการคนสนับสนุนในอนาคต รวมทั้งต้องการหาทางเพิ่มผลผลิตการแปรรูปสินค้าต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ในรายการสิ่งที่จะต้องทำอีกมากมาย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเขาที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดอยู่แล้ว หากจะปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เหล่านี้คิดว่าตนเองได้ประโยชน์มาอย่างง่าย ๆ โดยมิได้ทำอันใด ก็ช่างเถอะ เขาไม่สนใจนักหรอก
ตลอดบ่ายนั้นการประชุมเพื่อทำข้อตกลงเรื่องการส่งสินค้าต่าง ๆ ให้กับแคว้นเหลียง แผนการสอนการปลูกต้นลูกหนามให้กับชาวบ้าน แผนการหาอาชีพแก่ชาวบ้านระหว่างที่รอให้ต้นลูกหนามสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมทั้งแผนการการเข้าร่วมกลุ่มการค้าหลัวถงของชาวเมืองไห่ถัง ถูกเด็กน้อยจางอี้หมิงอธิบายให้ทุกคนได้ฟังอย่างละเอียด นอกจากนี้เขายังแบ่งงานและมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนได้ไปทำตามความถนัดด้วย
“ในเมื่อการเจรจาในครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี เช่นนั้นข้าขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารพวกเจ้าทุกคนดีหรือไม่” ท่านอ๋องเอ่ยถาม
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเจ้าเมืองตอบรับอย่างนอบน้อมและยินดี
“เช่นนั้นพวกเราทุกคนไปกินอาหารที่เหลาอาหารซิ่งฝูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพราะวันนี้เหลาอาหารซิ่งฝูมีรายการอาหารชนิดใหม่ขึ้นโต๊ะพอดี จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ชิมอาหารรสเลิศชนิดใหม่นี้ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” จางอี้เทาเสนอขึ้นมา เขาซึ่งเป็นเพียงผู้รับฟังที่ดีจึงขอมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
“ข้ามิแปลกใจเลยว่าหมิงหมิงน้อยเอาความเจ้าเล่ห์และฉลาดมาจากผู้ใด ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นหรอกใช่หรือไม่ท่านอาจารย์เทียน” หนิงอ๋องเอ่ยถามพร้อมสรวลเล็กน้อย ถ้าหากไปกินอาหารที่เหลาซิ่งฝูรายได้ก็จะตกไปอยู่ที่ครอบครัวจางเช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะ เสือย่อมไม่ออกลูกเป็นสุนัขพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอาจารย์เทียนตอบรับ
เมื่อการเจรจาประสบความสำเร็จ ท่านอ๋องจึงมีพระเมตตาเลี้ยงอาหารเย็นให้กับทุกคน หลังจากที่เสร็จสิ้นธุระแล้ว พวกเขาได้ทำการแข่งขันเดินหมากพร้อมจิบสุราและประชันความสามารถทางด้านภาพวาดที่คุณชายหวงห่าวหรานเก็บสะสมมาตลอดเกือบหนึ่งปีเพื่อเข้าร่วมในการชิงชัยเป็นสิ่งที่จะนำไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับแคว้นจ้าวในปีหน้านี้
ท่านอ๋องได้ช่วยคัดเลือกภาพและแนะนำภาพวาดที่เหมาะแก่การเข้าร่วมการชิงชัยด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว ทุกคนจึงเดินทางไปยังเหลาอาหารซิ่งฝูเพื่อรับประทานอาหาร
กว่าจะกินอาหารเสร็จเวลาก็มืดค่ำแล้ว ท่านอ๋องจึงมีรับสั่งให้รถม้าของจวนอ๋องไปส่งสองพ่อลูกที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งจางอี้หมิงเองก็นอนหลับไปบนตักของบิดาตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ วันนี้เด็กน้อยใช้พลังงานไปมากมายจริง ๆ
จางอี้เทาลูบเส้นผมบุตรชายด้วยความรัก ท่าทางหลับสนิทน่าเอ็นดูไม่ต่างไปจากตอนตื่นแม้แต่น้อย เขาขยับตัวจัดท่าทางเล็กน้อยเพื่อให้จางอี้หมิงได้นอนสบายขึ้น
เจ้าตัวเล็กส่งเสียงอื้ออ้าแต่ไม่นานก็นอนนิ่งอีกหน ผู้เป็นพ่อแย้มรอยยิ้มกว้าง
เด็กก็เช่นนี้...ร่างกายยังต้องการการพักผ่อน
จางอี้เทาได้แต่ลูบผมบุตรชายเบา ๆ ไปตลอดทาง ตัวเขาทำได้เพียงแค่คอยสนับสนุนบุตรชายเท่านั้น ยิ่งตอนนี้เด็กน้อยบนตักมีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นถึงอ๋องน้อยแห่งแคว้นเหลียง เขาเองก็ยิ่งต้องระแวดระวังและคอยเป็นแรงผลักดันให้เด็กชาย แม้จะรู้ว่าจางอี้หมิงเฉลียวฉลาดแต่คนเป็นพ่อก็อดกังวลมิได้
หมิงเอ๋อร์... พ่ออยากให้เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยเช่นนี้ตลอดไปเหลือเกิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องแบกความหวังของผู้คนทั้งใต้หล้า แต่ในเมื่อไม่อาจฝืนชะตาลิขิต พ่อ แม่ และย่าของเจ้าจะสนับสนุนเจ้าทุกทาง
บ้านจางจะอยู่เคียงข้างจางอี้หมิงเสมอ ไม่ว่าหนทางในภายหน้าจะเป็นอย่างไร
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?