ตอนที่ 74 คนพาล

วันนี้จางอี้หมิงและบิดาเดินทางเข้ามาในเมืองไห่ถังตั้งแต่เช้า พวกเขามีกิจเข้าพบกับท่านเจ้าเมืองในตอนบ่ายตามที่เคยนัดหมายกับท่านอ๋อง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปลูกต้นลูกหนาม ส่วนในตอนเช้าจางอี้หมิงจะเข้าไปที่เหลาอาหารซิ่งฝูเพื่อสอนการทำรายการอาหารชนิดใหม่ตามที่ได้ตกลงกันไว้กับเถ้าแก่หลิน

แต่ทว่าวันนี้กลับแตกต่างออกไป เมื่อสองพ่อลูกบ้านจางมาถึงบริเวณโถงชั้นล่างสุดของเหลาซิ่งฝู กลับปรากฎว่ามีผู้คนมากมายซึ่งคงมิใช่ลูกค้าที่มาใช้บริการเหลาอาหาร เนื่องจากเสียงที่จางอี้หมิงได้ยินนั้นเป็นการถกเถียงและทะเลาะกันเสียมากกว่า

“หมิงเอ๋อร์ นั่นมิใช่เสี่ยวเอ๋อร์ใจร้ายของเหลาอาหารเฟิงฟู่หรอกหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายขณะที่เดินเข้ามาใกล้กับฝูงชนซึ่งอยู่ตรงกลางโถง

“ข้าคิดว่าใช่นะขอรับท่านพ่อ ต่อให้ผ่านไปอีกหลายปีข้าก็จำได้ คนใจร้ายเช่นนี้” จางอี้หมิงตอบบิดาเสียงขุ่น เขายังจำความรู้สึกที่ถูกเสี่ยวเอ้อร์คนนี้เอาไม้กวาดไล่ตีได้อย่างแม่นยำ

“เหตุใดคนของเหลาเฟิงฟู่ถึงได้มาที่เหลาซิ่งฝูกันเล่า” จางอี้เทาเปรยออกมา

“ท่านพี่ซีฮันเกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงเดินเข้าไปหาซีฮัน ผู้ที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์อันดับหนึ่งของเหลาซิ่งฝูและเอ่ยถามทันที

“นายน้อย คุณชายน้อย เถ้าแก่เหลาอาหารเฟิงฟู่ กำลังเจรจาอยู่กับเถ้าแก่หลินในห้องทำงาน ข้าก็มิรู้ว่าเถ้าแก่เหลาเฟิงฟู่มาทำอันใดขอรับ” ซีฮันตอบคำถามพลางชะเง้อชะเเง้มองไปทางห้องทำงานของเถ้าแก่หลินคล้ายกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถได้ยินหรือเห็นเหตุการณ์ข้างในนั้น

“เหอะ เถ้าแก่ของข้าก็มาจัดการเหลาอาหารซิ่งฝูเช่นไรเล่า” เสี่ยวเอ้อร์ตัวเเสบคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะให้กับซีฮัน

“จัดการ เจ้าหมายความว่าเช่นไร” ซีฮันเอ่ยถามด้วยเสียงห้วน คิ้วก็ขมวดกันเป็นปม

“บ่าวเช่นเจ้าสมควรรู้เรื่องเจ้านายเช่นนั้นหรือ” เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นใช้สายตาดูถูกมองไปยังซีฮัน ส่งผลให้คนที่ถูกหาว่าเป็นบ่าวถึงกับเดือดดาล ปรี่จะเข้าไปทำร้ายคนที่มาดูถูกเขา

“พี่ซีฮันอย่าทำขอรับ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็อยู่ที่เหลาซิ่งฝู ลูกค้ามีมากมาย อย่าให้ใครมาว่าพวกเราเป็นพวกอันธพาลใช้กำลังเลยขอรับ” จางอี้หมิงรีบหยุดพี่ชายเสี่ยวเอ้อร์เหลาตนเองไว้เกือบไม่ทัน

“คุณชายน้อยจะห้ามข้าไว้ทำไมขอรับ” ซีฮันเอ่ยออกมาพลางทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด เขาเดินไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่อีกฝากหนึ่งของห้องโถง ไม่เช่นนั้นคงระงับอารมณ์โกรธไว้ไม่ได้

“หมิงเอ๋อร์ พ่อว่าพวกเราเข้าไปหาท่านปู่ของเจ้ากันเถอะ” จางอี้เทาเห็นว่าซีฮันยืนแยกออกไปจากเสี่ยวเอ้อร์เหลาเฟิงฟู่แล้วจึงเอ่ยบอกลูกชาย

“ไปกันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงพยักหน้าเห็นด้วยและเดินนำหน้าบิดาไปก่อน

เมื่อสองพ่อลูกบ้านจางเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของเถ้าแก่หลินก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันดังออกมาถึงข้างอย่างไม่มีความเกรงใจในสถานที่แม้แต่น้อย

“เหอะ อาหารของชนชั้นต่ำเช่นนั้น เจ้ายังกล้าเอามาขาย ก็อาจจะเพราะเช่นนี้เหลาอาหารซิ่งฝูถึงเป็นได้แค่เหลาอาหารอันดับสอง น่าสงสารบรรพบุรุษของตระกูลหลินเสียจริงที่มีลูกหลานไม่ได้เรื่องเช่นนี้” คำปรามาสถูกกล่าวออกมาจากปากของชายวัยใกล้เคียงกับเถ้าแก่หลินไห่ เขาสวมอาภรณ์หรูหราสีน้ำเงินเข้ม ข้างกายมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นผู้ช่วยหรือผู้ติดตามส่วนตัวใกล้ชิด ชายชราคนนี้นั่งลงตรงกันข้ามกับเจ้าของเหลาอาหารแห่งนี้

“จะ เจ้า เหตุใดถึงไม่ต่อว่าเพียงข้า จะเอาบรรพบุรุษมาเกี่ยวข้องไปใย” เถ้าแก่หลินไห่ลุกขึ้นยืนชี้นิ้วที่สั่นระริกไปยังชายชรา สีหน้าของเขาแดงก่ำ พยายามอดกลั้นกับคำพูดแสนแทงใจดำของชายตรงหน้าอย่างถึงที่สุด

“หรือข้าพูดไม่จริงเล่า”

“เกาจ้าน มันจะมากไปแล้วนะ” เถ้าแก่หลินไห่ถึงกับเอ่ยชื่อของเจ้าของเหลาอาหารเฟิงฟู่ออกมาเสียงดัง

แต่ก่อนจะมีอันใดเกิดขึ้น จางอี้หมิงที่เห็นสถานการณ์ทางฝ่ายท่านปู่ของตนเองกำลังเสียเปรียบ นอกจากไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ยังอารมณ์ร้อนเช่นนี้เห็นทีจะโดนยั่วยุได้ง่าย เด็กน้อยจึงได้เรียกท่านปู่ของตนเองออกไปเสียงดัง อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งอารมณ์อันขุ่นมัวได้ชั่วระยะหนึ่ง

“ท่านปู่ ข้ามาเยี่ยมขอรับ”

จางอี้หมิงเอ่ยคล้ายเด็กน้อยไร้เดียงสา ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดภายในห้องทำงานนี้แม้แต่น้อย เขาเดินจูงมือบิดาเข้าไปหาเถ้าแก่หลินไห่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“อี้เทา คารวะท่านพ่อบุญธรรม” จางอี้เทายกมือคารวะเถ้าแก่หลินเสียงทุ้มนุ่มนวลตามแบบฉบับของบัณฑิต

“หมิงหมิงน้อย เจ้ามาเยี่ยมปู่เช่นนั้นหรือ อี้เทาเจ้าก็ตามสบายเถอะ”

หลินไห่แย้มรอยยิ้ม ทั้งที่กำลังอารมณ์เสียจนถึงที่สุด แต่เมื่อหันไปตามเสียงของหลานรักก็ถึงกับรีบปรับสีหน้าเป็นอ่อนโยนโดยพลันและตอบรับบุตรชายบุญธรรมเช่นเดียวกัน

“มิทราบว่าข้ากับหมิงเอ๋อร์มารบกวนอันใดท่านพ่อบุญธรรมหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามและนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ เถ้าแก่หลินไห่

ทว่าคนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบอันใด ชายชราผู้เป็นแขกก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พวกเจ้าสองคนพ่อลูกคงเป็นจางอี้เทากับจางอี้หมิง บุตรและหลานบุญธรรมของเถ้าแก่หลินใช่หรือไม่”

“มิทราบว่าท่านคือ...” จางอี้เทาได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยจึงหันหน้าไปยกมือทำท่าทางคารวะพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสุขุม

“ท่านผู้นี้ คือท่านเกาจ้าน เป็นเจ้าของเหลาอาหารเฟิงฟู่ เหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังอย่างไรเล่า” ชายที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเจ้าของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นคนตอบคำถามนี้แทน

“ยินดีที่ได้รู้จักท่านเกาจ้าน ใช่แล้วข้าชื่อจางอี้เทา และนั่นก็บุตรชายข้า จางอี้หมิง มิทราบว่าท่านที่เป็นถึงเจ้าของเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังมีธุระอันใดกันถึงได้มาเยือนเหลาอาหารอันดับสองเช่นนี้หรือขอรับ” จางอี้เทาเป็นผู้เอ่ยสนทนาต่อแทนเถ้าแก่หลินไห่

“ข้าเพียงแต่มาเยี่ยมเยือนเถ้าแก่หลินในฐานะที่เป็นคนคุ้นเคย ทำมาค้าขายในอาชีพเดียวกันมาตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ข้าก็ยังมิเห็นว่าเถ้าแก่หลินจะนำพาเหลาอาหารซิ่งฝูขึ้นเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งได้เสียที ในฐานะที่ร่วมเติบโตมาด้วยกัน ก็เพียงแค่มาบอกว่าหากมีอันใดให้ช่วยก็ขอให้บอกได้ ข้ายินดีช่วยเหลือเต็มที ฮะ ฮะ ฮะ” เกาจ้านตอบด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยจนทำให้เถ้าแก่หลินไห่ถึงกับเริ่มควันจะออกหูอีกครั้ง

จางอี้หมิงไม่สามารถทนความปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอของชายชราตรงหน้าได้อีกต่อไป เด็กน้อยยกมือขึ้นตบลงไปบนมืออันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเบา ๆ สองสามที ส่งสายตาให้กับท่านปู่ของตนเองให้ใจเย็นลง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตนเองกับบิดาในการจัดการปัญหาเรื่องนี้เอง

หลินไห่ได้รับสัญญาณเช่นนั้นจึงได้ถอนหายใจลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์อย่างยากลำบาก

“เหลาอาหารซิ่งฝูไม่บังอาจรบกวนผู้อาวุโสให้ลำบากหรอกขอรับ ท่านปู่หลินไม่ทราบจะเอาตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งไปทำอันใด​ เพราะยามนี้ที่เป็นเพียงอันดับสอง ยังทำงานกันแทบไม่ได้พัก หากได้อันดับหนึ่งคงย่ำแย่ยิ่งนัก

อีกประการ ท่านปู่หลินชื่นชอบการเป็นเหลาอาหารอันดับสองที่มีลูกค้าเข้าไม่ขาดสาย มากกว่าการเป็นอันดับหนึ่ง ที่เสี่ยวเอ้อร์ต้องนั่งตบยุงรอลูกค้าเข้าร้านขอรับ”

จางอี้หมิงตอบกลับอย่างเรียบง่ายไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธสักนิด แต่ผู้ที่ได้ฟังถึงกับปากค้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากหาคำมาตอบโต้มิได้

“จะ เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าพูดล่วงเกินผู้ใหญ่เช่นนั้นหรือ” เกาจ้านลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าแดงก่ำ เมื่อได้ยินคำพูดตอกย้ำถึงสถานการณ์ของเหลาอาหารเฟิงฟู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้ตัวเขาต้องมาเยือนเหลาอาหารซิ่งฝูในวันนี้นั่นเอง

“ท่านปู่ ข้าพูดอันใดผิดไปเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าไปถามท่านปู่ของตนเองด้วยน้ำเสียงใสซื่อและออดอ้อน ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายชราตรงหน้าถึงได้โกรธเช่นนั้น

“ฮะ ฮะ ฮะ หมิงหมิงน้อย เจ้าพูดมิผิดหรอก เพราะปู่ก็พอใจยิ่งกับสถานการณ์ของเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้ นั่นสินะ ปู่จะอยากได้ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งไปทำไม ถ้าต้องนั่งตบยุงรอลูกค้า ท่านลุงอู๋ของเจ้าคงเหงาไม่น้อย” เถ้าแก่หลินไห่พูดขึ้นมาแล้วก็ก้มไปลูบผมเด็กน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู

หึ! เป็นไงเจ้าเฒ่าหน้าเงิน หมิงหมิงน้อยเจ้าช่างไม่ทำให้ปู่ผิดหวังจริง ๆ ด้วย

“นายท่านใจเย็นขอรับ อย่าลืมจุดประสงค์ที่มาในวันนี้นะขอรับ” ชายผู้ติดตามเกาจ้านรีบขยับเข้าไปชิดชายชราเจ้านายของตนเองพลางกระซิบเสียงเบา

เจ้าของเหลาอาหารอันดับหนึ่งได้ยินเช่นนั้นจึงพยามยามระงับอารมณ์ตนเอง ไม่เกินสามลมหายใจก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้งหนึ่ง

หน็อยแน่ เจ้าเด็กหน้าเหม็น เห็นตัวเล็กเช่นนี้คงดูถูกไม่ได้เสียแล้ว

“ฮะ แหม ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาปรึกษาเรื่องการจัดงานเทศกาลประจำปีของเมืองไห่ถัง ข้าในฐานะเจ้าของตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งจึงได้รับคำสั่งมาจากท่านเจ้าเมือง ให้เปิดรับการแข่งขันทำอาหารเพื่อจัดอันดับใหม่ในแต่ละปีขึ้น ข้าจึงมาทักทายและหวังว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจะเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้” เกาจ้านอธิบายสาเหตุในการมาเยือนวันนี้ขึ้นอย่างใจเย็นหลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว

“เหลาอาหารซิ่งฝูคงไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ก็อย่างที่หมิงหมิงน้อยบอกไป ข้ายินดีกับตำแหน่งเหลาอาหารอันดับสองนี้แล้ว เจ้าไปเชิญเหลาอาหารอื่นเถอะ” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย

“ไม่ได้ เจ้าจะไม่เข้าร่วมไม่ได้” เกาจ้านตะคอกออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนที่จะนึกขึ้นได้จึงลดระดับน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติอีกครั้ง

“เหตุใดจึงไม่ได้เล่า”

“เพราะว่าผู้ที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้นอกจากจะได้ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังแล้ว ยังจะได้รับโอกาสเป็นผู้ทำอาหารให้กับคณะตรวจการจากเมืองหลวงในการเดินทางมาร่วมพิจารณาแข่งขันคัดเลือกเครื่องบรรณาการ ที่แคว้นฉินเราจะต้องนำส่งให้แคว้นจ้าวเช่นไรเล่า” เกาจ้านเอ่ยต่อไปอีกครั้ง

“เจ้าก็รู้ว่าเมืองไห่ถังของเรายังมิเคยชนะการแข่งขันเครื่องบรรณาการเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านเจ้าเมืองจึงหวังว่าจะมีสักปีที่เมืองเราจะได้รับเลือก หากว่าได้รับเลือกเมืองของเราก็ไม่ต้องเสียภาษีไปตลอดจนกว่าจะมีการคัดเลือกอีกครั้ง ข้าไม่อยากให้มีคำครหาว่าข้าใช้ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งมากดดันให้เจ้าไม่เข้าร่วม”

“ท่านอาวุโส ช่างเป็นโอกาสอันดีทีเดียว ท่านปู่ข้าว่าพวกเราเหลาอาหารซิ่งฝูก็เข้าร่วมแข่งขันเถอะขอรับ มิเช่นนั้นชาวเมืองอาจจะลือไปว่าเหลาอาหารเฟิงฟู่รังแกร้านเล็กอื่น ๆ ก็เป็นได้ขอรับ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสมีความยินดีเช่นนี้เหตุใดพวกเราจะไม่รับไว้เล่าขอรับ” จางอี้หมิงกล่าว เขาส่งยิ้มสดใสไปให้หลังจากที่กล่าวจบแล้ว

“หมิงหมิงน้อยอยากเข้าร่วมการแข่งขันเช่นนั้นหรือเอาสิ ปู่ตามใจเจ้า เจ้าว่าดีปู่ก็ว่าดี” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตกลงอย่างง่ายดายกับเด็กน้อยตรงหน้า หากไม่ชนะก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากชนะขึ้นมา จะว่าไปแล้วของรางวัลก็น่าสนใจจริง ๆ และเขามั่นใจว่าหลายชายตัวน้อยต้องหาวิธีได้แน่ ๆ

“ดี ดีมาก เด็กน้อย เถ้าแก่หลิน กติกาการแข่งขันไม่มีอันใดมากมาย ท่านเจ้าเมืองให้เลือกปรุงอาหารขึ้นมา 1 รายการ การตัดสินหาผู้ชนะจะแบ่งการให้คะแนนออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวง อีกส่วนเป็นการให้คะแนนจากชาวเมือง การประกวดจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้” เกาจ้านถือโอกาสอธิบายรายละเอียดของการแข่งขันให้เรียบร้อย

เมื่อได้แจ้งข่าวแล้วเกาจ้านก็เดินทางกลับ จุดประสงค์ของเขาที่มาในวันนี้ก็เพื่อให้เหลาอาหารซิ่งฝูเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อให้ในวันที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ชนะ ลูกค้าที่เริ่มหรอยร่อลงไปมากจะกลับมาใช้บริการที่เหลาตนเองอีกครั้ง ตัวเขามั่นใจเป็นอย่างมากเนื่องจากได้ว่าจ้างอดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวประจำเหลาอาหารเฟิ่งฟูแล้วเมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ด้วยฝีมือการปรุงอาหารของพ่อครัวหลวงก็พอเรียกลูกค้ากลับมาได้บ้าง แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาต้องการเหยียบเหลาซิ่งฝูให้จมดินถึงกับเลิกกิจการไปเลยได้ยิ่งดี

เหลาเฟิงฟู่จะต้องเป็นหนึ่งในเมื่อไห่ถังเช่นนี้ตลอดไป ใครที่ดูแล้วจะเป็นภัยก็ต้องกำจัด

หึหึ ชักอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ วันที่เหลาอาหารซิ่งฝูเหลือเพียงชื่อและอาคารรกร้างไว้ให้ดูต่างหน้า

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ