ตอนที่ 100 จะเลือกใคร

เมื่อยามสนธยาใกล้มาเยือน จวนตระกูลจางจึงจุดไฟสว่างไสว แต่กลับไร้ซึ่งเสียงดังครึกโครมของคนในบ้านเชกเช่นทุกที ทุกคนยังคงนั่งปักหลักรอองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ทั้งสองคนกลับมาจากพวังหลวง แต่ละคนต่างมีสีหน้าเศร้าหมอง ครอบครัวซุนในตอนนี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่เรือนนี้ด้วย

หลี่อ้ายถูกบังคับให้กินอาหารบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อบุตรในครรภ์ เจียวเม่ยทำหน้าที่ผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี นางคอยดูแลหลี่อ้ายไม่ห่างและยังเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“สะใภ้จาง หากไม่คิดถึงตนเอง ให้คิดถึงเจ้าตัวเล็กในท้อง หมิงเอ๋อร์คงมิยินดีหากรู้ว่า มารดาของเขาทำร้ายตนเองและน้องน้อยเช่นนี้”

“พี่เจียวเม่ย ข้ากินอันใดมิลงเลยเจ้าคะ”

“หลี่อ้าย กลั้นใจกินเสียหน่อย อย่างน้อยสักสองสามคำ” เจียวเม่ยยังไม่ยอมแพ้ จางอี้เทาเห็นเช่นนั้นจึงได้เอ่ยปลอบภรรยาอีกคน

“น้องหญิงเชื่อพี่สะใภ้เถอะ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพแต่ก็เพื่อเจ้าตัวเล็กในท้องด้วย”

“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม” หลี่อ้ายมิอยากให้สามีและคนในครอบครัวต้องเป็นกังวลเรื่องของตน จึงกลั้นใจฝืนกินข้าวต้มได้ครึ่งชามก็ผลักถ้วยออก เจียวเม่ยเห็นดังนั้นก็ไม่บังคับหลี่อ้ายอีก นางพยักหน้ารับอย่างพอใจและถือถ้วยออกไป

หลี่อ้ายจึงเดินไปนั่งข้างบุตรชายที่นอนหลับอยู่ ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดฝาดของจางอี้หมิงทำให้หัวใจนางวูบโหวง ไหนจะริมฝีปากสีม่วงคล้ำและลมหายใยแสนอ่อนแรง หากไม่สังเกตให้ดีคงคิดว่าร่างที่นางกำลังกุมมืออยู่นี้คือร่างไร้ชีวิตร่างหนึ่ง

“หมิงเอ๋อร์ ลืมตาขึ้นมาหน่อยเถอะ แม่ใจจะขาดแล้ว ตอนนี้หมิงเอ๋อร์จะได้เป็นพี่ใหญ่แล้วเจ้ารู้หรือไม่ นี่มิใช่สิ่งที่หมิงเอ๋อร์ต้องการมาตลอดเช่นนั้นหรอกหรือ เจ้ามิอยากเป็นพี่ใหญ่ มิอยากมีน้องสาวน้องชายหลายคนเช่นนั้นหรือ ตื่นขึ้นมาเถอะ แม่ขอร้องเจ้า” หลี่อ้ายเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา

นางคิดไว้มากมายว่าจะหาวิธีบอกบุตรชายเช่นไรให้เจ้าตัวน้อยที่อยากเป็นพี่ชายได้ประหลาดใจ คิดจินตนาการถึงใบหน้าของบุตรชายยามดีใจจนฉีกยิ้มกว้าง แต่เหตุใดยังผ่านไปมิถึงหนึ่งวัน กลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้

คล้ายคนที่กล่าวถึงรับรู้ถึงความรักและความวิตกกังวลของมารดา จางอี้หมิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างโรยแรง

“ทะ ท่านแม่ ทะ ท่านพ่อ” อี้หมิงเอ่ยเรียกบิดามารดาเสียงอ่อนและเบายิ่งนัก

“หมิงเอ๋อร์ แม่อยู่นี่ หมิงเอ๋อร์ ได้ยินแม่หรือไม่” เมื่อเห็นบุตรชายลืมตาขึ้นมา หลี่อ้ายจึงลืมตัวโผเข้าไปกอดบุตรชายพลางร้องไห้เสียงดัง เดือดร้อนให้จางอี้เทาต้องคอยเอ่ยเตือนและพยุงร่างภรรยาออกมา

“น้องหญิงระวังด้วย”

“ขอโทษ แม่ขอโทษ หมิงเอ๋อร์ เจ็บหรือไม่”

“ท่านแม่ ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ ข้ากำลังจะเป็นพี่ใหญ่แล้ว” จางอี้หมิงพยายามเอ่ยเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เสียงนั้นก็ช่างเบานัก

“หมิงเอ๋อร์ ใช่แล้ว มารดาของเจ้านางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว คงตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองไห่ถัง” เป็นจางอี้เทาที่ตอบคำถามของบุตรชาย

“ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าจะได้เป็นพี่ใหญ่แล้ว” จางอี้หมิงยิ้มดีใจออกมาบางเบา

“น้องหญิง พี่ว่าเราอย่าเพิ่งรบกวนหมิงเอ๋อร์เลย ลูกคงเหนื่อยยิ่งนัก” จางอี้เทามองเห็นอาการเหนื่อยหอบของบุตรชายแล้วจึงเอ่ยเตือนภรรยา

หลี่อ้ายได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับและกล่าวกับบุตรชายเสียงนุ่มนวล

“หมิงเอ๋อร์ ลูกมิต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว มารดาจะอยู่กับเจ้าเอง จะจับมือเจ้าไม่ยอมปล่อย หมิงเอ๋อร์ ต้องเข้มแข็งและสู้เพื่อท่านย่า เพื่อทุกคน หมิงเอ๋อร์เข้าใจใช่หรือไม่” หลี่อ้ายปลอบใจทั้งตนเองและบุตรชาย จางอี้หมิงเหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยตอบเป็นคำพูดออกมาได้ เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับน้อย ๆ และหลับตาลงอีกครั้ง

จางอี้เทาเห็นว่าบุตรชายนอนหลับไปแล้วก็เอ่ยบอกภรรยา

“น้องหญิง พี่จะไปเยี่ยมท่านแม่ น้องหญิงอยู่กับหมิงเอ๋อร์ได้หรือไม่”

“ท่านพี่ ข้าอยู่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ก็ต้องการกำลังใจเช่นกัน” หลี่อ้ายกล่าว นางรู้ว่าสามีก็เป็นห่วงมารดาของตนมากเช่นกัน

จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นจึงผละจากห้องบุตรชายเพื่อไปหามารดาตนเอง ตลอดทางเดินเงียบเหงาว่างเปล่า เสียงคุยจ้อกแจ้กจอแจที่เคยมีก็คล้ายกับว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว และในค่ำคืนนั้น...ปรากฏว่าสององครักษ์ก็มิได้กลับจวนมาแต่อย่างใด

เช้าวันถัดมา หลี่อ้ายที่นั่งเฝ้าบุตรชายตลอดทั้งคืน นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อนางได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของจางอี้หมิง

อาปาที่เฝ้าอยู่ด้วยรีบเข้าไปตรวจดูอาการของเจ้านายตัวน้อยทันที

“ท่านองครักษ์ หมิงเอ๋อร์เป็นอันใด เหตุใดถึงได้ร้องด้วยความเจ็บปวดเช่นนี้” หลี่อ้ายตื่นเต็มตา นางลุกออกไปยืนข้างเตียงของบุตรชาย ปล่อยให้อาปาได้ดูอาการบุตรชายอย่างใกล้ชิด

“นายหญิงจาง คุณชายน้อยต้องพิษที่มีฤทธิ์ทำลายอวัยวะจากภายใน วันนี้เป็นวันที่สองของการถูกพิษ ความเจ็บปวดจึงรุนแรงมากขึ้นขอรับ”

“โธ่ หมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายเสียงสั่น นางได้แต่ยืนมองบุตรชายเริ่มร้องและดีดดิ้นด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเห็นว่าจางอี้หมิงนอนดิ้นและเอามือกุมท้องตลอดเวลาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ หัวใจของคนเป็นแม่อย่างนางยิ่งสลาย

“หมิงเอ๋อร์ เริ่มออกอาการแล้วใช่หรือไม่” เป็นเสียงของจางอี้เทาที่เดินเข้ามายังห้องของบุตรชายเอ่ยถาม เขาเห็นอาการเจ็บปวดและดิ้นทุรนทุรายของมารดาจึงนึกถึงบุตรชาย หากนางหูทรมานเช่นนั้น จางอี้หมิงคงมิต่างกันหลังจากที่อาลิ่วให้ยาระงับความปวดกับนางหูเรียบร้อยแล้ว

จางอี้เทาจึงรีบเดินกลับมายังห้องของบุตรชายและพบว่าจางอี้หมิงเองก็มีอาการเช่นเดียวกัน หัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

หากต้องสูญเสียทั้งมารดาและบุตรชายไปเขาจะอยู่อย่างไร แต่เมื่อเห็นหลี่อ้ายที่นั่งเศร้าอยู่ เขาก็ต้องทำตนให้เข้มแข็งไว้ให้ได้

“ท่านพี่ ข้าสงสารลูกเจ้าค่ะ”

หลี่อ้ายเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา ไม่รู้ว่าภายในสองวันมานี้นางสูญเสียน้ำตาไปมากเท่าใดแล้ว ร่างกายยิ่งดูผ่ายผอมลงไปมาก

“ท่านจาง ข้าได้ให้ยาระงับอาการปวดแก่คุณชายน้อยแล้วขอรับ แต่คาดว่าคงไม่ได้ผลเท่าใดนัก เพราะร่างกายของคุณชายน้อยยังเด็ก คงทนพิษได้ไม่เท่าร่างกายของผู้ใหญ่ขอรับ” อาปาอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

“ไม่! เจ้าโกหก หมิงเอ๋อร์เพียงแค่นอนหลับเท่านั้น เขามิได้เป็นอันใด พรุ่งนี้เช้าหมิงเอ๋อร์ก็ตื่นมาแล้ว”

หลี่อ้ายได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป อาจจะด้วยภาวะของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ รวมทั้งมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้นางหวาดกลัว ยิ่งนางเคยเห็นบุตรชายใกล้ไปเยือนประตูผีมาแล้วเมื่อสองปีที่ก่อน ความหวาดกลัวก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวีด้วยนางไม่ต้องการเห็นเช่นนั้นอีก

เมื่อหลายเรื่องประเดประดังเข้ามาในครั้งเดียว หลี่อ้ายจึงรับความกดดันไม่ไหว สิ้นสติลงไปทันทีหลังจากที่ตะคอกอาปาแล้ว จางอี้เทาช้อนอุ้มภรรยาขึ้นมาแนบอกเพื่อพานางไปนอนที่ห้องของตน

“ไปตามท่านหมอมาดูอาการภรรยาข้าหน่อย”

อาปาพยักหน้ารับ เขาเดินไปเรียกอาลิ่วให้ไปดูอาการมารดาเจ้านายของตน

“ท่านจาง ฮูหยินมิเป็นอันใดมาก ให้สาวใช้มาอยู่เป็นเพื่อนค่อยดูแล หาอาหารให้กินและถ้าเป็นไปได้ก็ให้พักรักษาตัวที่ห้องนี้ พวกเราต้องมุ่งความสำคัญไปที่คุณชายและฮูหยินผู้เฒ่า หวังว่าท่านจางจะเข้าใจ” อาลิ่วเอ่ยกับจางอี้เทาเมื่อตรวจดูอย่างละเอียด

“ข้าเข้าใจขอรับ”

“อาเทา เจ้าไปดูหมิงเอ๋อร์กับท่านป้าเถอะ ส่วนน้องสะใภ้ ข้ากับลี่เอ๋อร์จะดูแลเอง” เป็นเจียวเม่ยที่รับปากจะดูแลหลี่อ้ายให้

“ใช่ เจ้ากับข้าก็ไปดูหมิงเอ๋อร์กับท่านป้าหูเถอะ ตอนนี้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ต้องยืนหยัดเพื่อครอบครัว เจ้าจะล้มมิได้ ให้พี่สะใภ้เจ้าดูแลน้องสะใภ้ไปเถอะ” ซุนซูเย่เอ่ยเตือนชายหนุ่มตรงหน้าที่เขารักดั่งน้องชายตนเอง

“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง” จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ในตอนนี้เขาต้องยืดหยัดดั่งคำที่ซุนซูเย่ว่า เขาจะอ่อนแอไม่ได้ ครอบครัวจางต้องการเขา

“เราไปกันเถอะ” จางอี้เทาหันไปบอกกันอาลิ่วและเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน

เวลาผ่านไปถึงยามอู่ (11.00 – 12.59) สององครักษ์จึงกลับมาจากพระราชวัง พวกเขามุ่งตรงมายังห้องที่รักษาเจ้านายตัวน้อยทันที ซึ่งตอนนี้มีเพียงจางอี้เทาและซุนซูเย่ ที่วิ่งวุ่นไปมาระหว่างทั้งสองห้อง

“ท่านหัวหน้าองครักษ์อี ท่านกลับมาแล้ว ได้ยาชุบชีวิตมาหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถามด้วยเสียงร้อนรน

องครักษ์ทั้งสองท่าทางอิดโรยคล้ายมิได้นอนมาตลอดสองวันนี้ พอมาถึงจึงนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง รินน้ำชาขึ้นดื่มอึกใหญ่

“ท่านจาง ขออภัยที่กลับมาช้า ฮ่องเต้แคว้นฉินเสด็จประพาสต่างเมืองเพื่อเยี่ยมราษฎร ทำให้พวกข้าต้องเสียเวลาตามไป ฮ่องเต้ฉินหลงเมื่อทราบข่าวก็เสด็จกลับพระราชวังทันที แต่กว่าพวกข้าและพระองค์จะเดินทางกลับมาถึงพระราชวังก็ใช้เวลาไปนานมากโข หนี้บุญคุณครั้งนี้แคว้นเหลียงต้องตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน”

องครักษ์อีเอ่ยเล่าเหตุการณ์อย่างสั้นๆและกระชับได้ใจความให้บิดาของเจ้านายตนเองได้รับฟังถึงสาเหตุของความล่าช้า

“แต่ว่ายาที่ฮ่องเต้แคว้นฉินมอบให้มีเพียงเม็ดเดียว พวกเรามีคนป่วยสองคน ท่านจะตัดสินใจเช่นไร”

สิ้นคำของหัวหน้าองค์รักษ์ จางอี้เทาก็ถึงกับเข่าทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

เขาควรจะเลือกใครกันล่ะ มารดาหรือบุตรชาย

บัณฑิตหนุ่มได้แต่เฝ้าถามตนเอง ในชีวิตเขาตอบคำถามผู้อื่นมามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีคำถามใดเลยจะยากเท่ากับคำถามนี้ หูไป๋หงคือมารดาที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด

จางอี้เทารักและเทิดทูนท่านแม่คนนี้มากมายนักแต่จางอี้หมิงก็เป็นบุตรชาย เป็นเด็กน้อยที่เขารักมากที่สุด อีกทั้งยังมีอายุเพียงแค่หกขวบเท่านั้น ลูกของเขายังไม่สมควรตาย แต่มารดาเขาเองก็เช่นกัน

เหตุใดสวรรค์ถึงโหดร้ายต่อครอบครัวจางเช่นนี้ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขายินดีที่จะไม่เดินทางมาเมืองหลวง ยินดีจะอยู่ที่หลัวถงตลอดชีวิต

ทว่าในโลกนี้ไม่มีคำว่า...แต่

“ท่านจาง ท่านต้องรีบตัดสินใจแล้ว เวลาไม่คอยท่า” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยเร่งจางอี้เทา เขาอยากจะนำยาชุบชีวิตนี้ช่วยเหลือเจ้านายตนเอง แต่ว่าเรื่องนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจเองได้

“ขะ ข้า”

จางอี้เทาเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็พูดออกไปอีกไม่ได้ เขาเลือกไม่ได้จริงๆ

“ท่านจาง ท่านอยากสูญเสียทั้งสองคนเช่นนั้นหรือขอรับ”

“ขะ ข้า”

เป็นอีกครั้งที่จางอี้เทาเอ่ยออกมาไม่ได้จนกระทั่ง...

“อะ เอายาให้ท่านย่าไป”

เป็นจางอี้หมิงที่ฟื้นขึ้นมาได้ยินคำถามของหัวหน้าองครักษ์อีที่เอ่ยถามบิดาเสียงเข้ม เขาจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่ต้องการออกไป

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว”

“ทะ ท่านพ่อ เอายาให้ท่านย่าไปขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยย้ำอีกครั้ง ก่อนจะนิ่วหน้าเอามือกุมท้องงอเข่าเข้าหาตัว แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดมากเพียงใด เขาก็ยังไม่ร้องออกมา

“หมิงเอ๋อร์ พะ พ่อ ทำไม่ได้” จางอี้เทาส่ายหน้า

“ท่านอาอี เอายาช่วยท่านย่า” จางอี้หมิงเห็นว่าบิดาไม่ยอมทำตามความต้องการของตนเองจึงหันไปบอกหัวหน้าองครักษ์ของตนเองด้วยเสียงอ่อนแรง

“ท่านอ๋องน้อย ได้โปรดเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์อีและเหล่าองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ในห้องต่างนั่งคุกเข่าลงพลางวิงวอนขอคัดค้านเสียงดังเต็มพิธีการ

“ข้าสั่งให้ช่วยท่านย่า ท่านกล้าขัดคำสั่งของข้าเช่นนั้นหรือ” จางอี้หมิงเค้นเอ่ยเสียงเข้ม แต่ก็แผ่วเบาดั่งปุยนุ่นพาเอาดวงใจของคนในห้องวูบโหวง

“ปะ ไป” จางอี้หมิงเอ่ยอีกครั้ง

“ท่านอ๋องน้อย กระหม่อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์อียื่นยาชุบชีวิตให้กับอาลิ่วและอาปา เพื่อนำไปช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าตามคำบัญชาของเจ้านายตนเอง แม้จะไม่มีผู้ใดเต็มใจนักแต่เขาและคนอื่นไม่อาจขัดขืนคำสั่งของอ๋องน้อยได้

“ท่านจาง ข้าต้องทำตามคำสั่งของท่านอ๋องน้อย โปรดอภัยให้พวกเราด้วย” เมื่ออาลิ่วและอาปารับยาไปแล้ว หัวหน้าองครักษ์อีจึงหันมาบอกจางอี้เทาเสียงเบา เพราะเขาเองก็เสียใจมิน้อยที่ต้องทำเช่นนี้

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเด็กโง่ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ พ่ออยากขอรับความเจ็บปวดนี้แทนเจ้ายิ่งนัก สวรรค์! เหตุใดท่านถึงโหดร้ายกับครอบครัวข้าเช่นนี้เล่า” จางอี้เทาร้องตะโกนขึ้นฟ้า คร่ำครวญเสียงดัง เขาโอบกอดบุตรชายไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลไม่ขาดสาย

“ท่านพ่อ ข้าคิดดีแล้ว พวกท่านสมควรได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว สมควรได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ข้าขอบคุณที่ผ่านมาท่านทำให้ความฝันของข้าเป็นจริง ข้ารักพวกท่านนะขอรับ รักมาก” จางอี้หมิงเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็กระอักโลหิตออกมากองโตและสลบไสลไป เนื่องจากทนรับความเจ็บปวดอีกไม่ไหว

อาปาและอาลิ่วที่นำยาชุบชีวิตไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่าแล้วรีบเดินกลับเข้ามาในห้องของจางอี้หมิง พวกเขาทั้งสองวางใจอาการของนางหูเนื่องจากมั่นใจในตัวยาของแคว้นตนเองอย่างถึงที่สุด จึงให้สาวใช้คนอื่นเฝ้าดูแลอยู่

“ท่านหมอรีบช่วยบุตรข้าที” จางอี้เทาเอ่ยบอกอาปาและอาลิ่วเสียงลนลาน

“ท่านจาง ปล่อยท่านอ๋องน้อยก่อน ให้พวกข้าได้ดูอาการสักครู่” อาปารีบเอ่ยเตือน จางอี้เทาจึงวางบุตรชายลงและลุกมายืนอยู่ตรงข้างเตียงนอน

“ท่านจาง ท่านอ๋องน้อยคงจะไม่ไหวแล้ว ข้าจะให้ยาระงับอาการปวด อย่างน้อยท่านอ๋องน้อยจะได้ไม่ทรมานมากนัก” อาลิ่ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาส่ายหัว เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้อีกต่อไปแล้ว

จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้ออกมาทันที บรรยากาศของจวนตระกูลจางเขตพื้นที่เหลียนฮวาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ทุกคนต่างมารวมตัวกันภายในเรือนของคนป่วย ร่างของเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงทำให้พวกเขาโศกเศร้าจนไม่อาจสนใจสิ่งรอบข้างและไม่ได้ระวังตัวรับรู้ถึงการมาถึงของใครบางคน

ใครบางคนที่จะทำให้จวนตระกูลจางมิลืมเหตุการณ์ในวันนี้ไปตลอดกาล...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ