เมื่อพลบค่ำมาถึง จางอี้เทานั่งเหม่อมองตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า แสงสีส้มช่างให้ความรู้สึกที่เศร้าหมองเหมือนดั่งครอบครัวของเขาในตอนนี้
ครอบครัวจางแต่เดิมพื้นเพเป็นคนเมืองหลวง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นบุตรชายของฮูหยินเอกเพราะนางหูไป๋หงนั้นเป็นเพียงฮูหยินรองของคหบดีค้าผ้า แต่บิดากลับรักใคร่มารดาเขามากกว่าใคร ส่งผลให้ตัวเขาได้รับความรักความโปรดปรานจากบิดาไม่น้อย
เขาได้รับการศึกษาเล่าเรียนดั่งคุณชายคนหนึ่งจนสำเร็จเป็นบัณฑิต ต่อมาก็ทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เมื่อถึงเวลาแต่งงานมีครอบครัว บัณฑิตหนุ่มก็พบรักกับหลี่อ้าย ลูกสาวร้านผ้าปักที่เป็นคู่ค้ากับตระกูลมาช้านาน เมื่อแต่งงานกันได้หนึ่งปี ก็มีจางอี้หมิงเป็นโซ่ทองคล้องใจ
สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับฮูหยินใหญ่ นางคิดเสมอว่าฮูหยินรองและบุตรชายไม่สมควรเทียบเคียงนางซึ่งถูกยกย่องเป็นเมียเอก หลังจากที่บิดาถูกโจรดักปล้นและเสียชีวิตในระหว่างเดินทางไปทำการค้าต่างเมือง ฮูหยินใหญ่ไม่แม้แต่จะให้เขาและมารดาได้ทำพิธีเคารพศพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางมอบหนังสือแยกบ้านรองออกจากตระกูลหลัก หยิบยื่นเงินให้เพียงเล็กน้อยและไล่พวกเขามาอยู่บ้านบรรพบุรุษที่หมู่บ้านหลัวถงแห่งนี้
แต่แค่นั้นคงยังไม่สาแก่ใจท่านเทพแห่งโชคชะตา ระหว่างที่จางอี้เทาเดินทางมาหมู่บ้านของบรรพบุรุษ หอบความหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่มาเต็มเปี่ยม แต่ความหวังนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่อครอบครัวของเขาถูกโจรดักปล้น ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องแลกไปกับทรัพย์สินทั้งหมดที่หอบหิ้วมาจากเมืองหลวง โชคยังดีที่หลี่อ้ายคว้าเอาห่อผ้าใส่โฉนดที่ดินของบ้านบรรพบุรุษและหนังสือแยกบ้าน รวมถึงเครื่องประดับเล็กน้อยมาไว้ได้
เมื่อหนีมาจนพ้นจากกลุ่มโจร จางอี้หมิงเริ่มจับไข้ไม่ได้สติหลายวัน กว่าจะมาถึงหมู่บ้านหลัวถง บุตรชายของเขาก็อาการหนักมากแล้ว เวลาผ่านไปจากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน แต่บุตรชายของเขายังคงไม่ฟื้นขึ้นมา
นับว่าสวรรค์ยังเมตตาอยู่บ้างที่คนในหมู่บ้านให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะหัวหน้าหมู่บ้านอย่างท่านลุงซุนถง ที่รวบรวมชาวบ้านมาช่วยปลูกบ้านให้อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่กระท่อมปลายนา ไม่มีแม้แต่ห้องนอนให้หลับสบาย เป็นแค่ห้องกว้าง ๆ ที่มุงหลังคาด้วยหญ้าเท่านั้น แต่เขาก็รู้สึกซึ้งใจมาก
ยังดีที่มีบ้านเป็นของตนเองไว้อาศัย แต่ความกังวลใจยังไม่หมดแค่นั้น เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาทุกที อีกเพียงไม่ถึงสามเดือนเท่านั้น จางอี้เทาไม่แน่ใจเลยว่าสภาพบ้านหลังนี้จะทนทานความหนาวเหน็บที่กำลังคืบคลานมาได้หรือไม่
อาหาร ข้าวสาร เสื้อผ้า ชาวบ้านต่างนำมาบริจาคให้กับครอบครัวของเขา ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มากไปด้วยน้ำใจ แตกต่างกับชาวเมืองหลวงบางกลุ่ม
“ท่านพี่ มานั่งเหม่อตรงนี้อีกแล้วนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายส่งเสียงทัก นางเดินลงมายอบตัวนั่งข้าง ๆ
“น้องหญิง...พี่ขอโทษ พี่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ใช้ไม่ได้”
“ท่านพี่ อย่าได้ตำหนิตนเองเช่นนี้ แค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ก็ดีที่สุดแล้ว เงินทองเราค่อยหามาเพิ่มทีหลังนะเจ้าคะ เชื่อข้า...พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายกล่าวปลอบใจสามีพลางดึงชายหนุ่มเข้ามาสวมกอดไว้ นางส่งกำลังใจผ่านอ้อมกอดนี้อย่างอบอุ่น ทำไมนางจะไม่รู้ว่าสามีต้องแบกรับภาระมากมายไว้บ่นบ่าทั้งสองมากขนาดไหนในฐานะหัวหน้าครอบครัว
สามีของนางเป็นบัณฑิต มือเคยจับแต่พู่กัน งานต่าง ๆ ล้วนมีบ่าวไพร่คอยรับใช้ เกิดและเติบโตมาดั่งคุณชาย เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นผ้าไหมที่ตัดเย็บอย่างประณีต อาหารการกินเลือกเอาวันละสามอย่างไม่เคยซ้ำ รูปโฉมงดงาม เนื้อตัวสะอาดสะอ้านปราศจากกลิ่นเหงื่อไคล ท่วงท่าการก้าวย่างล้วนงามสง่าสมกับเป็นบัณฑิต ใครเล่าจะคิดว่าเพียงชั่วข้ามคืน ชีวิตจะพลิกผันได้ปานนี้
บ้านที่อยู่ในตอนนี้ไม่ต่างอันใดกับกระท่อมปลายนา เสื้อผ้าที่สวมใส่หรือก็เป็นเพียงผ้าที่หยาบกระด้าง อาหารการกินก็ต้องประหยัด บางวันถึงกับต้องอดเพื่อที่จะได้เหลือน้ำข้าวต้มจากธัญพืชหยาบไว้คอยป้อนให้กับจางอี้หมิง มือที่เคยจับแต่พู่กันต้องมาจับจอบจับเสียม
ในช่วงแรก ๆ ที่สามีนางกลับมาจากทำงานในไร่ มือของเขาเต็มไปด้วยตุ่มน้ำพุพองที่แตกเป็นน้ำใส ๆ สร้างความเจ็บปวดให้กับสามีของนางเป็นอย่างมาก
แม่สามีก็อายุมากแล้ว ทำอันใดไม่ได้มาก ส่วนนางต้องคอยดูแลจางอี้หมิงที่เจ็บไข้ จางอี้เทาจึงเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวในตอนนี้ เขาต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อดูแลมารดาและภรรยาอย่างดีมาโดยตลอด ทำหน้าที่พ่อให้จางอี้หมิงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แน่นอนว่าบัณฑิตอย่างจางอี้เทาไม่เคยทำงานหนักมาก่อน ในตอนแรกแม้แต่จะพรวนดินยังยากนักหนา แต่ยังดีที่ได้ซุนซูเย่ บุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้านคอยสั่งสอน ถือได้ว่าครอบครัวจางติดหนี้บุญคุณครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านมากมายจริง ๆ
“ท่านพี่ เข้าไปในบ้านเถอะเจ้าค่ะ เย็นแล้ว น้ำค้างเริ่มลง ท่านสมควรได้พักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานในไร่ของพี่ซูเย่อีก”
จางอี้เทาไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นยืนและเดินตามภรรยาเข้าไปในบ้าน
.
ในคืนนั้น ชายที่อยู่ในร่างเด็กน้อยนามจางอี้หมิงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายมีนางหูไป๋หง ท่านย่าของร่างนี้นอนอยู่ข้าง ๆ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงนอนเป็นแคร่ไม้ไผ่ ตัวเขานอนกับนางหู ส่วนบิดามารดานอนถัดไปอีกแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ
เขานอนเรียบเรียงความคิดเงียบ ๆ คนเดียว จนความทรงจำของร่างใหม่และความทรงจำเดิมผสานกันอย่างสมบูรณ์
อานนท์ วังศรีซ้าย คือเขาในโลกเดิม ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างจางอี้หมิง เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านอุ่นไอรัก เรียนจบแค่ชั้น ปวส. การตลาดภาคค่ำ เขาไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหน้าตาโดดเด่นอะไรเลย เป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างดาษดื่น
แต่ถึงกระนั้น เขากลับเป็นคนที่มีฝีมือการทำอาหารในระดับที่น่าจับตามอง ไม่ได้อยากจะคุยโว แต่ลูกค้าหลายคนถึงกับออกปากแนะนำว่าเขาควรไปแข่งซูเปอร์เชฟไทยแลนด์เลยทีเดียว เขามีลูกค้าประจำหลายสิบคนแวะเวียนมาอุดหนุน ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เวียนไปเรื่อย ๆ พอได้มีเงินใช้ ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนตื่นเต้นเหมือนในหนัง
ส่วนอาชีพรองคือนักวิจัยข้อมูล ก็พูดไปซะหรูอย่างงั้นแหละ ความจริงแล้วมันคือการรับจ้างค้นคว้าหาข้อมูลในอากู๋นั่นเอง คนจ้างมีตั้งแต่เด็กมัธยมไปจนถึงพนักงานบริษัท ลูกค้าหลัก ๆ มีสอง ประเภท คือกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และอีกกลุ่มคือนักเขียน หากแปลกใจว่าทำไมจึงมีนักเขียนเข้ามาอยู่ในกลุ่มลูกค้าหลัก อานนท์ก็จะขอตอบอย่างง่าย ๆ ว่า มาจ้างหาข้อมูลประกอบการเขียน
โดยเฉพาะนักเขียนแนวจีนโบราณ คิดดูสิว่าประเทศจีนมีประวัติศาสตร์มายาวนานแค่ไหน ในแต่ละยุค แต่ละสมัยมีวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป เขามีหน้าที่ในการค้นคว้าและสรุปย่อยเรื่องราวออกมาให้ผู้ว่าจ้าง ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เขาชอบทีเดียว มันทำให้ได้ความรู้เยอะ เพราะปกติเขาก็เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมาทำงานด้านนี้ มันเลยเข้าทางซะอย่างนั้น
อาจจะเพราะวัน ๆ เอาแต่ทำงานประจำและงานหาข้อมูล ยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันก็หมดไปซะแล้ว อานนท์จึงยังคงสถานะโสด เขาไม่เคยมีแฟน จะว่าไปแล้วการเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าก็มีข้อดีอยู่นะ เพราะว่ามันทำให้เขาแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ งานทุกอย่างที่ทำเงินได้ อานนท์รับทำเกือบทั้งหมด
วันพรุ่งนี้เขาจะอายุครบยี่สิบห้าปี อานนท์จึงขอลางานกับเจ้านายไว้เป็นที่เรียบร้อย เขาวางแผนว่าจะกลับไปบ้านอุ่นไอรัก บ้านเด็กกำพร้าที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมา ทุกวันเกิดตั้งแต่ออกมาอยู่ตัวคนเดียว เขาจะกลับไปเยี่ยมน้อง ๆ และแม่ครู พร้อมกับเลี้ยงอาหารทุกปี แม้ว่าทุกเดือน เขาจะนำเงินไปให้แม่ครูส่วนหนึ่งอยู่แล้ว
ในคืนที่อานนท์กำลังนั่งหาข้อมูล ในตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่รับ แต่เพราะผู้ว่าจ้างต้องการข้อมูลด่วน ทำให้ค่าจ้างสูงขึ้นมาเป็นเท่าตัว เขาจึงตกลงรับงานอย่างไม่ลังเล หวังว่าจะได้เงินเพิ่มมาอีกหน่อย จะได้เอาเงินให้แม่ครูมากขึ้น
แต่เพราะตอนกลางวัน อานนท์ต้องไปขายอาหารตามสั่ง และเพราะช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวติดกันหลายวัน ทำให้คนไปเดินห้างเยอะขึ้น โอกาสทองแบบนี้ต้องรีบกอบโกย เขาขายอาหารไม่หยุดพัก จนห้างปิดในเวลาเกือบสี่ทุ่ม พอกลับมาห้องแล้วยังต้องมานั่งทำงานหาข้อมูลในเวลาดึกดื่น ดังนั้นร่างกายของอานนท์จึงรับไม่ไหว ทำให้วูบและหมดสติไปในที่สุด
เพียงแต่ว่าการหมดสติของเขาในวันนี้ไม่ใช่จุดจบของชีวิต หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ อานนท์ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือความจริงกันแน่ การตื่นขึ้นมาในร่างเด็กชาย แถมยังอยู่ในยุคสมัยจีนสมัยโบราณแบบนี้อีก ทำให้เขายากจะทำใจยอมรับ
ก่อนอื่นเขาต้องรู้ให้ได้ว่ายุคนี้มันมีในประวัติศาสตร์หรือเปล่า หรือมันเป็นแค่โลกคู่ขนานเหมือนในนิยายที่เขาเคยอ่านมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงต้องรีบหาคำตอบให้เร็วที่สุด
ส่วนท่านเทพหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ ขอร้องล่ะ อย่าให้เขาได้เกิดใหม่ในยุคที่มีสงครามเลย ถ้าจะแย่ก็ขอเพียงแค่เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงก็พอ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่แน่ว่าในครั้งนี้ เขาอาจจะได้มีครอบครัวอย่างที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้เสียที...หรือเปล่านะ
ตัวเขาเองเป็นนักวิจัยค้นคว้าข้อมูล หาอ่านเรื่องพวกนี้มาก็เยอะ การทำใจยอมรับจึงอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่อานนท์รู้สึกว่ามันขาดไป คือระบบมิติต่าง ๆ หรือสัตว์เทพ พวกมันมีอยู่ในนิยายหลายเรื่อง บางเรื่องที่เคยอ่านก็มีพลังวิเศษติดตัว ทว่าเวลาผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
พลังวิเศษ สัตว์เทพ ระบบมิติ หรือเรื่องราวชวนให้อัศจรรย์ใจ...ไม่มีเลย
ไม่มีสักอย่าง มีแค่ตัวเขาในร่างจิ๋วและครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยเป็นขุนนางในเมือง เฮ้อ! พลังเทพดูท่าจะไม่มีอยู่จริง แล้วเขาที่เป็นแค่คนธรรมดาในโลกที่จากมาจะทำอะไรได้ ความสามารถพิเศษอะไรที่จำเป็น...ไม่มีสักอย่าง
ดูท่าว่าชีวิตจริงมันจะไม่สวยหรูเท่าในนิยายแฮะ...
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง
แม้จะกังวลแต่ความโชคดีนี้เขาขอรับเอาไว้เอง
ตอนนี้ เขาคือ จางอี้หมิง อายุห้าขวบ บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง
แต่พระเจ้า การมีครอบครัวที่อบอุ่นมันก็ดีนะ
แต่ไหง..ทำไมถึงยากจนขนาดนี้
เมื่อมีสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้น ย่อมต้องมีบททดสอบตามมาด้วย ดูท่าจะจริงดั่งเขาว่า
แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?