ตอนที่ 58 รอดตายแล้ว

เช้าวันนี้เหมือนท้องฟ้ากำลังร้องไห้ให้กับความยากลำบากของชาวบ้าน หิมะที่โปรยปรายตกลงมาไม่ขาดสายเสมือนน้ำตาที่หลั่งไหลของสวรรค์ ผ่านมาแล้วอีกห้าวันหลังจากที่จางอี้เทาและจางอี้หมิงไปพบท่านอาจารย์เทียน ขอร้องให้ยุติการทดลองการปลูกผักเพื่อขอฟืนที่มีมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่เริ่มขาดแคลนเชื้อเพลิง

แต่ด้วยเหตุผลที่หมิงจูเคยตอบไปแล้ว ท่านอาจารย์เทียนจึงไม่สามารถยกเลิกภารกิจกลางคันได้

“อาเทา หมิงหมิงน้อย ฟังแล้วเหมือนข้าเห็นแก่ตัว จริงอยู่ฟืนที่ข้ามีมันอาจจะต่ออายุให้ชาวบ้านได้ แต่เจ้าได้คิดหรือไม่ว่ามันจะต่อชีวิตไปได้อีกกี่วัน มันไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แต่หากข้ายังทำภารกิจต่อไป เมื่อสามารถปลูกผักได้ เช่นนี้แล้ว จะช่วยชาวแคว้นเหลียงได้ทั้งแคว้น ขอพวกเจ้าจงเห็นใจข้าด้วย”

เมื่ออาจารย์เทียนให้เหตุผลดังนี้แล้ว สองพ่อลูกสกุลจางจึงไม่สามารถหาเหตุผลใดมาคัดค้านได้อีกต่อไป

คนเฒ่าคนแก่และเด็กน้อยเริ่มทนอากาศหนาวไม่ไหว พากันล้มตายเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จางอี้เทาที่ฝ่าหิมะไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเดินกลับมาบ้านด้วยสภาพหิมะเต็มตัว

“ท่านพี่ รีบถอดเสื้อคลุมก่อนเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์ ขอชาผักอุ่น ๆ ให้ท่านพ่อด้วย” หลี่อ้ายรีบเข้ามารับเสื้อคลุมจากสามีนำไปสะบัดเอาหิมะที่เกาะตามชายเสื้อคลุมออกไปและตะโกนบอกบุตรชายให้หาเครื่องดื่มอุ่น ๆ มามอบให้กับบิดาที่ตอนนี้กำลังเอามือผิงไฟอยู่

“ขอบใจหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทายื่นมือออกไปรับชาผักอุ่นร้อนจากบุตรชายพลางยกขึ้นจิบทีละน้อย

“ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้างขอรับ” จางอี้หมิงหลังจากที่เห็นว่าบิดาดื่มชาเสร็จแล้วจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“หมิงเอ๋อร์ มันแย่มาก ๆ มีคนล้มตายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อาหารแทบจะไม่มีเหลือแล้วในแต่ละบ้าน ส่วนฟืนจะอยู่ได้อีกไม่เกินสามวัน” จางอี้เทาตอบบุตรชายด้วยความเศร้า เขาไม่นึกว่าภัยหนาวจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้

“ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถหลบหนาวอยู่แต่ในบ้านได้อีกต่อไปแล้ว ท่านย่ากำลังป่วยถึงกับต้องนอนที่หน้าเตาไฟเช่นนี้ ข้ายังมองไม่เห็นว่าหิมะจะหยุดตกในเร็ววันนี้ด้วย ฟืนของเราก็จะหมดลงแล้ว ท่านย่าต้องแย่เป็นแน่ ท่านพ่อจะทนมองท่านย่าทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้หรือขอรับ ข้าเชื่อว่าข้าต้องหาทางช่วยภัยหนาวนี้ได้แน่นอน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าจะช่วยได้เช่นใดก็ตาม แต่ข้าจะไม่ยอมอุดอู้อยู่แต่ในบ้านรอวันตายเช่นนี้เป็นแน่ขอรับ” 

จางอี้หมิงเริ่มทนไม่ไหวเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากบิดาเช่นนี้ เขาหันไปมองท่านย่าที่เคยแข็งแรง เคยยิ้ม เคยหัวเราะกับเขา แต่ตอนนี้ถึงกับนอนซมจนลุกไม่ขึ้น หากขาดฟืนเช่นนี้ ต่อไปก็ไม่เห็นทางดีขึ้น

ภายในฝันนั้นมันน่ากลัวมากเกินไป ในเมื่อไม่ว่าเลือกทางใดก็ต้องตายอยู่แล้ว แบบนั้นเขาขอเลือกออกไปหาอะไรในป่า ในทะเล บางทีอาจจะมีสิ่งที่ช่วยให้ผ่านพ้นภัยหนาวนี้ไปก็ได้

“แต่ว่าหมิงเอ๋อร์...” หลี่อ้ายเอ่ยเรียกบุตรชายขึ้นมา

“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงขอรับ แต่ถ้าหากว่าข้าใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ออกไปกับท่านพ่อกับบ้านซุน บางทีอาจจะหาสิ่งใดมาทดแทนเชื้อเพลิงได้นะขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้มารดาฟัง

“แม่มิได้ห้าม แค่จะบอกให้เจ้าเชื่อฟังท่านพ่อ แม่จะรอลูกอยู่ที่บ้าน ท่านย่าก็จะรอลูกกับท่านพ่ออยู่ที่บ้านด้วย เจ้าสัญญาจะดูแลตัวเองให้ดีได้หรือไม่” หลี่อ้ายเมื่อเห็นความตั้งใจของบุตรชายจึงไม่ห้ามอีกต่อไป

“ท่านแม่ ขอบคุณขอรับที่ท่านแม่เข้าใจ ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงเดินไปสวมกอดมารดาให้เบาใจ

กว่าเขาจะมีครอบครัวเช่นนี้ได้ก็ยากยิ่ง ให้ทนทุกข์อยู่ที่นี่โดยมิได้ทำสิ่งใดนั้นทรมานมากกว่าภัยหนาวข้างนอกเสียอีก การต้องเห็นท่านย่าที่เขารักนอนซมแบบนั้นมันปวดใจเหลือเกิน ในเมื่อคิดว่ามันอาจจะพอมีทางแก้ก็ต้องลองเสี่ยงดู

“ท่านพ่อ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยามกว่าจะมืด หากว่าเราลองเข้าไปหาของในป่าอาจจะมีสิ่งใดให้เราเก็บกลับมาได้ วันนี้เราไปกันสองคนก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปชวนท่านลุงเย่และชาวบ้านที่เป็นผู้ชาย อย่างน้อยจะได้ช่วยกันอีกแรงขอรับ” จางอี้หมิงหันไปเอ่ยชวนบิดาพลางอธิบายถึงแผนการในวันนี้และพรุ่งนี้อย่างมั่นใจ

“ได้ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องใส่ชุดให้หนากว่านี้ พ่อมิอยากให้เจ้าไม่สบายไปอีกคน”

จางอี้เทาเดินไปสวมชุดให้ตนเองหนาขึ้น หลี่อ้ายได้ยินบทสนทนาของสามีและบุตรชายเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในห้อง นำชุดที่หนามากกว่านี้มาสวมใส่ให้จางอี้หมิง สุดท้ายไม่ลืมจะสวมถุงมือและเอาผ้ามาพันไว้รอบใบหน้าเด็กน้อยเพื่อป้องกันลมอีกด้วย

“หมิงเอ๋อร์ จำไว้ หากทนไม่ไหวให้กลับบ้าน แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” หลี่อ้ายบอกบุตรชายพลางสวมรองเท้าทั้งสองข้างให้กับเด็กน้อย

 เมื่อทุกอย่างพร้อม จางอี้เทาจึงแบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นบ่า เดินจูงมือบุตรชายออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังภูเขา 

การเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก เนื่องจากมีหิมะปกคลุมเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นทางและยังหนาเกินหัวเข่าของจางอี้เทา สุดท้ายแล้วเมื่อเห็นบุตรชายเดินลำบาก คนเป็นพ่อจึงตัดสินใจอุ้มบุตรชายขึ้นมาและออกเดินต่อไป

“ท่านพ่อ การเดินทางลำบากยิ่ง หากว่าเราเดินพลาดไปแบบนี้อาจจะทำให้บาดเจ็บก็เป็นได้ อย่างไรก็เอาเพียงแค่ชายป่าก่อนก็ได้ขอรับ” จางอี้หมิงออกความเห็น 

“พ่อเห็นด้วย อีกอย่างเรามีเวลาไม่มาก เช่นนั้นพรุ่งนี้ค่อยออกมาแต่เช้าก็แล้วกัน” จางอี้เทาเดินหน้าไปท่ามกลางหิมะสีขาวที่หนาและสูง เขาค่อนข้างเดินลำบากเล็กน้อยเนื่องจากยังต้องอุ้มเด็กชายไว้อีกด้วย

“ท่านพ่อ ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดที่จะสามารถกินได้เลยขอรับ มีแต่ต้นไม้สูง ๆ ทั้งนั้น ผัก หญ้าอะไรทุกอย่างจมอยู่ในกองหิมะไปเสียทั้งหมดแบบนี้ เห็นทีวันนี้เราคงคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว” จางอี้หมิงมองไปจนสุดสายตาแต่ก็ต้องถอนใจ

เขาบอกให้บิดาวางตนเองลง เนื่องจากบริเวณตรงนี้หิมะไม่ได้หนามากนักอาจจะเป็นเพราะอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ หิมะเลยตกลงมายังพื้นดินได้น้อย

“หมิงเอ๋อร์ พ่อว่าวันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ แสงแดดแทบไม่มีแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคิดหาหนทางกันใหม่” จางอี้หมิงแจ้งลูกชายหลังจากที่เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้ว

“ข้าเห็นด้วยขอรับท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะ” จางอี้หมิงถูกบิดายกขึ้นอุ้มอีกครั้ง พวกเขาใช้เวลาในการเดินทางกลับออกจากป่าเร็วกว่าขามามาก

สุดท้ายแล้ววันนี้บ้านจางก็ยังหาวิธีที่จะหาอาหารหรือเชื้อเพลิงมาไม่ได้อีกเช่นเคย พวกเขาจึงต้องมานอนรวมกันที่หน้าเตาผิงเพื่อประหยัดเชื้อเพลิงให้มากที่สุด

 

 เช้าวันใหม่บรรยากาศยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เมื่อหลี่อ้ายแจ้งทุกคนว่าเชื้อเพลิงที่มีนั้นใกล้จะหมดแล้ว คงอยู่ได้อีกเพียงแค่หนึ่งถึงสองวันเท่านั้น ข่าวดีคืออาหารยังพอมีเหลือ ทว่าจะทำอาหารได้อย่างไรหากไม่มีเชื้อเพลิง 

หลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตะวันยังไม่โผล่ขึ้นขอบฟ้า จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินทางไปบ้านซุนเพื่อชวนออกไปหาสิ่งที่สามารถเป็นอาหารได้บ้าง จางอี้หมิงจำได้ว่าตรงชายหาดมีหอยหินจำนวนมาก ต่อให้กินทั้งหมู่บ้านก็หาได้หมดไหม เพียงแต่เชื้อเพลิงคือเรื่องสำคัญเป็นอันดับแรก ในเมื่อขึ้นไปในป่าแล้วไม่เจอสิ่งใด อี้หมิงจึงเลือกที่จะไปที่ทะเล

เหมือนกับมีบางสิ่งดลใจ แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่ชายหาดใกล้ทะเล นอกจากหอยหินแล้วก็ไม่มีอันใดที่เป็นประโยชน์ได้ ทว่าในใจมันกลับบอกกล่าวให้ลองไปสำรวจดูไม่หยุด

“ท่านพ่อ ท่านลุงเย่ วันนี้พวกเราไปที่ชายหาดกันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยบอกบิดากับซุนซูเย่เมื่อเดินออกจากบ้านมา

“หมิงหมิงน้อย ทะเลตอนนี้ยิ่งหนาวเพราะลมแรงมากและหิมะยังตกหนักแบบนี้อีก ลุงว่ามันไม่ใช่หนทางที่ฉลาดนะ” ซุนซูเย่เอ่ยคัดค้านทันที

ไปทะเลตอนนี้ก็เหมือนกับเดินไปรับอากาศที่หนาวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หากเด็กน้อยเจ็บป่วยขึ้นมาจะแย่เอา หยูกยาก็ไม่มีมากพอให้รักษาแล้ว

“ท่านลุงเย่ ถ้าเราไม่ไปทะเลแต่ไปป่าที่อยู่ใกล้ทะเลแทนได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงยังไม่ยอมแพ้

“ป่าที่อยู่ใกล้ทะเลเช่นนั้นหรือ ขอข้าคิดดูก่อนนะ” ซุนซูเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบจางอี้หมิงด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“ป่าที่อยู่ใกล้ทะเลมีนะหมิงหมิงน้อย แต่ไม่มีใครไปที่ป่านั้นเพราะมันไม่มีพืชอันใดเลยที่กินได้ มันมีแต่ต้นลูกหนามเต็มไปหมดและกว้างใหญ่ครอบคลุมไปจนเกือบถึงหมู่บ้านถัดไป ท่านพ่อจึงใช้ป่าดงหนามนั้นเป็นรั้วไปในตัวเพื่อเป็นการแบ่งเขตแดนหมู่บ้านหลัวถงกับหมู่บ้านถัดไป”  

“ป่าที่มีแต่ต้นลูกหนามเต็มไปหมดหรือขอรับ ลูกหนามกินได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามอีกครั้ง

“หมิงหมิงน้อย เจ้านี่ถามแปลกประหลาด ต้นมีแต่หนาม ผลก็มีแต่หนาม ใครจะกล้าเข้าไปเก็บ ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็มีป่าลูกหนามแล้ว ไม่มีสิ่งที่กินได้หรอก” ซุนซูเย่เอ่ยอธิบาย

“ท่านลุงเย่ บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าต้นลูกหนามมันเป็นเช่นไร ผลมันมีลักษณะเช่นไร สีอะไร” จางอี้หมิงหยุดเดินแล้วหันหน้าไปถามซุนซูเย่ด้วยความตื่นเต้น

เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ลูกหนามเช่นนั้นหรือ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาคิดในตอนนี้ก็มีทางรอดแล้ว

“หมิงเอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้ากำลังตื่นเต้น มีอันใดที่น่าดีใจกัน” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัย 

“นั่นสิ เหตุใดเจ้าถึงดูตื่นเต้นถึงเพียงนั้น หรือว่าเจ้ารู้จักต้นลูกหนามเช่นนั้นหรือ” ซุนซูเย่เองก็ถามด้วยความแปลกใจ

“ข้ายังไม่เคยเห็นต้นลูกหนามมาก่อน ท่านลุงเย่รีบบอกมาเถิดขอรับ” 

“ต้นลูกหนามมีลำต้นใหญ่กว่าสองคนโอบ ไม่สูงมากนัก ลูกหนามอยู่ด้วยกันเป็นพวงแต่มีขนาดใหญ่มาก ข้าคิดว่ามันมีผลสีแดงเมื่อมันสุกนะ เพราะอีกไม่นานมันก็กลายเป็นสีดำหล่นลงพื้นเต็มไปหมด” ซุนซูเย่อธิบายลักษณะของต้นลูกหนามในความทรงจำของตนเอง เนื่องจากเขาก็ไม่ได้ไปที่ป่าลูกหนามนานแล้ว ความทรงจำจึงลางเลือน

“ท่านลุงเย่ พาข้าไปที่ป่าลูกหนามเดี๋ยวนี้เลยขอรับ หากสิ่งที่ข้าคิดไม่ผิด พวกเรารอดตายแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ 

ไม่ว่าป่าลูกหนามจะเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่หรือไม่ อย่างน้อยความหวังเล็ก ๆ ก็กำลังก่อตัวขึ้นในใจของจางอี้หมิง ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงอย่าล้มเลิกและหยุดค้นหาก็พอ

ซุนซูเย่พาสองพ่อลูกสกุลจางลัดเลาะไปตามทางซึ่งเป็นทางผ่านไปยังชายทะเล แถวนี้ทะลุไปยังท่าเรือที่จางอี้หมิงกับสองพี่น้องบ้านซุนเคยมาเก็บหอยหิน ป่าลูกหนามเป็นป่าที่อยู่ท้ายหมู่บ้านติดทะเล ซึ่งเป็นอีกฟากหนึ่งของบ้านจางที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเช่นเดียวกันแต่ติดภูเขา

พวกเขาใช้เวลาเดินมากว่าหนึ่งชั่วยามซึ่งถือว่านานกว่ายามปกติมากนัก เพราะหิมะที่ตกหนัก ประกอบกับป่าที่ไม่มีผู้ใดใช้สัญจรไปมา พวกเขาโชคดีที่ได้ชายฉกรรจ์ห้าคนซึ่งออกมาหาอาหารแล้วกำลังจะกลับมือเปล่า ซุนซูเย่จึงชวนมาด้วยกัน พวกเขาทั้งห้าจึงช่วยถางหญ้าให้เป็นทางให้พอผ่านไปได้  จางอี้เทาแบกจางอี้หมิงอยู่บนหลัง ซุนซูเย่จึงเอาผ้าผืนยาวมัดเด็กน้อยไว้เพื่อป้องกันตกอีกทีหนึ่ง

“หมิงหมิงน้อย ข้างหน้าเจ้านั้นคือป่าลูกหนามแล้ว” ซุนซูเย่ชี้มือไปด้านหน้า จางอี้หมิงจึงขอให้บิดาปล่อยเขาลง ซุนซูเย่เห็นดังนั้นก็เข้ามาช่วยปลดผ้าผืนยาวออกให้

“หมิงเอ๋อร์ ระวังด้วย มันมีแต่หนามเต็มไปหมด” จางอี้เทาเอ่ยเตือนบุตรชาย

“ขอรับ”

จางอี้หมิงค่อย ๆ เดินเข้าไปที่ใต้ต้นลูกหนามด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนของบิดา ชายหนุ่มทุกคนก็เดินตามเด็กน้อยเข้าไปด้วย

“หมิงหมิงน้อย นี่ใช่ต้นที่เจ้าคิดหรือไม่” ซุนซุเย่เอ่ยถามขึ้น แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากร่างเล็กจึงได้เหลียวไปมองแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นเด็กชายเพียงคนเดียวของกลุ่มยืนร้องไห้น้ำตาไหลพราก เด็กน้อยสะอึกสะอื้นหนักและกำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ 

“หมิงเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้น หรือเจ้าโดนหนามตำ” จางอี้เทารีบมาสำรวจดูร่างกายของบุตรชาย แต่ก็หาได้เจอสิ่งที่ผิดปกติหรือบาดแผลไม่ อีกอย่าง เสื้อผ้าหนาเช่นนี้คงยากที่หนามจะตำเอาได้

“ทะ ท่านพ่อ ขะ ข้าสบายดีขอรับ เพียงแต่ขะ ข้าดีใจมาก พวกเราชะ ชาวบ้านรอดแล้วขอรับ พวกเราไม่หนาวตายแล้วขอรับ” จางอี้หมิงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้เพื่อเอ่ยตอบคำถามบิดา

“รอดตายแล้ว หมายความว่าอย่างไร” ซุนซูเย่ย่อตัวลงเอ่ยถามเด็กน้อยด้วยความสงสัย

รอดตายแล้ว... หรือว่าจางอี้หมิงหาหนทางช่วยเหลือชาวบ้านหลังถงได้แล้ว

“ท่านลุงเย่ นั่นไงขอรับ ต้นลูกหนามนั่น เอามาใช้แทนฟืนก่อไฟได้ขอรับ” 

จางอี้หมิงชี้มือไปยังดงป่าลูกหนามข้างหน้า จะไม่ให้เขาดีใจได้เช่นไร ในเมื่อมันมีมากมายมหาศาล สมแล้วที่ใช้เป็นป่าเขตแดนระหว่างสองหมู่บ้าน

โชคดีแล้วที่ชาวบ้านไม่รู้จักว่ามันมีประโยชน์ขนาดไหนจึงไม่เก็บไปก่อนฤดูหนาว ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทพท่านใดก็ตามที่ทำให้ชาวบ้านและชาวเมืองไห่ถังรอดพ้นจากภัยฤดูหนาวในครั้งนี้

ขอบคุณจริงๆ ในที่สุดข้าก็หาทางรอดได้แล้ว!

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ