ตอนที่ 16 พะโล้แห้งหญ้าหวาน

เวลาแห่งความสุขในห้วงนิทรามักหมดไปอย่างรวดเร็ว สมาชิกครอบครัวจางตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง นางหูอุ่นซาลาเปาที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ให้ทุกคนได้กินกันเป็นมื้อเช้า เรื่องการกินอาหารวันละสามมื้อเป็นเรื่องที่จางอี้หมิงเสนอขึ้นมา เพราะการกินครบสามมื้อจะถูกหลักโภชนาการมากกว่า ที่สำคัญคือ เขาต้องการขุนร่างนี้ให้อ้วนขึ้นอีกนิด เด็กวัยกำลังโตไม่ควรอดอาหาร ไม่เช่นนั้นเมื่อไหร่จะโตเสียทีเล่า

อีกอย่าง เขาเป็นคนไทย คนไทยกินข้าววันละสามมื้อ ของหวานของคาวไม่เคยขาด อยู่ดี ๆ ให้มาอด ๆ อยาก ๆ เขาเองก็ไม่ชิน

ในตอนแรกสมาชิกครอบครัวจางดูตกใจกับการทานอาหารมากมายขนาดนั้น แต่จางอี้หมิงบอกเพียงว่าเมืองสวรรค์ทำกันเช่นนี้ ท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่จึงจำต้องเห็นด้วยอย่างไม่อิดออด

 เป็นความโชคดีที่หลี่อ้ายหายเป็นปกติ เหลือเพียงอาการอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางหูกับหลี่อ้ายจึงช่วยกันเย็บผ้าห่มและชุดใหม่สำหรับทุกคน ส่วนจางอี้เทาและบุตรชายขึ้นภูเขาเพื่อไปตัดหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักตามที่ได้รับใบสั่งซื้อมา

“หมิงเอ๋อร์ เมื่อวานเจ้าบอกว่าจะทำพะโล้วันนี้ เมืองสวรรค์ก็มีพะโล้เช่นกันหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายขณะช่วยกันล้างหญ้าหวานเพื่อนำไปตากแดด เขาล้างจนมั่นใจว่าสะอาดแล้วจึงวางพัก เตรียมไว้สำหรับในตอนบ่ายหลังจากหญ้าหวานแห้งแล้ว พวกเขาจะได้ทำน้ำตาลผักกัน

“ใช่แล้วขอรับ ที่เมืองสวรรค์มีพะโล้เป็นอาหารเช่นที่นี่ แต่ข้าไม่รู้ว่าที่นี่เขาทำกันเช่นไร พอพวกเราตากหญ้าหวานเสร็จแล้ว ข้าจะสอนท่านย่าทำพะโล้ทันทีขอรับ ตอนเย็นพวกเราค่อยเอาพะโล้กับน้ำตาลปั้นไปให้พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ที่บ้านท่านลุงเย่กัน”

พวกเขาใช้เวลาล้างหญ้าหวานและนำไปตากแดด ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่รอให้หญ้าหวานแห้ง จางอี้หมิงจึงมีความคิดจะทำพะโล้แห้งหญ้าหวานเป็นการฉลองแทนเมื่อวาน เนื่องจากว่าไม่ได้ซื้อน้ำตาลมาไว้ใช้ พะโล้จึงต้องใช้ความหวานจากหญ้าหวานแทนน้ำตาล

“ท่านย่าขอรับ ข้าตากต้นหญ้าหวานเสร็จแล้ว” เด็กน้อยเดินเข้ามากอดแขนผู้เป็นย่าแล้วออดอ้อน “ท่านย่า พวกเราไปทำพะโล้กันเถอะขอรับ”

“ท่านแม่ ท่านไปทำพะโล้กับหมิงเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ ส่วนที่เหลือประเดี๋ยวข้าจะทำเอง” หลี่อ้ายเอ่ยบอกแม่สามี นางกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ข้าง ๆ

“ได้ ที่เหลือฝากสะใภ้ด้วยนะ ไปหมิงเอ๋อร์ ไปทำพะโล้กัน ย่าก็อยากรู้นักว่าอาหารสวรรค์จะมีรสชาติเป็นเช่นไร จะเหมือนพะโล้ที่ย่าเคยกินหรือไม่” นางหูวางมือจากงานเย็บผ้า ลุกเดินไปตรงส่วนครัว จางอี้หมิงกระโดดลงจากแคร่ รีบเดินไว ๆ ส่ายก้น ดุ๊กดิ๊กตามหูไป๋หงไปติด ๆ 

จางอี้เทากับหลี่อ้ายเห็นบุตรชายเดินตามท่านย่าเข้าไปในครัวแล้วก็ได้แต่หันหน้ามายิ้มให้กันอย่างมีความสุข นับเป็นโชคดีที่บุตรชายหายดีและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะยังมีร่างกายที่ผอมแห้งอยู่มากก็ตามที แต่พวกเขาเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าบุตรชายตัวน้อยของพวกเขาจะต้องอ้วนท้วน น่ารักน่าหยิกเสมือนเมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลวงแน่นอน

“ย่าต้องทำอันใดก่อน หลานรัก” 

“ท่านย่า ก่อไฟก่อนขอรับ หุงข้าวเตาหนึ่ง อีกเตาทำพะโล้ขอรับ หลังจากนั้นเอาเนื้อที่หมักไว้เมื่อวานไปล้างเกลือออกให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสียดายเหลือเกิน เมื่อวานข้าไม่ได้ซื้อเห็ดหอมมาด้วย แต่ไม่เป็นไรขอรับ อ้อ ท่านย่าเอาเนื้อแดงมาหนึ่งจิน สามชั้นเอาประมาณ 3 จินนะขอรับ เพราะเราต้องแบ่งให้บ้านซุนด้วย” 

“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะก่อไฟให้เจ้าเอง ท่านย่าจะได้ไปล้างหมูดีหรือไม่” จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นจึงเสนอตัวช่วยบุตรชาย บทสนทนาของมารดากับลูกชายตัวน้อยลอยเข้าไปถึงหูเขาให้ได้ยินชัดเจน บ้านหลังนี้ถึงแม้ว่าจะใช้คำว่าบ้าน แต่ความจริงมันก็คือห้องสี่เหลี่ยมที่มีฝาล้อมรอบเท่านั้น ไม่ได้มีห้องเป็นสัดส่วนเหมือนบ้านทั่วไปและแน่นอนว่าผนังก็ไม่ได้หนามากมาย

“ขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดา จางอี้เทาได้ยินดังนั้นจึงลุกจากที่นั่ง เดินไปยังส่วนที่ใช้สำหรับทำอาหารก่อนลงมือก่อไฟช่วยมารดาทำอาหาร

“หมิงเอ๋อร์ ถ้าย่าเอาตามที่หลานบอก เนื้อที่ซื้อมาก็เหลือไม่เยอะเลยนะ ย่าละปวดใจที่เห็นมันลดลงไป อีกอย่าง พะโล้ใช้แต่เนื้อแดงนะ ไม่มีใครใช้สามชั้นกัน มันเลี่ยน ไม่อร่อย ถึงแม้จะมีเครื่องเทศดับกลิ่นคาวก็ตาม” นางหูเอ่ยบอกด้วยความเสียดาย หากเป็นเช่นวันเก่า นางไม่มีทางอิดออดที่จะทำอาหารจากเนื้อที่มี แต่ไม่ใช่ในวันนี้ที่มีทุกอย่างจำกัด นางเห็นแล้วปวดใจนัก

“ท่านย่า ครั้งหน้าข้าจะซื้อเนื้อมาเยอะ ๆ เลยขอรับ ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ท่านย่าบอกว่ามันมีราคาแพง เพราะที่ร้านอาหารเอาส่วนเนื้อแดงมาทำทั้งหมด ใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้ว เนื้อแดงมีราคาแพงมาก ถ้าไม่มีเงินมากจริง ๆ ไม่มีใครทำพะโล้กินในครอบครัวหรอกนะ มันได้ปริมาณน้อย ถ้าเราเอาเนื้อมาทำน้ำแกง พวกเราจะมีน้ำแกงเนื้อกินเป็นเดือนเลยนะหมิงเอ๋อร์”

จางอี้หมิงได้ฟังแล้วก็พอเข้าใจ เขายกยิ้ม ผู้คนโลกนี้ช่างไม่รู้จักของดีเสียแล้ว

“ท่านย่า พวกเขาไม่รู้น่ะสิขอรับว่าส่วนสามชั้นคือส่วนที่อร่อยที่สุด อร่อยกว่าเนื้อแดงอีกนะขอรับ เพราะว่ามันมีความชุ่มชื้น เนื้อไม่ยุ่ย เวลาเคี้ยวแล้วหนุบหนับ นิ่ม อร่อยมากเลยขอรับ อีกอย่างราคาถูกกว่าเนื้อแดงมาก ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวล ชาวสวรรค์ต่างก็กินกันแบบนี้ขอรับ” 

“ได้ ย่าจะทำตามที่หมิงเอ๋อร์บอกทุกอย่าง รอย่าสักครู่นะ ย่าขอเอาเนื้อออกมาตามที่หลานบอกก่อน” 

นางหูทำตามอย่างดีทุกขั้นตอน เพราะอาหารสวรรค์พวกนั้นนางทำไม่เป็น อีกอย่าง แม้แต่พะโล้เอง นางก็ทำไม่เป็นเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเคยได้กินมาก่อน แต่วิธีทำนั้นนางก็สุดจะรู้เพราะเมื่อก่อนมีบ่าวทำให้ทุกอย่าง

หลังจากย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง สะใภ้บ้านซุนสอนแค่อาหารง่าย ๆ พวกโจ๊กธัญพืช ไหนเลยจะทำอาหารจานเนื้อเช่นพะโล้เป็น

จางอี้หมิงมองดูภาพรวม เขาเห็นบิดาก่อไฟเรียบร้อย นางหูเองล้างเกลือออกจากเนื้อรวมทั้งหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำแล้ว เด็กน้อยจึงบอกขั้นตอนการทำพะโลแห้งสูตรของตนเองต่อไป

“ท่านย่าโขลกกระเทียมกับพริกไทยด้วยนะขอรับ ที่เมืองสวรรค์จะมีรากผักชีสดด้วย แต่ที่นี่ไม่มีไม่เป็นไรขอรับ เราใช้เม็ดผักชีแห้งแทนได้ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอากระเทียมที่โขลกใส่ลงไปที่เนื้อหมู ตามด้วยเกลือ น้ำตาลผัก ซีอิ้ว คนให้เนื้อหมูเข้าเนื้อกับเครื่องหมัก ท่านย่าหมักไว้สักสองเค่อ” 

“เมื่อครบเวลาตั้งกระทะ ให้ท่านย่าใส่น้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย เจียวกระเทียมที่แบ่งไว้อีกส่วน ผัดให้หอม ท่านย่าไม่ต้องรอให้กระเทียมสุก ใส่โป้ยกั๊กห้าดอก กระวานหกลูก อบเชยสองแท่งลงไปผัดพร้อมกันเลยนะขอรับ จนเครื่องเทศส่งกลิ่นหอม เอาเนื้อที่หมักลงไปผัดให้สุก เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วมเนื้อหมู คนเป็นครั้งคราวให้เนื้อหมูสุกทั่วถึง ใส่เกลือ น้ำตาลผัก ซีอิ้วอีกครั้ง เคี่ยวเนื้อหมูไปจนน้ำแห้ง ลองชิมรสชาติดูขอรับ ขาดรสไหนก็ปรุงเพิ่ม” 

“ที่เมืองสวรรค์กินพะโล้กับน้ำจิ้มขอรับ แต่เสียดายที่นี่ไม่มีวัตถุดิบในการทำ แต่ข้าเชื่อว่ากินเปล่า ๆ ก็น่าจะอร่อยแล้วขอรับ”

“พะโล้ที่เมืองสวรรค์มีน้ำจิ้มหรือหมิงเอ๋อร์ ที่นี่ไม่มีน้ำจิ้มนะ” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย อาหารสวรรค์นี่มีการทำที่ยุ่งยากจริง ๆ 

“ใช่ขอรับ น้ำจิ้มจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น ถ้าข้าหาวัตถุดิบได้ ข้าจะสอนท่านย่านะขอรับ เราทำเป็นพะโล้แห้ง น้ำซอสนี่ก็ใช้แทนน้ำจิ้มได้ขอรับ”

“น้ำสอ สอด อันใดนะ หมิงเอ๋อร์” นางหูขมวดคิ้ว พยายามออกเสียงคำว่าซอสให้เหมือนกับที่หลานชายพูด แต่ดูแล้วลิ้นจะพันกันเสียให้ได้

"ท่านย่า ไม่ใช่สอดขอรับ ซอสขอรับ น้ำซอสก็คือน้ำที่มันขลุกขลิกเหลือนิดหน่อยในหมูพะโล้เช่นไรเล่าขอรับ ถ้าทำเสร็จแล้ว ข้าจะชี้ให้ท่านย่าดูขอรับ”

“เช่นนั้นย่าต้องหมักเนื้อหมูก่อนเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ” 

ตลอดการทำอาหารหลังจากนั้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ นางหูและจางอี้เทาตั้งใจฟังพ่อครัวตัวน้อยกำกับการทำอาหารอย่างสนุกสนาน หลี่อ้ายที่นั่งเย็บผ้าอยู่เหลือบตามองเป็นระยะและยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่เห็นครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง

“ท่านย่า รีบใส่เครื่องเทศได้แล้วขอรับ ก่อนกระเทียมจะไหม้”

“หมิงเอ๋อร์ ต้องใส่อย่างละเท่าไรนะ”

“ท่านแม่ โป้ยกั๊กห้าดอก กระวานหกลูก อบเชยสองแท่ง”

“อาเทา เจ้าช่างความจำดีเยี่ยม สมแล้วที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ”

“ท่านย่า อย่าใส่เกลือเยอะขอรับ พอน้ำแห้งมันจะเค็มกว่านี้”

“ท่านย่า คนและกลับเนื้อหมูหน่อยขอรับ หมูจะไหม้แล้ว”

“ท่านย่า ใส่น้ำเปล่าได้แล้วขอรับ”

พ่อครัวตัวน้อยของบ้านจางกลายเป็นผู้กำกับการทำอาหารให้ท่านย่าของตนเองทำตามได้อย่างไหลลื่น บอกตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย หลังจากที่เคี่ยวหมูพะโล้จนน้ำงวดแห้งดีแล้ว กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วบ้าน แม้หลี่อ้ายที่นั่งอยู่ไกลที่สุดของส่วนครัวยังสัมผัสถึงกลิ่นหอมได้เป็นอย่างดี

“ท่านย่า ลองชิมดูสิขอรับ อย่าลืมเอาชิ้นหมูไปจิ้มซอสก่อนชิมนะขอรับ ตรงนี้เรียกว่าน้ำซอสขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยบอกท่านย่าของตนเองหลังจากที่บิดายกหม้อพะโล้ลงมาพักไว้แล้ว พร้อมกับชี้บอกว่าส่วนไหนคือน้ำซอสที่พูดถึง

“อ๋อ อันนี้หรือน้ำสอดที่หมิงเอ๋อร์ว่า แต่ว่าจะดีหรือหมิงเอ๋อร์ ย่าเกรงว่า.....”

“น้ำซอสขอรับ และก็ดีที่สุดขอรับ เพราะท่านย่าเคยกินพะโล้ของที่นี่แล้ว ท่านย่าย่อมรู้รสชาติเป็นอย่างดี ท่านย่าย่อมเปรียบเทียบรสชาติได้ดีที่สุดขอรับ”

“ท่านแม่ เชื่อใจหมิงเอ๋อร์เถอะขอรับ ข้าว่ากลิ่นยังหอมขนาดนี้ รสชาติคงดีไม่น้อย” จางอี้เทาเอ่ยสมทบความคิดบุตรชาย ที่ผ่านมาเด็กน้อยก็แสดงให้เห็นหลายครั้งแล้วว่าอาหารที่ดูไม่น่าจะกินได้ เมื่อนำมาทำดี ๆ มันกลับกลายเป็นอาหารชั้นเลิศได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

“ได้” นางหูใช้ตะเกียบหยิบหมูมาชิ้นหนึ่งพร้อมกับนำไปคลุกเคล้าน้ำซอสตามที่หลานชายบอก สายตาเฉี่ยวมองพินิจชิ้นหมูคำโตก่อนจะนำเข้าปากเคี้ยวช้า ๆ 

“.............”

“ท่านย่า เป็นเช่นใดบ้างขอรับ” จางอี้หมิงรีบถาม “อย่านิ่งแบบนี้สิขอรับ ตกลงมันอร่อยไหมขอรับ” 

เมื่อผู้เป็นย่านั่งนิ่งเงียบ เด็กน้อยก็เขย่าแขนเรียกนางหูไปสองสามที 

“หะ...ห๊ะ หมิงเอ๋อร์ เจ้าว่าอันใดนะ” นางหูสะดุ้ง เอ่ยตะกุกตะกักตอบหลานชาย

“ข้าถามว่ามันเป็นยังไงบ้าง อร่อยหรือไม่ขอรับ”

“ข้าว่า เจ้าลองชิมเอาเองเถอะ อาเทาด้วย ลองชิมดู” 

“ท่านย่า มันไม่อร่อยเช่นนั้นหรือขอรับ ข้าก็ทำตามสูตรทุกอย่างแล้วนะขอรับ ทำไมถึงไม่อร่อยเล่า” จางอี้หมิงพูดเบา ๆ กับตนเองด้วยความสงสัย เขาทำสูตรนี้มาหลายปี มั่นใจนักหนาว่าไม่พลาดแน่นอน หรือว่าสูตรมันผิดพลาดจากเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่แตกต่างกันบางชนิด

แต่คิดไปก็คงไม่ได้คำตอบ ลองกินดูให้มันรู้ไปเลยดีกว่า

จางอี้หมิงหยิบตะเกียบคีบหมูพะโล้ที่ฉ่ำไปด้วยซอสหญ้าหวานขึ้นมาชิม เขาละเมียดละไมลิ้มรส มันหวานกลมกล่อม ไม่มีอะไรผิดพลาดจากที่คาด

“เอ๊ะ มันก็อร่อยนี่นา แล้วเหตุใดทุกคนถึงไม่ตอบข้าล่ะขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยถามบิดากับท่านย่าด้วยความงุนงง

“เพราะพะโล้แห้งที่หมิงเอ๋อร์ทำในตอนนี้ มันอร่อยมากต่างหากเล่า อีกอย่าง รสชาติของพะโล้ที่พ่อเคยกินมันไม่ได้มีรสชาติแบบนี้ ไม่ได้มีกลิ่นหอม มันแข็ง ๆ แห้ง ๆ เนื้อหมูไม่ได้นุ่มและฉ่ำซอสเช่นนี้” จางอี้เทาอธิบาย เขาหลุดจากภวังค์ความคิด

นี่หรืออาหารที่ท่านเทพประทานมา สมกับเป็นอาหารสวรรค์

บัณฑิตหนุ่มมั่นใจเหลือเกินว่าแม้แต่อาหารในวังก็ยังไม่อาจเทียบ

“ใช่แล้วหมิงเอ๋อร์ ย่ายังไม่เคยได้กินหมูพะโล้ที่นุ่มและฉ่ำซอสเช่นนี้มาก่อน” นางหูเอ่ยอีกเสียง ในที่สุดนางก็ออกเสียงคำว่าซอสถูกเสียที

“เพราะร้านอาหารเอาส่วนเนื้อแดง เนื้อล้วน ๆ มาทำอาหารขอรับ ท่านย่า ท่านพ่อ ลองชิมส่วนที่เป็นเนื้อแดงสิขอรับ มันจะแห้ง ๆ เหมือนกับที่ร้านอาหาร แต่ถ้าเลือกชิมส่วนที่เป็นสามชั้นจะนุ่มลิ้นและฉ่ำซอสขอรับ ความลับมันอยู่ที่ตรงนี้แหละขอรับ” เด็กชายบอกเสียงใส นางหูและจางอี้เทาจึงใช้ตะเกียบหยิบส่วนที่เป็นเนื้อแดงล้วนมาชิม รสชาติของมันเป็นดั่งที่จางอี้หมิงอธิบาย มันแข็งและแห้งมากกว่า

“หมิงเอ๋อร์ รสสัมผัสต่างกันจริง ๆ ด้วย”

“อืม” จางอี้เทาพยักหน้ารับกับคำพูดมารดา

แค่เปลี่ยนส่วน รสชาติและรสสัมผัสก็แตกต่างแม้จะถูกปรุงจากหม้อเดียวกัน

“ท่านย่า ท่านพ่อ ร้านอาหารจะสนใจสูตรหมูพะโล้แห้งของบ้านเราไหมขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้น ในใจก็ลุ้นไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมั่นใจกับคำตอบที่น่าจะได้รับมากก็ตาม

“หลานของย่าเก่งเช่นนี้ อีกอย่าง อาหารสวรรค์ไม่มีใครปฏิเสธแน่ ย่าว่ามันต้องขายได้”

“พ่อเห็นด้วย”

“ถ้าเช่นนั้นในวันที่รถม้าเถ้าแก่หวังมารับน้ำตาลผัก พวกเราขอติดรถม้าเข้าไปในเมืองดีหรือไม่ท่านพ่อ” จางอี้หมิงยิ้มร่า รีบหันไปถามความเห็นบิดาทันที

“ได้สิ พ่อจะไปด้วย”

“ท่านย่า ตอนนี้เวลาเท่าใดแล้วขอรับ”

“ย่าว่าน่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอันใดหรือ”

“พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะขอรับ เสร็จแล้วข้ากับท่านพ่อจะไปหาท่านลุงเย่ จะเอาพะโล้แห้งกับน้ำตาลปั้นไปให้บ้านซุนลองชิมดู และจะคืนเงินสิบอีแปะที่ท่านลุงเย่ให้มาเมื่อวานด้วยขอรับ” จางอี้หมิงจำได้ว่าท่านพ่อของเขาบอกแบบนั้น

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกันเถอะ” นางหูเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดูท่าว่าอาหารมื้อนี้คงจะเลิศรสที่สุด ต้องขอบคุณท่านเทพที่ประทานหนทางให้ตระกูลจางสายรองอย่างพวกเขาอีกครั้ง

หลี่อ้ายที่ได้ยินเช่นนั้นจึงวางมือจากการเย็บผ้าและเข้ามาช่วยกันยกข้าวกับหมูพะโล้แห้งไปนั่งกินกันพร้อมหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย พวกเขาพูดคุย แบ่งปันอาหารและเล่าเรื่องราวกันอย่างมีความสุข นี่เป็นอีกมื้ออาหารที่ครอบครัวบ้านจางกินกันอิ่มแปล้

ได้แต่หวังว่าต่อไปนี้จะไม่มีอุปสรรคใด

มาขัดขวางอีกแล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ