ตอนที่ 91 ถึงเวลาแล้ว

จางอี้หมิงนั่งมองไปบนขอบฟ้าในยามเช้าวันหนึ่ง มันช่างเป็นเช้าที่สดใส ท้องฟ้าไร้ซึ่งหมอกหนา นกกาต่างทยอยบินออกไปหากิน เด็กน้อยหวนคิดไปถึงเรื่องราวของตนเองที่ได้ตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ จากวันแรกในร่างของจางอี้หมิง ไม่น่าเชื่อว่าจนตอนนี้เวลาได้ผ่านไปปีกว่าแล้ว

เด็กน้อยจางอี้หมิงเติบโตขึ้นมาอีกหนึ่งปี นอกจากจะเป็นท่านอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงแล้ว เขายังเป็นคุณชายน้อยของเหลาอาหารซิ่งฝูที่เปิดสาขาไปทั่วแคว้นฉิน และที่สำคัญคือเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มการค้าหลัวถง ที่ถึงแม้เบื้องหน้าจะมีจางอี้เทาเป็นเจ้าของ แต่ทุกคนก็รับรู้ได้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงในกลุ่มการค้านี้

จางอี้หมิงทุ่มเทกับการสร้างคู่ค้าเพื่อกุมอำนาจทางการค้าไปทั่วทั้งสามแคว้น สินค้าต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาก็ล้วนเป็นที่ต้องการของชาวเมือง

เนื่องจากจางอี้หมิงมุ่งเน้นไปที่ความสะดวกสบาย ราคาไม่แพงและทุกชนชั้นต่างสามารถซื้อหามาใช้สอยได้ แต่เขาก็มิลืมว่ายุคสมัยนี้ความแตกต่างทางชนชั้นนั้นยังคงมีอยู่

เขาจึงไม่ลืมผลิตสินค้าเพื่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่าง คุณหนู คุณชาย ข้าราชสำนักหรือผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย แยกออกมาต่างหากด้วย

คนพวกนี้ถือเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ เพียงเลือกใช้การประชาสัมพันธ์ที่แตกต่างและบิดเบือนความจริงเล็กน้อย พวกสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็พร้อมใจกันซื้อสินค้าอย่างไม่เคยเกี่ยงงอน จางอี้หมิงจึงมีกำไรมากพอจากการขายสินค้าเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเมือง เขาเป็นผู้หนุนหลังเจ้าเมืองคนใหม่ เช่นหวงห่าวหรานอย่างลับ ๆ

นอกจากจะให้การสนับสนุนเจ้าเมืองแล้ว เหล่าคู่ค้าทั้งหลายต่างก็เป็นฐานสำคัญให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงเกือบทั้งหมด เนื่องจากจางอี้หมิงนำผลประโยชน์ที่ตื่นตาตื่นใจมามอบให้กับคู่ค้าเหล่านั้น มีผู้ใดบ้างเล่าจะไม่ชอบเงิน

กระทั่งผ่านมาปีกว่า ก็แทบจะมองไม่เห็นคนยากจนในเมืองไห่ถังเลย

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงมานั่งอยู่ตรงนี้เล่า” นางหูที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังมิสางไถ่ถามหลานชาย เมื่อเห็นเด็กน้อยออกมานั่งอยู่ที่ศาลากลางสวนเพียงลำพัง

“ท่านย่าตื่นแล้วหรือขอรับ ข้านอนมิหลับจึงออกมานั่งรับลมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่นี่”

“หมิงเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดทำให้เจ้าถึงกับนอนไม่หลับ เรื่องสำคัญหรือไม่” นางหูนั่งลงข้างหลานรักพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ท่านย่าขอรับ ข้าจำได้ว่าท่านย่าอยากนำป้ายวิญญาณของท่านปู่กลับมาที่หลัวถง ท่านย่ายังต้องการทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ขอรับ”

“ว่าอันใดนะหมิงเอ๋อร์ เหตุใดย่าจะมิต้องการเล่า นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ย่านอนตายตาไม่หลับ ย่ามิกล้าสู้หน้าท่านปู่ของเจ้าเมื่อไปเยือนโลกหน้าแล้ว อีกอย่างย่าก็อยากอยู่กับปู่ของหลานเมื่อย่าจากไป”

นางหูได้ยินคำถามของหลานชายจึงตกใจในคราแรก ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตกกับความเป็นไปไม่ได้ที่บ้านหลักจะให้ป้ายวิญญาณสามีกับนาง

“เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงถามย่าเช่นนี้เล่า” นางหูทำใจให้สงบสักพักจึงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสงสัย

“เพราะข้าคิดว่าถึงเวลาที่พวกเราสมควรไปเชิญป้ายวิญญาณของท่านปู่มากราบไหว้ที่หลัวถงแล้วนะสิขอรับ” จางอี้หมิงยกมือที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาของนางหูมากุมไว้อย่างอ่อนโยน เขาอยากให้กำลังใจท่านย่าของตนเอง

“หมิงเอ๋อร์ จะ จะ เจ้าพูดจริงหรือ”

“ขอรับ ในตอนนี้ข้ามีกำลังมากพอไม่ว่าจะเป็นอำนาจ กำลังคน กำลังเงิน ข้าโตพอที่จะรับผิดชอบสิ่งที่สมควรทำมาตั้งนานแล้วให้เสร็จเสียทีขอรับ

ท่านย่า ข้า...ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนาน ต่อไปนี้ท่านย่ามิต้องรออีกแล้วนะขอรับ เพราะข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าอีกหนึ่งเดือน พวกเราจะเดินทางไปทำการค้าที่เมืองหลวง ข้าขอเวลาเตรียมความพร้อมสักเล็กน้อย ข้าสัญญาว่าท่านย่าจะต้องได้รับเกียรติทั้งหมดที่สูญเสียไปกลับคืนมาขอรับ”

จางอี้หมิงบีบมือให้สัญญากับท่านย่าของตนเองอย่างแน่วแน่

“หมิงเอ๋อร์ ย่าขอบใจเจ้ามากที่ทำเพื่อครอบครัวถึงเพียงนี้”

นางหูลูบศีรษะหลานชายด้วยความตื้นตันใจในความกตัญญูของเด็กน้อยตรงหน้า ตัวก็เล็กเพียงนี้แต่แบกรับความฝัน ความหวัง ของผู้คนไว้มากมายเหลือเกิน

“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ คุยอันใดกันอยู่หรือขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถาม เขาเดินมานั่งลงตรงข้ามกับมารดา

“ท่านพ่อตื่นแล้วหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“อาเทา นอนหลับสบายดีหรือไม่ หมิงเอ๋อร์บอกแม่ว่าพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อเชิญป้ายวิญญาณท่านพ่อของลูกกลับมายังหลัวถง”

“หมิงเอ๋อร์ จริงหรือ พ่อมิเห็นรู้มาก่อนว่าเจ้าจะเข้าเมืองหลวง” จางอี้เทาถามบุตรชายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“จริงขอรับท่านพ่อ ข้าตั้งใจจะแจ้งทุกคนหลังจากได้รับการยืนยันข้อมูลจากองครักษ์เหลียงไป๋ที่ข้าให้ไปสืบความที่เมืองหลวงตลอดหนึ่งปีมานี้ขอรับ อีกทั้งท่านเจ้าเมืองส่งสารมาบอกข้าว่าฮ่องเต้อยากพบข้าขอรับ”

“มิใช่ว่าเป็นเรื่องที่เจ้าติดค้างการรับรางวัลจากองค์ฮ่องเต้ จากการกราบทูลของท่านหวงอี้หรอกหรือ”

“ขอรับ ป้ายเชิดชูวงศ์ตระกูลต้องไปรับด้วยตนเอง การที่ข้าผลัดมาเป็นปีด้วยเหตุผลว่าขอแก้ไขปัญหาเรื่องกลุ่มการค้าให้เรียบร้อยก่อนก็ถือว่าพระองค์ให้เกียรติข้ามากแล้วขอรับ คงผลัดไปอีกไม่ได้แล้ว ข้าจึงอยากถือโอกาสนี้ไปเมืองหลวงและทำเรื่องป้ายวิญญาณท่านปู่ให้เรียบร้อยในทีเดียวขอรับ”

“ดียิ่ง พวกเราเดินทางไปเมืองหลวงกัน เช่นนั้นจะให้พ่อเตรียมสินค้าไว้ด้วยหรือไม่”

“ไม่จำเป็นขอรับ เพราะข้าต้องการทำเรื่องนี้ให้เสร็จและจะถือโอกาสพาทุกคนไปพักผ่อนหลังจากที่พวกเราเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ข้าอยากพาพี่สาวซูลี่กับพี่ชายหมิงเย่ไปดูเรื่องของสำนักศึกษาด้วยขอรับ

พี่สาวพี่ชายของข้าต้องได้รับการศึกษาจากในเมืองหลวง จะต้องมิน้อยหน้าใคร ที่สำคัญอายุประมาณนี้แล้ว พี่สาวพี่ชายสมควรต้องมีพวกพ้องและเครือข่ายเป็นของตนเองได้แล้ว อีกไม่นานพี่สาวซูลี่จะปักปิ่นแล้วด้วย ข้าปรารถนาว่าในงานนั้นพี่สาวจะได้รู้จักผู้คนมากขึ้น

ท่านพ่อว่าครอบครัวซุนจะยินดีย้ายไปอาศัยที่เมืองหลวงหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายแผนการที่เขาคิดไว้ให้บิดาได้รับฟัง และมิวายถามความเห็นเรื่องบ้านซุนด้วย

“หมิงเอ๋อร์ เจ้ามิอยากอาศัยที่เมืองหลวงเช่นนั้นหรือ” นางหูได้ฟังแผนการแล้วจึงเอ่ยถามหลานต่อ

“ท่านย่า ข้ามิชอบความวุ่นวายขอรับ อีกอย่างหนึ่งครอบครัวของเราก็มิลำบากแล้ว ข้าคุ้นเคยและเติบโตที่เมืองไห่ถังจึงรู้สึกว่าหมู่บ้านหลัวถงคือบ้านมากกว่าขอรับ” เด็กน้อยตอบตามความจริง

อานนท์ฟื้นขึ้นมาที่หมู่บ้านหลัวถง จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะรู้สึกว่าเมืองไห่ถังเปรียบเสมือนบ้านเกิดของตนเอง

“ย่าก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่เมืองที่ย่าเกิด แต่ย่าก็อยากจะพักผ่อนตลอดกาลที่เมืองนี้”

“พ่อก็เช่นกัน พ่อมีความสุขที่นี่ เพียงได้ทำงานเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้เด็ก ๆ พ่อก็มีความสุขมากแล้ว”

“เช่นนี้หมิงเอ๋อร์จึงจะให้บ้านซุนย้ายไปอยู่เมืองหลวงและขยายการค้าออกไปแทนหลานใช่หรือไม่ ย่าก็เห็นด้วยนะ อีกไม่กี่ปีลี่เอ๋อร์ก็ปักปิ่นแล้ว ย่าอยากหาคู่ครองที่ดีให้กับนางเช่นกัน

เสียดายที่ลูกสะใภ้มีเพียงหมิงเอ๋อร์คนเดียว หมอที่ไหนว่าเก่ง ยาสูตรไหนว่าดี พวกเราก็พยายามมาจนหมดแล้ว ลูกสะใภ้ก็ยังมิตั้งครรภ์เสียที โชคดีที่หมิงเอ๋อร์ มีลี่เอ๋อร์ และเย่เอ๋อร์เป็นเพื่อน”

นางหูเปรยออกมาเสียงเบา พร้อมกับถอนหายใจด้วยความเสียดาย หลังคำกล่าวของผู้อาวุโสของบ้าน แต่ละคนจึงได้แต่นั่งนิ่ง ตกอยู่ในภวังค์ของตน

ว่าด้วยเรื่องของหลี่อ้าย ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังมิตั้งครรภ์เสียที มีครั้งหนึ่งหลี่อ้ายต้องการทำหน้าที่ฮูหยินเอกที่ดี นางจึงไปติดต่อลูกสาวของเศรษฐีคนหนึ่งเพื่อแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรองของสามี ทว่าพอจางอี้เทารู้เพียงเท่านั้น เขาก็โกรธและไม่ยอมพูดกับภรรยาไปหลายวัน

หลี่อ้ายจึงต้องเสียใจเนื่องจากคิดว่าต้องแบ่งปันสามีของตนเองให้กับคนอื่นแล้ว ยังมาถูกสามีโกรธเข้าให้ นางถึงกับล้มป่วยเพราะความเสียใจ เดือดร้อนจางอี้เทาต้องมาดูแลทั้งที่โกรธอยู่เช่นนั้น

“ท่านพี่ ข้าใจจะขาดอยู่แล้วที่ต้องแบ่งปันความรักของท่านพี่กับหญิงอื่น แต่ทำเช่นไรได้ ข้ามันทำหน้าที่บกพร่อง มิสามารถมีบุตรชายบุตรสาวอีกหลายคนให้ท่านพี่ได้ ข้าสำนึกแล้ว ท่านพี่หายโกรธข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยขอร้องสามีทั้งน้ำตา

“น้องหญิง พี่โกรธเพราะน้องหญิงดูถูกน้ำใจของพี่ ไม่มีบุตรคนอื่นแล้วเป็นเช่นไร พวกเราก็มีหมิงเอ๋อร์แล้ว และยังมีลี่เอ๋อร์และเย่เอ๋อร์ด้วย พวกเขาทั้งสามคนต่างเป็นดวงใจของพี่ ต่อให้ไม่มีบุตรอีกเลย เจ้าก็อย่าได้ผลักไสพี่ให้กับคนอื่นได้หรือไม่ เรื่องที่น้องหญิงไม่ตั้งครรภ์อีกเลยหาใช่ความผิดของเจ้าแม้แต่น้อย เหตุใดมิคิดว่าเป็นความบกพร่องของพี่เองเล่า

การมีลูก มิใช่เป็นเรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หากเป็นเรื่องของเราสองคนต่างหากเล่า เช่นนี้แล้วน้องหญิงคงสบายใจ มิต้องไปหาผู้ใดให้มาเป็นฮูหยินของพี่อีก พี่ขอเพียงเท่านี้ น้องหญิงให้พี่ได้หรือไม่เล่า” จางอี้เทาเอ่ยขอร้องภรรยาอย่างอ่อนโยน

“เจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”

หลี่อ้ายได้แต่เพียงยิ้มรับทั้งน้ำตา นางดีใจยิ่งที่สุดท้ายแล้วมิต้องแบ่งปันสามีกับผู้ใด แม่สามีอย่างนางหูก็มิเคยตำหนินางสักครั้งเรื่องที่ไม่สามารถมีบุตรได้อีก จะมีเพียงเหล่าลูกสาวเศรษฐีทั้งหลายที่เป็นคู่ค้าของกลุ่มการค้าหลัวถงเพียงเท่านั้นที่เล่าลือนินทานางว่าทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์และยังไม่ยอมให้ผู้อื่นมาทำหน้าที่แทนด้วย

“ท่านแม่ ท่านพี่ หมิงเอ๋อร์ อาหารเช้าเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

ภวังค์ของทุกคนหลุดไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหลี่อ้ายที่มาตามให้ทุกคนไปกินข้าวเช้าด้วยกันอย่างพร้อมหน้า

“เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเศร้าหมอง หลี่อ้ายจึงเอ่ยถามขึ้น

“มิมีอันใดหรอกน้องหญิง เพียงแต่หมิงเอ๋อร์ตัดสินใจจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปขอบ้านใหญ่ให้มอบป้ายวิญญาณท่านพ่อแก่พวกเรา เพื่อนำกลับมายังหลัวถงเท่านั้นเอง” เป็นจางอี้เทาที่ตอบคำถามของภรรยาพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง แล้วจะไปเมื่อใดกันเจ้าคะ ข้าเองก็คิดถึงท่านพ่อท่านแม่เช่นกัน มิได้พบหน้านานแล้ว ข้าอยากพาหมิงเอ๋อร์ไปพบท่านตาท่านยายด้วย มิรู้ว่าพวกท่านจะจำหมิงเอ๋อร์ได้หรือไม่” หลี่อ้ายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนขอรับท่านแม่” จางอี้หมิงตอบคำถาม

“มีผู้ใดที่เดินทางบ้างเล่า” หลี่อ้ายยังคงมีคำถามอย่างต่อเนื่อง

“ครอบครัวของเรา และหมิงเอ๋อร์ต้องการให้บ้านซุนย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อให้ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ได้เข้าสำนักศึกษาและขยายการค้าที่เมืองหลวง” นางหูเป็นผู้ตอบคำถามนี้เอง

“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ยังเหลือเวลาอีกมาก รายละเอียดให้หมิงเอ๋อร์บอกน้องหญิงตอนกินข้าว ตอนนี้พี่หิวแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ เสร็จแล้วพี่กับหมิงเอ๋อร์จะได้ไปบ้านซุนเพื่อหารือเรื่องนี้กัน” จางอี้เทาเอ่ยขัดเพราะเห็นว่าหากยังไม่ยุติ ภรรยาคงจะส่งคำถามมามิหยุดเป็นแน่ เขาพอเข้าใจว่าภรรยาคิดถึงบิดามารดาของตนเองไม่น้อย

“ได้เจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์ แม่ดีใจยิ่งนัก ไปกันเถอะ วันนี้แม่ทำอาหารจานโปรดให้กับทุกคนไว้เชียวนะ” หลี่อ้ายตอบรับด้วยความยินดี พลางลุกขึ้นและเดินตามสมาชิกบ้านจางไปยังห้องโถงของเรือนเพื่อกินข้าวเช้าต่อไป ซึ่งตอนนี้สาวใช้ทั้งหลายต่างก็ตั้งโต๊ะไว้รอแล้วเรียบร้อย

ถือได้ว่าปัจจุบันนี้เรือนบ้างจางใหญ่โต มีบ่าวไพร่มากมาย เทียบเท่าเมื่อยามที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง

มิใช่สิ...

เรือนบ้านจางที่หลัวถงนี้มีขนาดใหญ่โตและกว้างขวางกว่า ทั้งตกแต่งได้งดงามยิ่งกว่าเรือนในเมืองหลวงเสียอีก

นับได้ว่าตอนนี้ จางอี้หมิงทำให้บ้านจางสายรองเยี่ยงครอบครัวของเขายิ่งใหญ่ได้มากกว่าบ้านหลักนัก และเด็กน้อยยังสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินที่ได้ตอนออกจากตระกูลหลักสักตำลึงเดียว

หวังว่าทั้งหมดนี้คงเพียงพอให้ฮูหยินใหญ่ตกตะลึงจนตาค้างได้แล้วนะ...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ