ณ แนวชายหาดทางไปท่าเรือของชาวบ้านหลัวถงซึ่งอยู่คนละที่กับบริเวณชายฝั่งที่เด็ก ๆ เคยไปจับปู มีเด็กสามคนกำลังเดินอยู่ด้วยกัน พื้นที่ตรงนี้จะมีน้ำลึกเหมาะแก่การจอดเรือประมงให้ชาวบ้านออกไปหาปลา
ปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้เด็ก ๆ ไปป้วนเปี้ยนหรือเล่นแถวนี้ แต่จางอี้หมิงให้เหตุผลเพียงแค่ว่าอยากมาดูและต้องการเห็นหอยหินที่พี่ ๆ บอกว่ามีมากมายบริเวณชายหาดเท่านั้น และเขาไม่ได้จะลงไปในน้ำแต่อยู่บนบก ทำให้สองพี่น้องบ้านซุนปฏิเสธไม่ได้
“พี่ซุนลี่ พี่หมิงเย่ เดินเร็ว ๆ เข้า ข้าอยากเห็นท่าเรือแล้ว” จางอี้หมิงเอ่ยเร่งท่านพี่ทั้งสองเสียงร้อนรน เขาอยากเห็นจริง ๆ กับตา
“หมิงหมิงน้อย อย่าลืมว่าห้ามวิ่ง พี่สาวเร่งฝีเท้าเต็มที่แล้ว” ซุนลี่เอ่ยเตือนเพราะเด็กชายช่างซนเหลือเกิน แผลที่หัวเข่ายังไม่ทันหาย นางเกรงว่าจะเพิ่มแผลใหม่อีก หากเป็นเช่นนั้นอีกครั้งท่านอาอี้เทาคงห้ามเด็ดขาดไม่ให้มาที่นี่อีกเป็นแน่
“พี่หมิงเย่ เราต้องไปถึงให้ไวที่สุด ถ้ามีหอยหินเยอะเราต้องเสียเวลาเก็บ ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตกดิน ยิ่งใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้แสงแดดมีไม่มาก ข้าจึงอยากไปให้ถึงไว ๆ ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้สองพี่น้องบ้านซุนฟัง เขาพูดไปก็ก้าวไปจนซูลี่ตอบไม่ทัน
เด็กน้อยทั้งสามคนเดินไปตามชายหาดที่มีก้อนหินขรุขระ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ด้วยขนาดตัวที่เล็กทำให้จางอี้หมิงถึงกับทรงตัวไม่ค่อยอยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ วันนี้เขาต้องได้เห็นดงหอยหินที่พี่สาวซูลี่เคยบอกไว้
เดินไปประมาณหนึ่งเค่อก็เห็นสะพานไม้ที่ทอดยาวออกไปในทะเล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กว้างใหญ่มากมายนักแต่จากที่มองไกล ๆแบบนี้ เขาก็เดาได้ว่าการทำการประมงของสมัยนี้คงยังไม่พัฒนามากนัก ดูได้จากเรือที่มีขนาดเล็กและมีเรือเพียงสามลำเท่านั้น
“พี่ซูลี่ เรือขอรับ” จางอี้หมิงตื่นเต้นที่ตนเองมาถึงเสียที เด็กน้อยตะโกนบอกซุนซูลี่ที่เดินตามมาติด ๆ พลางโบกมือให้พี่สาวดูเรือที่ลอยลำอยู่ไกล ๆ
“หมิงหมิงน้อย ดงหอยหินไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น มันอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ก้มลงมองที่พื้นดูสิ” ซุนซูลี่บอกเสียงหอบ
จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดเดินแล้วก้มลงมองไปยังเท้าของตนเองที่ตอนนี้ยืนอยู่บนกรวดหินและหอยหินเต็มไปหมด
สุดยอด อะไรมันจะเยอะขนาดนี้
“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ หอยหินทั้งนั้นเลยขอรับ” จางอี้หมิงรีบเรียกให้สองพี่น้องบ้านซุนดูหอยหินที่มีอยู่เต็มไปหมด
“หมิงหมิงน้อย ข้าเห็นมันมาตั้งนานแล้ว หาได้มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นไม่” ซุนหมิงเย่เอ่ยเสียงเรียบ
มันมีอันใดให้น่าตื่นเต้นถึงเพียงนั้นกัน
“พี่หมิงเย่ หอยหินมีไปถึงชายหาดตรงท่าเรือเช่นนั้นหรือขอรับ”
“ใช่แล้วหมิงหมิงน้อย รวมไปถึงชายหาดด้านโน้นที่ท่านพ่อไม่ให้พวกเด็ก ๆ ไปด้วย” หมิงเย่อธิบายเพิ่มเติม แม้จะไม่เข้าใจแต่เห็นท่าทางของน้องชายแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ จางอี้หมิงถามอะไรออกมา เขาก็ตอบหมด
“เข้าใจแล้วขอรับ ก่อนอื่นพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่มาช่วยข้าเก็บหอยหินก่อนขอรับ พวกเราจะเอากลับบ้าน” จางอี้หมิงเอ่ยเร่งสองพี่น้องบ้านซุนแล้วก้มลงเก็บเป็นคนแรก
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซูลี่จึงมีหอยอยู่ครึ่งตะกร้าเพราะนางแบกไม่ไหว เช่นเดียวกับตะกร้าของหมิงเย่ที่มีอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ซึ่งตะกร้านี้จางอี้หมิงกับซุนหมิงเย่ช่วยกันหามกลับบ้าน
ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า หนึ่งเด็กหญิงสองเด็กชายต่างมุ่งหน้าออกจากดงหอยหินเพื่อเดินกลับบ้าน พวกเขามาถึงบ้านของจางอี้หมิงด้วยความทุลักทุเล จางอี้เทาที่นั่งอยู่นอกบ้านกำลังชะเง้อรอคอยบุตรชายกลับมา เมื่อมองเห็นเด็กทั้งสามคนอยู่ไกล ๆ จึงได้เข้าไปช่วย
“หมิงเอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ พวกเจ้าหอบหิ้วสิ่งใดกลับบ้านกัน นี่มิใช่หินหรอกหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“หามิได้ขอรับท่านพ่อ มันคือหอยหินต่างหากเล่า ของดีทั้งนั้นเลย” จางอี้หมิงตอบบิดาพลางวางตะกร้าลงบนพื้น ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะแผ่หลาลงบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน ซุนหมิงเย่ก็มีสภาพไม่ต่างกัน เพราะการต้องหิ้วตะกร้ามาเป็นระยะเวลานานจึงเหนื่อยไม่น้อย
โธ่... พวกเขาก็ตัวเล็กเพียงนี้เอง
“ท่านอาอี้เทา หมิงหมิงน้อยบอกว่าหอยหินทำอาหารกินได้ พวกข้าเลยเก็บกลับมาด้วย ส่งหมิงหมิงน้อยเสร็จแล้วพวกข้าสองคนพี่น้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่คงตามตัวแล้ว” ซุนซูลี่บอกจากอี้เทาพลางยื่นตะกร้าส่งให้
“ไปกันเถอะอาเย่ หมิงหมิงน้อย หากจะไปเก็บหอยหินอีกห้ามไปคนเดียวเข้าใจหรือไม่” ซุนซูลี่มิวายเอ่ยดักจางอี้หมิงไว้ นางไม่ไว้ใจเด็กซนคนนี้จริง ๆ
“ขอบคุณพี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขอบคุณสองพี่น้องที่ดีกับเขาเสมอมา
“อาเย่ ไปกันเถอะ ท่านอาอี้เทา พวกข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” ซุนซูลี่บอกน้องชายและเอ่ยลาบ้านจางอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงแยกตัวกลับบ้านไป
“หมิงเอ๋อร์ นี่มันหินทั้งนั้น มันจะเป็นของดีไปได้เช่นไร” จางอี้เทาถามบุตรชายอีกครั้ง เขาพินิจมองดูหินในตะกร้าแล้วก็ไม่เข้าใจ
มองอย่างไรก็หินชัด ๆ จะเป็นของดีถึงขนาดที่ทำให้บุตรชายของเขาต้องไปตามเก็บมาเชียวหรือ
“ท่านพ่อ ข้าเคยบอกท่านย่าไว้ว่าผัดผักบุ้งต้องมีน้ำปรุงรส ซึ่งน้ำปรุงรสนี่แหละขอรับทำมาจากหอยหิน ท่านพ่อ ไปกันเถอะ เราต้องแกะหอยหินเอาแต่เนื้อข้างใน ข้าอยากทดลองทำมาตั้งนานแล้ว” จางอี้หมิงรีบลุกขึ้นจากแคร่ไม้ เขาจับมือบิดาแล้วลากเข้าไปข้างในบ้าน ตรงไปยังห้องครัว
“ท่านแม่ขอรับ ข้าอยากทำน้ำปรุงรส ท่านแม่ทำให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อเดินเข้าไปถึงในครัวก็เจอกับมารดาที่กำลังทำอาหารมื้อเย็นอยู่ จึงเอ่ยออดอ้อนเสียงใส
“หมิงเอ๋อร์จะให้แม่ทำอันใดอีกเล่า รอให้แม่ทำข้าวผัดไข่ของโปรดของลูกก่อนได้หรือไม่” หลี่อ้ายเอ่ยตอบบุตรชาย มือก็พลางจับยกหม้อข้าวหุงลงจากเตา วันนี้นางตั้งใจทำข้าวผัดไข่ รายการอาหารโปรดของจางอี้หมิง
“ท่านแม่ทำข้าวผัดไข่หรือขอรับ ดีเลย ท่านแม่รอก่อนอย่าเพิ่งทำนะขอรับ ท่านแม่จะได้เอาน้ำปรุงรสใส่ในข้าวผัดไข่ด้วย รับรองท่านแม่ต้องติดใจแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงรีบยกนิ้วโป้งให้กับมารดา
“ได้ ๆ หมิงเอ๋อร์รอแม่สักครู่” หลี่อ้ายพยักหน้า หลังจากที่หุงข้าวเสร็จแล้ว นางจึงวางมือและกลับมาหาลูกชาย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่าเล่าขอรับ ข้าไม่เห็นท่านย่าเลย”
“ท่านย่าไปพบท่านปู่ถง อีกไม่นานคงกลับ ว่าแต่แม่พร้อมแล้ว หมิงเอ๋อร์จะให้แม่ทำอันใด” หลี่อ้ายตอบคำถามบุตรชายและถามไปในที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ก่อนอื่นต้องแกะหอยหินก่อนขอรับ หอยหินมีเปลือกหนา คม และแกะยาก พี่ซูลี่บอกว่าชาวบ้านแถบนี้ไม่มีใครสนใจเพราะพวกเขาแกะเปลือกหอยไม่ได้นั่นเอง แต่ทว่าที่เมืองสวรรค์ หอยหินถูกนำมาทำอาหารและน้ำปรุงรสเยอะแยะเลยขอรับ”
“เช่นนั้นเราต้องแกะเช่นไรเล่าหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาถามด้วยความสงสัย
“ท่านแม่หามีดที่มีปลายแหลมหน่อยนะขอรับ และผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว มาให้ท่านพ่อ” อี้หมิงหันไปบอกมารดา
หลี่อ้ายลุกออกไปจัดเตรียมสิ่งที่บุตรชายบอกแล้วนำกลับมาให้สามี
“ท่านพ่อหยิบหอยหินขึ้นมาขอรับ หอยหินจะมีสองข้าง ฝั่งหนึ่งเรียบ อีกฝั่งจะนูน ให้ท่านพ่อวางด้านที่เรียบหงายขึ้น เอามีดปลายแหลมแซะเข้าไปที่ตรงก้นหอยหิน ขยับเบา ๆ พยายามตัดเอ็นหอยที่ติดระหว่างฝาหอยทั้งสองข้าง ได้แล้วก็งัดขึ้นมาเลยขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายช้า ๆ เมื่อเห็นว่าบิดาทำได้ตามที่บอกก็ส่งยิ้มน่ารักไปให้
จางอี้หมิงตอนนี้กลายเป็นเด็กน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อยเหมือนเมื่อสองเดือนก่อนหน้าแล้ว อาจจะเพราะไม่ต้องอดมื้อกินมื้อและหายจากอาการเจ็บไข้ดีแล้ว ยิ่งอากาศเย็น ใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้ยิ่งทำให้แก้มใสเกิดเป็นสีชมพูดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก
แล้วแบบนี้ จางอี้เทาจะขัดขืนอะไรบุตรชายได้ เพียงแค่จางอี้หมิงยกยิ้มออดอ้อน คนเป็นพ่อก็ยอมทำตามทั้งหมด
“ท่านพ่อ แกะแบบนี้ให้หมดเลยนะขอรับ แต่ส่วนนี้ไม่ต้องแกะ เพราะข้าจะทำหอยหินย่าง” จางอี้หมิงแบ่งหอยหินเป็นสัดส่วนและบอกบิดาไว้
“ท่านแม่ พวกเราไปเตรียมทำขั้นตอนต่อไปเถอะขอรับ” เมื่อเห็นบิดาพยักหน้าเข้าใจแล้ว จางอี้หมิงจึงบอกมารดาให้ไปเตรียมทำส่วนต่อไป
“ท่านแม่เอาเห็ดหอมแห้งออกมาแช่น้ำไว้ขอรับ แล้วตั้งน้ำให้เดือด รอท่านพ่อแกะหอยให้เสร็จ”
กว่าจะเตรียมอะไรทุกอย่างเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปราวสองเค่อ จางอี้หมิงเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงให้หลี่อ้ายทำขั้นตอนต่อไป
“ท่านแม่ ต้มหอยหินกับเห็ดหอมให้สุก ท่านพ่อ ไปย่างหอยหินบนเตา ข้ากะว่าพอพวกเราทำเสร็จ ท่านย่าคงกลับมาพอดีขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เอาหอยหินวางลงไปทั้งตัวเช่นนี้หรือไม่” จางอี้เทายังงงกับคำพูดของบุตรชาย เนื่องจากเขาไม่รู้จะทำเช่นไร
“ถูกแล้วขอรับ แต่ท่านพ่อต้องหมั่นเติมฟืนนะขอรับ เพราะตอนที่เราย่างจะมีน้ำออกมาจากหอยเยอะ มันจะทำให้ไฟดับ รอข้าเข้าเมืองข้าอาจจะไปหาช่างให้ช่วยทำตะแกรงย่างเนื้อขอรับ แบบนั้นเราจะย่างบนตะแกรงเปิดฝาหนึ่งข้าง เช่นนั้นจะง่ายกว่ามากขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ หอยกับเห็ดน่าจะสุกแล้ว” หลี่อ้ายบอกบุตรชาย
“ท่านแม่รอให้เย็นสักหน่อยค่อยเอาหอยกับเห็ดมาหั่นและสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จแล้วหั่นขิงสดเอาไปตำให้ละเอียดรอไว้เลยขอรับ” เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว จางอี้หมิงจึงบอกขั้นตอนต่อไป
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังขะมักเขม้นทำน้ำปรุงรสหอย จางอี้เทาก็ย่างหอยหินไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นงานที่หนักพอสมควรเนื่องจากไฟเริ่มมอดลงทุกที
“ท่านแม่สับหอมหัวใหญ่เอาไปผัดให้มีกลิ่นหอม ให้หอมไหม้ ๆ หน่อยนะขอรับ เสร็จแล้วใส่ขิงสับลงไปผัดไปอีกนิด เอาหอยกับเห็ดลงไปผัดจนสุกเลยนะขอรับ ใส่ซีอิ้วลงไปอีกนิด เติมน้ำอีกหน่อย จะใส่สมุนไพรพวกอบเชย โป๊ยกั๊กหรือกานพลูด้วยก็ได้ขอรับ ผัดจนน้ำงวด เมื่อเห็นเนื้อหอยกับเนื้อเห็ดหดเละแล้ว ถือว่าใช้ได้ขอรับ”
จางอี้หมิงให้มารดาหั่นทั้งเนื้อหอยและเห็ดหอมให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เนื่องจากสมัยนี้ไม่มีเครื่องปั่น เขาจึงต้องอาศัยการผัดให้เนื้อหอยและเห็ดเละไปเองเมื่อต้มจนน้ำงวด
หึ! น้ำมันหอยสูตรอานนท์ อดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้ลิ้มลอง
“พวกเจ้าทำอันใดอยู่ กลิ่นหอมออกไปถึงข้างนอกเชียว” นางหูที่กลับมาจากบ้านซุนแล้วถึงกับรีบตรงมายังห้องครัวเมื่อได้กลิ่นหอมที่ลอยออกไปถึงนอกบ้าน
“ท่านย่า ข้ากับท่านแม่กำลังทำน้ำปรุงรส ส่วนท่านพ่อทำหอยย่างขอรับ” จางอี้หมิงรีบวิ่งไปหาท่านย่าแล้วตอบคำถามด้วยท่าทางน่ารัก เขาสวมกอดนางหูสองแขน
“เจ้าตัวน้อย หาทำเรื่องอะไรแปลก ๆ อีกใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่อะไรแปลกนะท่านย่า น้ำปรุงรส สินค้าใหม่ของบ้านจางต่างหากเล่าขอรับ” จางอี้หมิงทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกท่านย่าหยอกเย้า
“หมิงเอ๋อร์ น้ำงวดเช่นนี้ใช้ได้แล้วหรือไม่” นางหูยังไม่ทันได้ง้อหลานชาย หลี่อ้ายก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน จางอี้หมิงลุกไปดูน้ำปรุงรสเกือบไม่ทัน
“ท่านแม่ ยกหม้อลงจากเตาเลยขอรับ มันจะไหม้แล้ว” จางอี้หมิงรีบตะโกนบอกมารดาเสียงดัง หลี่อ้ายได้ยินเช่นนั้นจึงยกหม้อลงจากเตาทันที
“หมิงเอ๋อร์ หอยนี้เราจะรู้ได้เช่นไรว่าสุกแล้ว” จางอี้เทาหันหน้ามาถามบุตรชายบ้าง ดูจากภรรยาที่ต้องรีบยกหม้อลงแล้ว เขาจึงไม่อยากพลาดทำหอยไหม้อีก
“เมื่อไม่มีน้ำไหลออกมาจากตัวหอย หรือย่างประมาณหนึ่งเค่อขอรับ ท่านแม่ทำข้าวผัดไข่ได้เลยขอรับ แล้วใส่น้ำปรุงรสนี้ไปด้วยรับรองว่าอร่อยมากขอรับ” จางอี้หมิงตอบบิดาก่อนที่จะหันมาแจ้งมารดาได้ทำอาหารมื้อต่อไป
“ท่านพ่อขอรับ ระหว่างที่เรารอท่านแม่ทำข้าวผัดไข่ ท่านพ่อสามารถแกะหอยหินย่างได้เลยขอรับ มันร้อนและแกะยากหน่อย ท่านพ่อต้องแกะเหมือนตอนที่มันสดได้เลยขอรับ”
จางอี้เทาและหลี่อ้ายทำตามที่บุตรชายบอก เพียงไม่นานอาหารมื้อเย็นวันนี้จึงวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงสำหรับกินอาหาร หลังจากมีบ้านใหม่ พวกเขาก็ไม่ต้องนั่งกินข้าวบนแคร่ไม้ไผ่อีกต่อไปแล้ว
“ไม่น่าเชื่อว่าหอยหินที่ชาวบ้านเห็นเป็นสิ่งไร้ค่าจะสามารถรังสรรค์ออกมาเป็นอาหารได้อร่อยเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขากำลังนั่งกินหอยหินย่างแล้วใส่เกลือลงไปเล็กน้อย
เนื้อนุ่มหนึบของหอย กลิ่นหอมของการย่างและรสเค็มของเกลือ ล้วนกำลังส่งผลให้จางอี้เทาพึงพอใจกับหอยหินย่างนี้ไม่น้อย
“ท่านพ่อ ต่อไปถ้าเราใส่เกลือลงไปตอนย่างจะยิ่งอร่อยกว่านี้ ย่างง่ายกว่านี้ขอรับ แต่วันนี้เรามีอุปกรณ์ไม่ครบ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยขอรับ” จางอี้หมิงตักข้าวผัดไข่ของโปรดของเขาเข้าปากและซึบซับกับรสชาติอาหารที่วันนี้มีน้ำปรุงรสเพิ่มเข้ามายิ่งทำให้อาหารอร่อยมากยิ่งขึ้น
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าจะทำขายเช่นนั้นหรือ” หลี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ลองชิม
“ขอรับท่านแม่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ข้าต้องหาน้ำมันก่อนขอรับ เพราะน้ำปรุงรสเหมาะกับรายการผัด เพียงแค่น้ำมันจากไขมันหมูไม่เพียงพอ ข้าจะยังไม่ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองรู้จักการผัดแบบแพร่หลายถ้าหากยังหาน้ำมันไม่ได้ อีกอย่าง ต้องให้เหลาซิ่งฝูทำกำไรจากรายการผัดก่อนขอรับ” จางอี้หมิงตอบมารดา เขาหันไปหาท่านย่าและถามต่อ
“ท่านย่า บ้านเราเหลือเงินเยอะหรือไม่ขอรับ หลังจากที่จ่ายค่าเสบียงและค่าฟืนแล้ว ยังมีพื้นที่เก็บเสบียงอีกหรือไม่ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ ถามเช่นนั้นทำไมหรือ” นางหูถามกลับ
“หรือว่าหมิงเอ๋อร์กังวลถึงเรื่องความฝันอีกแล้ว” จางอี้เทาลองเดาคำตอบ
“ท่านพ่อ ถูกแล้วขอรับ ข้าอยากให้ท่านพ่อเพิ่มเสบียงและฟืนให้มากหน่อย หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เพียงแค่ไม่ต้องซื้อเสบียงอาหารไปอีกเดือนสองเดือน แต่หากเกิดภัยหนาวจริง พวกเราจะได้ไม่เดือนร้อน” จางอี้หมิงเอ่ยความต้องการของตนเองให้ทุกคนทราบ นางหูจึงตอบตกลงว่าจะทำตาม ยังมีเวลาอีกหลายวันให้พวกเขาได้กักตุนเสบียง
จางอี้หมิงคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาทั้งคืนจนพระจันทร์ใกล้ลับขอบฟ้า ทว่าเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำเช่นไรถึงจะป้องกันได้แบบไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง แต่ด้วยร่างกายที่ยังเป็นเด็กน้อย จึงไม่สามารถฝืนความง่วงได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงหลับไปทั้งที่ใจไม่ยินยอม
เขาจะต้องหาทางป้องกันให้ได้
ไม่เช่นนั้นความฝันนั้นจะติดค้างในใจไปตลอดแน่
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?