หลังจากวันที่จางอี้หมิงแจ้งเรื่องการเดินทางไปเมืองหลวงให้ครอบครัวได้ฟัง เวลาก็ผ่านมาจนถึงกำหนดการเดินทางในวันพรุ่งนี้
ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้วทั้งหมด ขบวนการเดินทางในครั้งนี้ประกอบไปด้วย สมาชิกบ้านจางทุกคน สมาชิกของบ้านหลินของท่านปู่หลินไห่ที่ต้องการไปเยี่ยมบุตรหลานซึ่งทำงานรับใช้ราชสำนักอยู่ในกรมอาญา และบ้านซุนที่ต้องย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากใหม่ยังเมืองหลวงตามความเห็นของจางอี้หมิงเพื่ออนาคตของซุนซูลี่และซุนหมิงเย่
ในส่วนของกลุ่มการค้าหลัวถงที่หมู่บ้านก็ได้อาห้าวและชายทั้งห้าคนซึ่งทำงานร่วมกันมาดูแล รวมถึงหลวนซานที่ตอนนี้ได้รับการยอมรับจากสมาชิกในกลุ่มด้วยความเต็มใจ
หลวนซานรับผิดชอบเป็นตัวแทนในการติดต่อค้าขายกับกลุ่มต่าง ๆ เขาได้จางอี้หมิงเป็นผู้ฝึกสอนด้วยตนเอง ดังนั้นลูกเล่นและกลยุทธ์ต่าง ๆ จึงได้รับการถ่ายทอดไปจากจางอี้หมิงมิน้อย
ทางด้านของเหลาอาหารซิ่งฝู บุตรชายตัวจริงของเถ้าแก่หลินไห่ไม่ชอบการทำงานในด้านนี้ เถ้าแก่หลินจึงรับเอาอู๋หมินกับซีฮันเป็นบุตรบุญธรรม โดยอู๋หมินได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าพ่อครัวของเหลาซิ่งฝูแทนอู๋เจ๋อ ที่ตอนนี้ปลดประจำการมาเป็นเถ้าแก่แทน
ส่วนซีฮัน เสี่ยวเอ้อร์ที่จงรักภักดีต่อเถ้าแก่หลินมาตลอดก็ได้ขึ้นเป็นหลงจู้ของเหลาอาหาร แต่มิใช่ว่าเถ้าแก่หลินจะเมินเฉยบุตรชายของตนเองเสียทีเดียว เถ้าแก่หลินได้มอบทรัพย์และเงินทองให้กับเขาอย่างเหมาะสม
บุตรชายของเถ้าแก่หลินเองนั้นรู้จักกับอู๋เจ๋อ อู๋หมิน และซีฮันมาตั้งแต่เด็ก ๆ นอกจากเขาจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้แล้ว เขายังขอบคุณทั้งสามคนที่ดูแลบิดามารดาแทนตนเองเสมอมา เขายังรู้สึกผิดไม่น้อยที่อกตัญญูพาครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองหลวง มิได้อยู่ที่เมืองไห่ถังทำความฝันของบรรพบุรุษให้เป็นความจริง
การที่เถ้าแก่หลินไห่รับอู๋หมินและซีฮันเป็นบุตรบุญธรรมพร้อมกับมอบเหลาอาหารซิ่งฝูให้ทั้งสองคนจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว
เมื่อเถ้าแก่หลินไห่ทราบว่าบ้านจางจะเดินทางไปเมืองหลวง เขาและภรรยาจึงตกลงจะร่วมเดินทางไปด้วย
ในส่วนขององครักษ์เหลียงไป๋นั้นแน่นอนว่าไม่ว่าจางอี้หมิงจะไปที่ใด พวกเขาต้องไปด้วยตลอด มีเพียงสององครักษ์ที่ถูกส่งมาดูความเป็นไปของบ้านจางตระกูลหลักในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีที่แล้วเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ โดยพวกเขาปลอมตัวเข้าไปเป็นบ่าวรับใช้ในตระกูล
“น้องหญิง สีหน้าดูมิดี เป็นอันใดหรือไม่”
จางอี้เทาเอ่ยถามภรรยาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เขาสังเกตว่าหลี่อ้ายหน้าซีดตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
แต่ทว่ารอแล้วรอเล่าภรรยาก็มิเอ่ยปากบ่นอันใดกับตนเอง จนตอนนี้พวกเขาออกเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงมาได้สามชั่วยามแล้วเห็นเป็นเวลาอันควรจึงเอ่ยถามขึ้น
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยเจ้าค่ะ พวกเรากลับไปเมืองหลวงครานี้มิรู้ว่าจะเจอโจรป่าเหมือนครั้งที่เดินทางมาเมืองไห่ถังหรือไม่” หลี่อ้ายตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แต่ผู้เป็นสามีก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“น้องหญิง มิต้องเป็นกังวลไป การมาในครานี้เรามีกลุ่มองครักษ์เหลียงไป๋ รวมทั้งสำนักคุ้มภัยมาด้วยเป็นจำนวนมาก คาดว่าคงมิมีอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่” จางอี้เทาปลอบภรรยาคนงามด้วยความมั่นใจ
“ข้ายังจำภาพและความรู้สึกในครั้งนั้นได้จนถึงทุกวันนี้เจ้าค่ะ มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“ท่านแม่ขอรับ ขบวนเดินทางของเราใหญ่โต โจรคงมิกล้าเข้ามาดักปล้นหรอกขอรับ หากท่านแม่มิสบายใจ เช่นนั้นข้าจะให้องครักษ์เหลียงไป๋เดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อสังเกตการณ์ เช่นนี้ท่านแม่คงสบายใจได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงได้ยินบทสนทนาระหว่างบิดามารดาจึงเสนอขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกกังวลดั่งเช่นที่มารดาเป็นอยู่ เพราะเขาเชื่อมั่นในกลุ่มองครักษ์เหลียงไป๋และสำนักคุ้มภัยอีกหลายสิบคน
“ลูกสะใภ้ นี่ก็ผ่านมาตั้งเกือบสองปีแล้ว พวกโจรอาจจะถูกปราบปรามจนหมดแล้วก็เป็นได้ ถ้าเช่นไร พักแรมคืนนี้ พวกเราสอบถามที่โรงเตี้ยมเกี่ยวกับกลุ่มโจรดีหรือไม่ หากไม่เป็นดั่งคาดจริงจะได้เตรียมตัวป้องกันไว้ก่อน” นางหูออกความเห็นบ้าง นางก็ยังมิลืมเหตุการณ์ในคราวนั้นดั่งเช่นลูกสะใภ้ มันช่างน่ากลัว ถ้าเป็นไปได้นางก็มิอยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อถึงเวลาพักแรม จางอี้หมิงเอ่ยถามเสี่ยวเอ้อร์ที่โรงเตี้ยมก็ยิ่งแปลกใจหนัก เมื่อคำตอบของเสี่ยวเอ้อร์แจ้งว่าตั้งแต่เขาทำงานที่โรงเตี้ยมแห่งนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่มจนป่านนี้ผมเกือบดอกเลา ก็ยังมิเคยได้ยินว่ามีโจรออกปล้นมาก่อน จางอี้หมิงจึงมอบสินน้ำใจให้เสี่ยวเอ๋อร์คนนั้นไปเล็กน้อย
คงมิใช่ว่าจะเหมือนในนิยายที่เขาเคยอ่านมาหรอกนะ ที่พวกโจรคือคนที่บ้านหลักส่งมาเพื่อกำจัดครอบครัวของเขา หากเป็นเช่นนั้นจริง เห็นทีคงจะอภัยให้มิได้เป็นแน่
จางอี้หมิงฉุดคิด แต่ก็รีบส่ายหัวและได้แต่ภาวนาให้ความคิดของเขาเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ขออย่าให้ความคิดของเขาเป็นความจริงเลย
การเดินทางมาเมืองหลวงใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือนเต็ม เนื่องจากจางอี้หมิงมิต้องการเร่งรีบเดินทางมากนัก พวกเขามีคนชราและเด็กร่วมเดินทางมาด้วย จางอี้หมิงจึงหยุดพักเกือบทุกเมืองและยังถือโอกาสนี้เข้าเยี่ยมคู่ค้า ณ เมืองต่างๆด้วย ในการเข้าพบนั้น เขาก็นำสินค้าตัวใหม่มาให้ร้านค้าเหล่านั้นได้ทดลองใช้ จึงเป็นการยิงเกาทัณฑ์เดียวได้เหยี่ยวสองตัว
ในส่วนของที่พักนั้นไม่มีปัญหา เพราะสององครักษ์เหลียงไป๋ได้ทำการจัดหาและคัดเลือกบ่าวไพร่มาไว้รอเจ้านายของจวนตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว เมื่อขบวนเดินทางของจางอี้หมิงมาถึงเมืองหลวง ทุกอย่างก็พรักพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านแม่ น้องหญิง ชอบหรือไม่ขอรับ”
จางอี้เทาเอ่ยถามมารดาและภรรยาในตอนเช้าของวันถัดมา หลังจากที่พวกเขากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว
อู่สง ชายชราอายุประมาณห้าสิบปีถูกส่งมาเป็นพ่อบ้านประจำจวนตระกูลจางแห่งนี้ เขาเคยทำงานเป็นพ่อบ้านให้กับนางหู เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองหลวง หลังจากที่บ้านรองถูกตัดขาดจากบ้านหลัก อู่สง ก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน เขาเปิดร้านขายเกี้ยวเล็ก ๆ ในหมู่บ้านเดิม เมื่อจางอี้เทารู้ว่าจะได้กลับมาเมืองหลวง เขาจึงติดต่อไปหาอู่สงเพื่อให้มาทำหน้าที่พ่อบ้านที่จวนหลังใหม่ ซึ่งอู่สงก็ตอบรับและย้ายครอบครัวกลับเข้าเมืองหลวงมาเตรียมความพร้อมของจวนไว้ต้อนรับเจ้านายคนเก่าทันที
“ชอบมาก จวนหลังนี้ใหญ่โตกว่าจวนตระกูลจางที่เราจากมาเป็นเท่าตัว แต่ก็เท่านั้นเพราะต่อไปจวนหลังนี้ก็เป็นเรือนของบ้านซุนแล้ว หลังจากที่แม่ได้ป้ายวิญญาณของท่านพ่อเจ้าแล้ว แม่คงมิได้มาเมืองหลวงอีกเป็นแน่ อาเทาเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะอยู่ที่หลัวถงกับแม่ตลอดไป” นางหูเอ่ยตอบบุตรชายด้วยน้ำเสียงเศร้าลงเล็กน้อย
“แน่ใจขอรับท่านแม่ หากไม่มีเหตุจำเป็นข้าก็คงไม่มาที่เมืองหลวง ข้าชอบผู้คนที่เมืองไห่ถังมากกว่าขอรับ”
“ลูกสะใภ้เล่า”
“ท่านพี่อยู่ที่ใด ข้าก็จะอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายตอบพลางยิ้มหวานส่งไปให้สามี
“ดี ๆ หวังว่าเราจะได้ป้ายวิญญาณของท่านพ่อของเจ้ามาโดยไว”
นางหูเอ่ยจบแล้วจึงหันหน้าเดินต่อไป สมาชิกของจวนตระกูลจางทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบ้านจางหรือบ้านซุน ทั้งหมดเดินตามอู่สงที่กำลังแนะนำเรือนต่าง ๆ ภายในบริเวณจวนแห่งนี้ ว่าแต่ละคนพักที่เรือนหลังไหน ห้องครัว ห้องต่าง ๆ มีอันใดบ้าง
จนกระทั่งมาหยุดลงที่เรือนฝั่งตะวันตกซึ่งจัดให้เป็นที่อยู่ของบ้านซุน
“พี่ถง อาเย่ อาเจียวเม่ย พออยู่ได้หรือไม่” นางหูหันไปถามบ้านซุน
“เรือนต่าง ๆ เหล่านี้ใหญ่โตกว่าที่เรือนของพวกข้าที่หมู่บ้านหลัวถงเสียอีก เหตุใดจะอยู่มิได้ มันดีกว่าที่คิดไว้มากต่างหากเล่า บ้านซุนเกรงใจบ้านจางยิ่งนัก” ซุนถงตอบคำนางหู
“ท่านลุงถง อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ ลี่เอ๋อร์ กับเย่เอ๋อร์ต่างก็เป็นบุตรสาวบุตรชายของข้าเช่นกัน การมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาทั้งสองคนก็ถือเป็นหน้าที่ของพวกข้าเช่นกัน ผู้ใดจะมาดูถูกลูกหลานตระกูลจางมิได้” จางอี้เทาเป็นผู้บอกให้บ้านซุนอย่าได้วิตกกังวลไป อย่างไรเสียตอนนี้ สองเด็กบ้านซุนก็นับว่าเป็นบุตรของเขาแล้วเช่นกัน
“ข้าและบ้านซุนต้องขอบใจบ้านจางมาก” ซุนซูเย่เอ่ยขึ้นบ้าง
“บ้านจางก็ต้องขอบคุณบ้านซุนที่ยอมมาทำการค้าเป็นตัวแทนของกลุ่มการค้าหลัวถงที่เมืองหลวงเช่นกัน” จางอี้เทาเอ่ยตอบซุนซูเย่
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาเป็นว่าพวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้วดีหรือไม่” นางหูเป็นผู้เอ่ยตัดบทสนทนา มิเช่นนั้นคงมิได้ทำอันใดเป็นแน่ ส่งผลให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ทางฝั่งของเด็ก ๆ การเดินทางอันแสนยาวนานมิสามารถทำให้พลังเหือดหายไปได้ พวกเขาตื่นตาตื่นใจ พากันเที่ยวดูสิ่งต่างๆอย่างสนุกสนาน
“ท่านพี่ซูลี่ ท่านพี่หมิงเย่เร็วเข้าขอรับ ข้าอยากเห็นตลาดในเมืองหลวงว่าจะเหมือนเมืองไห่ถังหรือไม่ หากไปช้า แดดจะแรงเสียก่อน” จางอี้หมิงทั้งเอ่ยเร่งทั้งลากพี่สาวพี่ชายให้รีบเดินไปขึ้นรถม้า ซึ่งองครักษ์ซานกับชีได้นำมาจอดเทียบไว้รอแล้ว
“หมิงเอ๋อร์ ช้าหน่อย พวกเราเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงได้เพียงหนึ่งคืนเท่านั้น เหตุใดจึงได้ซนอยากออกไปเที่ยวเสียแล้ว ให้ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า จัดการข้าวของเพียงลำพังเช่นนี้มิดีเลยรู้หรือไม่” ซุนซูลี่เอ่ยเตือนน้องชายเสียงเข้ม
“ท่านพี่ซูลี่ ข้าขออนุญาตท่านพ่อแล้วขอรับ และยังให้บ่าวไปแจ้งท่านลุงเย่กับท่านป้าเจียวเม่ยแล้วด้วยว่าข้าจะชวนท่านพี่ทั้งสองไปเที่ยวตลาด พวกเราเป็นเด็กจะช่วยอันใดได้ ตัวของข้าก็เล็กเพียงเท่านี้เอง ให้บ่าวไพร่ทำไปเถอะขอรับ”
จางอี้หมิงยังไม่ยอมเชื่อฟังพี่สาว เขาขอให้ซุนซูลี่และซุนหมิงเย่เรียกตนเองว่า หมิงเอ๋อร์แทนหมิงหมิงน้อย เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยห้าขวบอีกต่อไปแล้ว
แต่เจ้าคงจะลืมไปว่าตนเองเพิ่งหกขวบนะหมิงเอ๋อร์! ซุนซูลี่เอ่ยแย้งในใจ
“คุณหนูรอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ เซียงเซียงเจ้าก็เร็วเข้า คุณหนูถูกคุณชายน้อยลากไปโน้นแล้ว”
จินจิน เอ่ยเรียกคุณหนูของนางก่อนจะเอ่ยเร่งเพื่อนสาวใช้ด้วยกัน ทั้งสองคนเป็นหญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดปีที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้เป็นสาวใช้ประจำตัวของซุนซูลี่ ในส่วนของซุนซูเย่นั้นเป็นเด็กชาย ก็มีบ่าวรับใช้ส่วนตัวสองคนเช่นกัน จางอี้เทาต้องการให้บุตรสาวบุญธรรมเรียนรู้เรื่องศาสตร์และศิลป์ ตามแบบฉบับที่หญิงสาวในเมืองหลวงศึกษาเล่าเรียนกัน ส่วนซุนหมิงเย่ก็มีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสองคนเป็นเพื่อนในการไปเล่าเรียนในสถานศึกษา
สำหรับจางอี้หมิงนั้นมีสิ่งที่สนใจแล้วในวันนี้ เขาเคยอ่านในนิยายเมื่อครั้งเป็นอานนท์ ที่บรรดานักเขียนต่างพากันบรรยายฉากการเดินตลาด ไม่ว่านิยายเรื่องไหน ๆ ก็บรรยายเกี่ยวกับการเดินตลาดทั้งนั้น เขาอยากจะซึมซับบรรยากาศของจริงเพียงเท่านั้นเอง อีกหนึ่งเหตุผลคือเขาอยากผ่อนคลาย เก็บพลังด้านบวกให้มากหน่อย ก่อนที่จะเริ่มทำตามแผนการเผชิญหน้ากับตระกูลหลัก
ทว่าดูเหมือนว่าจะเป็นโชคชะตากระมัง ที่ทำให้จางอี้หมิงต้องไปเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลหลักก่อนที่จะได้เริ่มต้นแผนการเสียอีก...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?