ตอนที่ 42 บันไดดิน

ในยามเช้าของบ้านสกุลจางยังคงวุ่นวายไปด้วยผู้คนเหมือนเคย ตั้งแต่มีการประกาศจัดตั้งกลุ่มการค้าเมื่อหลายวันก่อน ชาวบ้านหลัวถงก็แวะเวียนมาที่กระท่อมปลายนาไม่ขาดสาย ทว่าวันนี้ดูจะคับคั่งเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันที่ชาวบ้านจะขึ้นเขาเพื่อไปเรียนรู้ต้นหญ้าหวาน วิธีการเก็บ รวมถึงวิธีการทำน้ำตาลผักด้วย 

แต่เนื่องจากเมื่อวานสองพ่อลูกสกุลจางหมดเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาให้เหลาอาหารซิ่งฝูและการติดต่อนายช่างเรื่องการสร้างบ้านเป็นเวลานาน จางอี้หมิงจึงไม่มีเวลาเหลือพอไปหาซื้อวัตถุดิบมาใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก ดังนั้นการสอนการทำน้ำตาลผักจึงขอเลื่อนออกไปก่อน

จางอี้เทานับจำนวนชาวบ้านที่มาเข้าร่วมอย่างละเอียด แต่ละครอบครัวต่างก็ส่งตัวแทนมาบ้านละหนึ่งหรือสองคน เหลือเพียงบ้านของหลวนซานที่ไม่มีใครมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าครบตามจำนวนแล้ว เขาและอี้หมิงจึงพาชาวบ้านเดินขึ้นไปบนเขาที่มีต้นหญ้าหวานอยู่

เมื่อมาถึงบริเวณที่มีต้นหญ้าหวาน ด้านหน้าเป็นทางชันต้องเดินลงไปตามไหล่เขาซึ่งจุดนี้เองที่อี้หมิงก็เคยพลาดตกลงไป

“เอาล่ะทุกคน ข้างล่างนั่นมีต้นหญ้าหวานอยู่ แต่จากตรงนี้เพื่อลงไปเก็บต้นหญ้าหวานเป็นทางลาดชัน ขอให้ทุกคนระวังกันหน่อย ค่อย ๆ เดินตามข้าลงมานะ” จางอี้เทาเดินนำชาวบ้านลงไปยังทุ่งต้นหญ้าหวาน มันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากจำนวนชาวบ้านมีสิบคน

“อาเทา ข้ามีความคิดหนึ่งมานำเสนอ ไม่รู้ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่” เมื่อมาถึงพื้นที่ราบแล้ว ชายคนหนึ่งที่มีอายุใกล้เคียงกับจางอี้เทาจึงเอ่ยขึ้น

“พี่ชายท่านนี้มีความคิดอันใดหรือ” 

“ทางที่ลงมานี้ ตั้งแต่ตรงนั้นจนถึงที่พวกเรายืนอยู่ตรงนี้มันค่อนข้างลาดชัน ถ้าหากว่าฝนตกคงหกล้มได้ง่าย ข้าคิดว่าเหตุใดเราไม่ช่วยกันขุดดินทำเป็นขั้นบันไดดินเป็นทางขึ้นลงตรงนี้เล่า อาจจะหาแผ่นไม้ หรือก้อนหินมาวางไว้ตรงส่วนที่เราเหยียบเพื่อป้องกันการลื่น หากทำเช่นนี้แล้วการขึ้นลงเก็บต้นหญ้าหวานก็จะง่ายขึ้นและไม่เป็นอันตราย ทุกคนเห็นเป็นเช่นไร” 

หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ จางอี้เทา จางอี้หมิงและชาวบ้านจึงนึกคิดตามคำพูดอยู่ชั่วครู่ถึงกับเอ่ยชมความคิดของชายคนนั้นออกมา

“อาห้าว เป็นความคิดที่ดีเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก ข้าเห็นด้วยกับอาห้าวนะ พวกเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยสมทบ

“ข้าว่าดียิ่ง”

“ข้าเห็นด้วย”

“เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันทำบันไดดินสำหรับขึ้นลงตรงนี้ก่อน แบ่งคนแยกกันทำนะ ใครจะตัดหญ้า ใครจะขุดดิน ใครจะไปหาก้อนหินหรือแผ่นไม้ ก็แยกย้ายกันไป เสร็จแล้วข้าจะได้สอนการเก็บต้นหญ้าหวาน” จางอี้เทากล่าวจนจบ เขาจัดสรรหน้าที่ให้ทุกคน

สมแล้วที่เป็นอาจารย์ มีเพียงจางอี้หมิงที่เด็กสุด จึงเดินไปนั่งดูพวกผู้ใหญ่ทำงานและคอยเก็บเกี่ยวความรู้เพียงเท่านั้นเอง

ใครว่าชาวบ้านไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยความคิดเรื่องบันไดดินนี้เขาก็คิดไม่ถึงมาก่อน เขากับท่านพ่อขึ้นมาเก็บต้นหญ้าหวานก็หลายครั้ง เจอกับปัญหาทางลาดชันทุกครั้งด้วยซ้ำไป

เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม บันไดดินสำหรับขึ้นลงเก็บต้นหญ้าหวานก็เสร็จเรียบร้อย ชาวบ้านหาก้อนหินมาวางไม่ได้จึงเลือกใช้ต้นไม้ขนาดเล็กตัดเป็นท่อน ๆ มาวางเรียงกันเป็นแพแทนแผ่นไม้

“โอ้ พวกท่านเก่งมากที่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำบันไดดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าความชันมันยังสูงอยู่มาก ข้าว่าท่านลุงสร้างราวบันไดไว้ข้างหนึ่งดีหรือไม่ เช่นนี้เวลาเราพักเหนื่อยเมื่อเดินขึ้นมาได้สักครึ่งทาง เราจะได้มีราวช่วยพยุงได้ดีขึ้น”

จางอี้หมิงลองเดินขึ้นบันไดดินเพียงแค่ครึ่งทางก็เหนื่อยแล้ว แล้วท่านลุงที่ต้องแบกตะกร้าที่มีต้นหญ้าหวานอยู่เต็มหลังคงหนักและเหนื่อยไม่น้อย เขาจึงเสนอให้ทำราวบันไดขึ้นมา

“อันใดคือราวบันไดหรือหมิงหมิงน้อย” ชายที่ชื่ออาห้าวถามอย่างสงสัย เขาไม่เคยได้ยินคำว่าราวบันไดมาก่อน

“ราวบันไดคืออะไรน่ะหรือขอรับ เช่นนั้นเราหาไม้มาทำเป็นเสาให้มีระยะห่างกันแล้วนำไม้ไผ่อีกอันมามัดต่อกันให้เป็นแนวยาวตั้งแต่ล่างไปถึงบนสุดก็จะได้ราวบันไดอย่างง่ายขอรับ มีประโยชน์ใช้วางมือพักเหนื่อยระวังทางที่เดินขึ้นมา” จางอี้หมิงเดินลงมาที่ชาวบ้านทุกคนยืนอยู่ และอธิบายด้วยการวาดไม้วาดมือไปตรงบันไดดิน ซึ่งเพียงไม่นานชาวบ้านก็เข้าใจและเห็นด้วย

พวกเขาจึงหันไปตัดไม้ไผ่มาทำเป็นราว ตัดต้นไม้มาทำเป็นเสา อีกกลุ่มไปหาเครือเถาวัลย์มาทำเป็นเชือก เพียงไม่นานบันไดดินที่มีราวข้างหนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านต่างยิ้มให้กันเมื่อเห็นผลงานของตนเอง

“พี่ชาย ท่านลุง ท่านอา ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ขอรับว่าเหตุใดงานในวันนี้จึงเสร็จเรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะพวกเราทุกคนทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี เมื่อเกิดปัญหาเราหาหนทางช่วยเหลือกันและกัน ความใจดีมีน้ำใจแบบนี้หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงนะขอรับ ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านหลัวถงนี้” จางอี้เทาเอ่ยชมทุกคน

“อาเทา พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น หากไม่ช่วยเหลือกันและกันแล้วจะหาผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเรากันเล่า ชาวบ้านก็มีกันเพียงเท่านี้ พวกเราต้องขอบคุณสกุลจางต่างหากที่คิดถึงบุตรหลาน คิดถึงพวกเราชาวบ้าน พวกเจ้ามีอันใดก็เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่มาให้พวกเรา คนดี ๆ เช่นนี้พวกเราไม่รักษาไว้ก็โง่เขลาเต็มทีแล้ว” ชายสูงอายุคนหนึ่งกล่าว

“ข้าขอเป็นตัวแทนสกุลจางขอบคุณพวกท่านที่ไม่รังเกียจครอบครัวข้าที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ใหม่ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูต้นหญ้าหวานกันเถอะขอรับ” จางอี้เทายกมือคารวะขอบคุณทุกคนแล้วจึงเดินนำชาวบ้านไปยังดงต้นหญ้าหวาน

“ทั้งหมดตรงหน้าของพวกท่านคือต้นหญ้าหวานที่เราจะเอาไปทำเป็นน้ำตาลผักส่งไปขายให้กับหนิงอ๋อง” จางอี้เทาบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายพลางผายมือให้เห็นต้นหญ้าที่เป็นพุ่มสูงต่ำไปไกลสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มเดินไปใกล้ต้นหญ้าหวานพลางอธิบายว่าส่วนไหนที่ต้องเก็บ ส่วนไหนใช้ไม่ได้และต้องระวังอันใดบ้าง

“พวกท่านต้องระวังไม่เก็บต้นที่มีดอกนะขอรับเพราะเป็นส่วนที่ใช้ไม่ได้ จะต้องเก็บให้เป็นไปในแนวเดียวกันจากตรงนี้เป็นต้นไป ห้ามเก็บแบบกระจัดกระจายเพราะว่าเราจะควบคุมการงอกขึ้นมาใหม่ไม่ได้ เมื่อเราเก็บไปจนสุดทางแล้ว ต้องวนกลับมาจุดที่เราเก็บไปครั้งแรก ซึ่งจะพอดีกับเวลาที่พร้อมให้เราเก็บรอบใหม่ หมุนวนไปเช่นนี้” จางอี้เทาอธิบายพลางลงไปชี้ส่วนต่าง ๆ ทั้งยังตอบคำถามของชาวบ้านอย่างช้าๆ 

จางอี้เทากังวลว่าหากชาวบ้านพากันเก็บโดยไม่เป็นแนวแล้วจะทำให้การเก็บเกี่ยวในครั้งต่อไปนั้นยากขึ้น จึงวางแผนให้ชาวบ้านเก็บอย่างมีแบบแผนและจะดูเรียบร้อยกว่า ซึ่งเด็กน้อยจางอี้หมิงก็ได้แต่นึกชมบิดาในใจ

 ท่านพ่อของเขาเป็นคนที่มีแบบแผนอย่างดีเลยทีเดียว

บัณฑิตหนุ่มแจ้งให้ชาวบ้านทราบว่าทางบ้านสกุลจางจะรอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่และคนที่มีสัญญาจ้างในเมืองเสร็จสิ้นสัญญาก่อน อีกหกวันข้างหน้าสกุลจางจึงจะพร้อมให้ชาวบ้านนำต้นหญ้าหวานมาส่งให้ ภายหลังอีกสองวันจากนั้นจึงค่อยมารับหัวเชื้อน้ำตาลผัก เมื่อได้รับแล้ว ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียนรู้วิธีการต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อ อีกเหตุผลที่ยังไม่สามารถทำได้ทันทีเนื่องจากเถ้าแก่หวังยังไม่ได้ส่งไหเปล่ามาให้ ดังนั้นในตอนนี้จึงยังไม่มีภาชนะพร้อมแจกจ่ายให้ทุกคน

เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ชาวบ้านและสองพ่อลูกจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง จางอี้เทาจูงมือน้อย ๆ ของอี้หมิงไปตลอดทาง พวกเขาพูดคุยกัน กระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็กที่มีนางหูและหลี่อ้ายรออยู่ 

จางอี้เทากับจางอี้หมิงเดินมาถึงบ้านพอดีกับเวลาอาหารกลางวัน กลิ่นหอมลอยฟุ้งมากระทบจมูก วันนี้หลี่อ้ายทำอาหารจานเนื้อ อี้หมิงที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินขึ้นภูเขาถึงกับตาลุกวาว เขาลุกขึ้นเดินเร็ว ๆ ไปล้างมือและมานั่งรออาหารจากมารดาอย่างใจจดใจจ่อ

ทำอย่างไรได้ เด็กก็แบบนี้แหละ ต้องกินให้มากหน่อยจะได้โตไวๆ 

อาจจะเพราะได้กินอาหารที่ดีกว่าแต่ก่อนและครบสามมื้อ อีกทั้งไม่ต้องกังวลถึงความเจ็บป่วย ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเด็กน้อยเริ่มมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมากแล้ว ไม่เหมือนเมื่อครั้งยังป่วยอยู่ที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก

“เป็นเช่นไรบ้างอาเทา ชาวบ้านคุยด้วยง่ายหรือไม่” นางหูเอ่ยถามบุตรชายหลังจากที่กินมื้อกลางวันกันเสร็จแล้ว

“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน” หลี่อ้ายเอ่ยถามย้ำอีกคน

“ชาวบ้านพูดคุยได้ด้วยดีท่านแม่ น้องหญิง ในวันนี้พวกเรายังช่วยกันทำบันไดดินเพื่อลงไปเก็บต้นหญ้าหวานด้วย น้องหญิงจำทางลาดชันที่พวกเราต้องพยายามทรงตัวให้ดีในตอนที่ต้องลงไปเก็บต้นหญ้าหวานได้หรือไม่ ต่อไปพวกเราไม่ต้องระวังตนเองเหมือนเช่นที่ผ่านมาแล้ว ชาวบ้านช่วยกันทำบันไดดิน มีราวจับทำให้เดินขึ้นลงได้สะดวกสบายยิ่ง”

“ข้าให้ชาวบ้านเริ่มเอาต้นหญ้าหวานมาส่งหลังจากที่นายช่างเหอได้เริ่มสร้างบ้านไปแล้วหนึ่งวัน ซึ่งก็คือในอีกหกวันข้างหน้านี้ เพราะในวันแรกพวกเราควรได้อยู่ดูแลการสร้างบ้านก่อน อีกอย่างหมิงเอ๋อร์ยังต้องไปหาซื้อวัตถุดิบสำคัญในการมาทำหัวเชื้อน้ำตาลผักด้วย” จางอี้เทาเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้มารดากับภรรยาได้รับฟัง

“ข้าดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะท่านพี่ ในที่สุดพวกเราจะมีบ้านที่แข็งแรงเสียที เงินเรามีพอจ่ายค่าสร้างบ้านหรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายถาม นางเป็นกังวลในส่วนนี้พอสมควร

“ครอบครัวเรามีเงินพอจ่ายค่าสร้างบ้านจากการขายผ้าปักกับถุงหอมของน้องหญิง ถึงแม้จะไม่พอ แต่รายได้จากการขายน้ำตาลผักให้กับหนิงอ๋องคงพอ น้องหญิงไม่ต้องเป็นห่วง หากมีสิ่งใดที่ตัดสินใจไม่ได้ ท่านพ่อบุญธรรมคงช่วยได้” จางอี้เทาเอ่ยปลอบใจภรรยาเสียงนุ่ม

“เถ้าแก่หลินช่างเป็นคนดีจริง ๆ ต่อไปพวกเจ้าต้องเคารพและกตัญญูต่อท่านให้มาก รู้หรือไม่” นางหูเอ่ยเตือนบุตรชายและหลานตัวน้อย

สำหรับหูไป๋หง แล้วความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญ และนางอยากส่งต่อมันให้จางอี้หมิง สำหรับนางที่เป็นย่าแล้วนั้น การได้เห็นหลานชายเติบโตอย่างดีเป็นสิ่งที่ปรารถนามาตลอด

“ข้าทราบแล้วขอรับท่านแม่ จริงสิน้องหญิง พรุ่งนี้พี่กับ หมิงเอ๋อร์ตกลงกันว่าจะเข้าไปในเมืองไห่ถังเพื่อหาวัตถุดิบทำหัวเชื้อ ครอบครัวจางไม่มีอันใดทำเป็นพิเศษ เช่นนั้นท่านแม่กับน้องหญิงอยากเข้าไปในเมืองเดินดูตลาดและซื้อของบ้างหรือไม่ น้องหญิงจะได้ไปคุยกับร้านขายผ้า เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าหากมีผ้าปักอีกก็ให้นำไปขายที่ร้านได้เลย น้องหญิงอาจจะมีหนทางหารายได้อีกทางก็เป็นได้” 

จางอี้เทาเห็นว่าช่วงระหว่างนี้ไม่มีสิ่งใดให้ทำมากนัก เห็นสมควรที่จะพามารดาและภรรยาไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองบ้าง ตั้งแต่ย้ายมาที่หลัวถง ครอบครัวจางยังไม่เคยได้ไปเที่ยวเดินตลาดเลย ตัวเขาเองกับบุตรชายถึงแม้จะเข้าไปในเมืองหลายครั้ง แต่ก็เป็นการตรงไปซื้อของทันที

“พวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูกไปกันเถอะ ข้ายังต้องคอยพลิกกลับต้นหญ้าสายรุ้งอีก อีกอย่างข้าแก่แล้ว อยากอยู่พักผ่อนที่บ้านมากกว่า” นางหูเอ่ยปฏิเสธ

“น้องหญิง อยากไปหรือไม่เล่า” จางอี้เทาคว้าเอวภรรยามาโอบกอดไว้หลวม ๆ จ้องมองใบหน้าฮูหยินตนเองด้วยสายตารักใคร่ลึกซึ้ง

“ข้าอยากไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างที่ท่านพี่ว่า บางทีข้าอาจจะมีวิธีสร้างรายได้อีกทางในงานที่ข้ารักและถนัดเจ้าค่ะ ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก” หลี่อ้ายเอ่ยตอบแล้วได้แต่เขินอาย นางหลบสายตาสามีพลางก้มหน้ามองต่ำ ในใจนึกชมสามีของตนเอง เขาช่างดีต่อนางยิ่งนัก 

จางอี้เทาดีเช่นนี้จะให้นางไม่รักมากได้เช่นไร ต่อให้ต้องลำบากมากกว่านี้ หากสามียังเอ็นดูและรักใคร่ หลี่อ้ายก็พร้อมที่จะร่วมฝันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน

“ท่านพ่อท่านแม่หวานกันอีกแล้ว ข้าไม่อยู่ขัดขวางความสุขของพวกท่านแล้ว ท่านย่า ไปนอกบ้านกันเถอะขอรับ”

จางอี้หมิงเหม็นกลิ่นคนมีความรักจึงชวนนางหูออกไปนอกบ้าน หญิงชราได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับหลานชายตามคำชวน

“ย๊าห์”

ออกมาด้านนอกยังไม่ทันได้ก้าวเดินไปไหน เสียงใครสักคนสั่งให้รถม้าหยุดก็ส่งผลให้สองย่าหลานมองผู้ที่เดินทางมาด้วยความสงสัย

“หมิงเอ๋อร์ นั่นมิใช่รถม้าของเถ้าแก่หวังหรือไม่” นางหูใช้มือบังแสงแดดอ่อน ๆ ก่อนที่จะเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า

“ใช่แล้วขอรับ เป็นรถม้าของเถ้าแก่หวังแน่นอน แต่เหตุใดถึงมาเวลานี้อีกแล้ว เถ้าแก่หวังมาหาเวลานี้เมื่อไหร่ มีแต่เรื่องทั้งนั้น” เด็กน้อยตอบท่านย่าและเปรยออกมาด้วยความสงสัย

“คารวะฮูหยินจาง หมิงหมิงน้อยสบายดีหรือไม่” เป็นคนขับรถม้าของเถ้าแก่หวังกระโดดลงมาจากรถม้า อาคุนเอ่ยทักทายสองย่าหลานที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“อย่าได้มากพิธี หมิงเอ๋อร์ ย่าไปพลิกกลับหญ้าสายรุ้งก่อนนะ” นางหูตอบรับและแยกตัวออกไป

“ขอรับท่านย่า” อี้หมิงตอบท่านย่าและหันไปกล่าวกับอาคุน “ข้าสบายดีขอรับ เหตุใดพี่อาคุนถึงมาในเวลานี้เล่าขอรับ”

“เถ้าแก่หวังให้ข้ามาแจ้งพวกเจ้าให้เข้าไปในเมืองพรุ่งนี้ ข้าจะมารับพวกเจ้าเอง หนิงอ๋องต้องการพบคนที่คิดค้นน้ำตาลผักกับเกลือผักในยามอู่ (11.00 – 12.59)” อาคุนกล่าวธุระ

“หนิงอ๋องต้องการพบพวกข้าหรือขอรับ...”

“โอ้ ข้าเกือบลืมไปว่าเถ้าแก่บอกให้บ้านสกุลจางเตรียมทำอาหารหนึ่งรายการเพื่อมอบให้กับหนิงอ๋องด้วย” อาคุนยกยิ้มก่อนจะขอตัวลากลับอย่างเร็วเมื่อเอ่ยธุระเสร็จ

จางอี้หมิงถึงกับอ้าปากค้าง เขาพอจับใจความได้อยู่หรอกแต่พี่อาคุนจะไม่มาไวไปไวไปหน่อยหรือ 

“ช้าก่อนพี่อาคุน” เด็กน้อยรีบร้องเรียก

“มีอันใดหรือหมิงหมิงน้อย”

“ไม่ทราบว่าพี่อาคุนจะมารับพวกข้ายามไหนขอรับ”

“คงจะเป็นยามซื่อ (09.00 – 10.59) เจ้าถามทำไมหรือ”

“ข้าขอรบกวนพี่อาคุนมารับในยามเฉิน (07.00 – 08.59) ได้หรือไม่ขอรับ ข้ากับท่านพ่อต้องการซื้อวัตถุดิบบางอย่างที่ร้านเถ้าแก่หวัง รวมถึงจะได้มีเวลาเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารสำหรับหนิงอ๋องด้วย” จางอี้หมิงอธิบายถึงเหตุผลที่คนขับรถม้าสมควรมารับครอบครัวจางเวลาเช้ากว่าเดิม

“ได้ ข้าจะมารับเจ้าตามเวลาที่เจ้าแจ้งไว้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” อาคุนเมื่อได้แจ้งข่าวสารเรียบร้อยแล้วจึงจากไป ทิ้งให้จางอี้หมิงส่ายหน้าช้า ๆ อย่างนึกขบขัน

ท่านพี่อาคุนมาไวไปไวยิ่งกว่าประกันภัยที่โลกเก่าเสียอีก

เมื่อมองรถม้าที่วิ่งหายไปจนลับสายตาแล้ว เด็กน้อยจึงเดินไปช่วยนางหูทำงาน เมื่อเสร็จแล้วสองย่าหลานก็ชวนกันไปริมลำธารเพื่อเก็บผักบุ้งสำหรับมาทำอาหารมื้อเย็นวันนี้ ก่อนจากไปจางอี้หมิงไม่วายตะโกนบอกบิดามารดาจากนอกบ้าน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากับท่านย่าจะไปริมลำธารนะขอรับ”

เขาไม่รอให้บุพการีตอบกลับมา สองเท้ารีบเดินไปสมทบกับท่านย่าของตนเอง แล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปยังลำธารทันที

ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากับท่านย่าเปิดโอกาสให้ขนาดนี้

จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่าก็ตามใจท่านละนะ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ