เมื่อรถม้าคันงามของเถ้าแก่หวังเลี้ยวพ้นหน้าบ้าน ทุกคนในบ้านสกุลจางก็ถึงกับเข่าอ่อน นั่งลงแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
จางอี้หมิงถึงกับไม่มีกะจิตกะใจจะทำอาหารจากปูตัวใหญ่ที่เขาสู้อุตส่าห์ลงทุนไปจับมากับมือ ก่อนหน้านี้เด็กชายคิดถึงสารพัดรายการอาหารจากปู ไม่ว่าจะเป็นปูนึ่งน้ำจิ้มรสเด็ดหรือปูผัดเครื่องเทศ แต่พอได้ฟังเถ้าแก่หวังแจ้งเรื่องสำคัญแล้ว อารมณ์จะกินปูจึงหายไปเสียหมด
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ามีความเห็นเป็นเช่นไรบ้าง” จางอี้เทาเป็นผู้ทำลายความเงียบ เขาเอ่ยถามบุตรชายที่ตอนนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านพ่อ ข้ายังคิดอันใดไม่ออกเลยขอรับ ทั้งที่โอกาสมาเยือนเราถึงหน้าประตูบ้านแล้วแท้ ๆ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยเสียงอ่อนล้า เขาคิดไม่ตกเอาเสียเลย
“อาเทา หมิงเอ๋อร์ พวกเจ้าปรึกษากันไปก่อนนะ แม่ขอตัวไปทำอาหารมื้อเย็นก่อน แม่คงช่วยอันใดพวกเจ้าไม่ได้” นางหูบอกบุตรชายและหลานชาย สถานการณ์แบบนี้นางคงช่วยอะไรไม่ได้ สตรีชราเยี่ยงนางคงทำได้แค่เพียงไปเตรียมอาหารไว้ให้สมาชิกในครอบครัว
“ขอรับท่านแม่”
“ขอรับท่านย่า ข้าจับปูตัวใหญ่ได้หลายตัวเชียว ท่านย่าเอาไปทำอาหารได้เลยนะขอรับ” อี้หมิงว่าก่อนจะถามต่อ “ท่านย่ารู้วิธีปรุงอาหารจากปูหรือไม่ขอรับ”
“ย่าทำไม่เป็นหรอกหมิงเอ๋อร์ แต่ถ้าแค่ต้มหรือนึ่งอย่างง่าย ๆ ย่าพอทำได้”
“เช่นนั้นท่านย่าก็เอาปูไปนึ่งเถอะขอรับ ส่วนรายการอาหารจากปูอย่างอื่น ข้าค่อยสอนท่านย่าทีหลัง ช่วงนี้ข้ากับท่านพ่อคงต้องคิดหาวิธีให้ออกเกี่ยวกับเรื่องของเถ้าแก่หวัง เรื่องอาหารคงต้องรบกวนท่านย่าแล้วขอรับ” จางอี้หมิงสรุปเสร็จสรรพ เขาคงไม่มีเวลาไปสอนวิธีการทำปูได้ในสองสามวันนี้
“ท่านพี่ ได้เก็บหญ้าสายรุ้งมาหรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“พี่วางมันไว้อยู่นอกประตูบ้าน เจ้าถามทำไมหรือ”
“ข้าจะเอาหญ้าสายรุ้งไปล้างทำความสะอาดและตากแดดเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงหญิง คงช่วยอันใดมากไม่ได้ ข้าคงช่วยงานพวกนี้ได้เพียงเท่านี้เจ้าค่ะ”
“น้องหญิงอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ทุกคนในครอบครัวเราต่างก็ช่วยเหลือกันทั้งนั้น น้องหญิงไปเถอะ พี่จะนั่งปรึกษาหารือกับหมิงเอ๋อร์อยู่ตรงนี้แหละ” จางอี้เทาเอ่ยให้กำลังใจภรรยาเสียงนุ่ม เขายิ้มปลอบใจหลี่อ้ายอย่างชื่นชม
ภรรยาของเขาเก่งมากแล้ว งานอันใดที่ทำได้นางไม่เคยเกี่ยง สมแล้วที่เขาเลือกมาเป็นคู่ชีวิตและมารดาของหมิงเอ๋อร์
“ท่านพ่อ ข้าอยากรับใบสั่งซื้อนะขอรับ แต่เราจะต้องสร้างบ้านให้เสร็จก่อนฤดูหนาวนี้มาถึง แรงงานเป็นปัญหาสำคัญสำหรับเราในตอนนี้ขอรับ ใบสั่งซื้อสามารถรอได้ แต่บ้านรอไม่ได้ ข้าขอตั้งสติสักครู่นะขอรับ”
อี้หมิงให้ความสำคัญกับเรื่องบ้านเป็นอันดับแรก เพราะถ้าหากว่าไม่สามารถผ่านฤดูหนาวไปได้ ต่อให้มีใบสั่งซื้อมากมาย มีเงินไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
สองพ่อลูกสกุลจางนั่งจมอยู่กับความคิด พวกเขาปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปนานหลายเค่อ ก่อนที่อยู่ ๆ จะพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ข้านึกออกแล้ว/พ่อนึกออกแล้ว”
จางอี้หมิงมองหน้าบิดา ตาก็กระพริบปริบ ๆ ช่างบังเอิญจริงที่อุทานออกมาพร้อมกันเช่นนี้ แต่แล้วอี้หมิงก็เลือกที่จะให้บิดาได้กล่าวความคิดออกมาก่อน
“เชิญท่านพ่อก่อนขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ หรือเราจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ของเจ้า เถ้าแก่หลินไห่ เรามีเงินที่จะได้จากการขายน้ำตาลผักให้หนิงอ๋องเป็นจำนวนที่แน่นอนอยู่แล้ว หรืออาจจะขอรับเงินมัดจำล่วงหน้ามาก่อนเพื่อเอามาจ่ายค่าสร้างบ้าน เช่นนี้เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องบ้านที่จะสร้างแล้ว และยังได้ทำน้ำตาลผักส่งให้หนิงอ๋องด้วย เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันขอรับ อีกอย่าง ท่านพ่อจำได้หรือไม่ที่ข้าเคยบอกเรื่องกลุ่มการค้าซึ่งเป็นวิธีที่เมืองสวรรค์ใช้ทำการค้ากันน่ะขอรับ ข้าว่าข้าจะเอาวิธีการของเมืองสวรรค์มาใช้ที่นี่ขอรับ”
“พ่อจำได้ ที่หมิงเอ๋อร์เคยบอกว่าจะสร้างกลุ่มการค้าขึ้น แต่พ่อยังไม่รู้ว่าต้องทำเช่นใด มันยุ่งยากและทำได้ง่ายหรือไม่” อี้เทาขยับนั่งตัวตรง รอฟังบุตรชายอธิบายอย่างตั้งใจ
“ท่านพ่อ การทำงานด้วยตนเองมันทั้งเหนื่อยและเปลืองเวลา เราเพียงเป็นผู้บริหาร คอยควบคุมกลุ่มการค้าอยู่ห่าง ๆ บ้านสกุลจางของเราไม่จำเป็นต้องเป็นคนติดต่อขายสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง เพราะว่าเรายังไม่มีอำนาจ ไม่มีผู้สนับสนุน ไม่มีคนงานให้ใช้สอย ดังนั้น การเป็นผู้ผลิตจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับเราขอรับ”
“ถ้าหากเรารวมกลุ่มกันขึ้นมาแล้วแบ่งหน้าที่ให้กับคนที่เหมาะสมกับงาน เช่นนี้ นอกจากงานจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วแล้ว กลุ่มการค้าของเรายังมีอำนาจในการต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านราคา จำนวนสั่งซื้อ หรือระยะเวลาในการผลิตสินค้าด้วยขอรับ”
“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเราต้องให้ชาวบ้านได้มีงานทำ มีรายได้ที่ดีขึ้น เมื่อถึงเหตุการณ์ที่ต้องเสียผลประโยชน์ ชาวบ้านจะเป็นกำลังสำคัญให้กับตระกูลจางของเราขอรับ”
จางอี้หมิงคิดใช้วิธีการเป็นพ่อค้าคนกลางเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ ในเมื่อเขาไม่มีแรงงาน ไม่มีเงินจ้างคน การแบ่งงานกันทำและคอยเป็นเสือนอนกินจะดีที่สุด เขาถือคติกินน้อย ๆ แต่กินนาน ๆ นอกจากนี้ยังป้องกันการกลั่นแกล้งและความอิจฉาได้อีกทางหนึ่งด้วย
“อืม น่าสนใจยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นเมืองสวรรค์ อันใดก็ดูเป็นวิธีการที่เยี่ยมยอดเหลือเกิน” จางอี้เทาเอ่ยชมเมืองสวรรค์ไปหลายที
“แต่ว่าท่านพ่อขอรับ เรื่องนี้บ้านสกุลจางของเราทำเองไม่ได้ เพราะพวกเราเพิ่งมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงได้ไม่นาน เราสมควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านปู่ซุนผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าว่าท่านปู่ซุนต้องเห็นด้วยและยินดีเป็นแน่ขอรับ”
“อันนี้พ่อเห็นด้วย ลำพังเพียงบ้านสกุลจางของเราคงไม่สามารถทำได้ แล้วหมิงเอ๋อร์มีแผนการเช่นใดบ้างเล่า”
“ข้าวางแผนการไว้เช่นนี้ขอรับ............” จางอี้หมิงเริ่มเล่าความคิดของตัวเองออกมาให้บิดาที่นั่งฟังอยู่ได้เข้าใจ เขาพูดถึงมุมมองและขั้นตอนอย่างฉะฉาน แนวความคิดและการอ่านเรื่องแยบยลเสียจนจางอี้เทาถึงกับต้องจ้องมองเด็กน้อยด้วยสายตาพิจารณา
เด็กชายตรงหน้านี้เป็นบุตรชายของเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่ อี้หมิงยังเป็นเด็กอายุเพียงห้าขวบปีจริงหรือ เหตุใดบุตรชายของเขาถึงแก้ไขปัญหายาก ๆ เช่นนี้ได้ในเวลาเพียงไม่นาน นอกจากนี้ยังวางแผนได้อย่างดีเยี่ยมด้วย
“ท่านพ่อ หน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม เขาเล่าแผนการตั้งแต่ต้นจนจบให้บิดาฟังแล้ว แต่เหมือนกับว่าบิดาจะสติล่องลอยไปไกล ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเสียแล้ว
“มะ ไม่มีหมิงเอ๋อร์ พ่อเพียงแปลกใจเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงได้มีความคิดความอ่านได้เฉกเช่นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้”
“โธ่ ท่านพ่อขอรับ นึกว่าเรื่องอันใด ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าท่านเทพพาข้าไปเที่ยวที่เมืองสวรรค์ ข้าก็จำมาอีกที สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในหัวของข้าเอง ข้าหารู้ไม่ว่าเหตุใดถึงคิดได้ สงสัยท่านเทพจะประทานพรให้เป็นแน่ ว่าแต่นี่ยังไม่เย็นมาก พวกเราไปบ้านซุนกันเถอะขอรับ”
จางอี้หมิงถึงกับเหงื่อออกไม่น้อย ทั้งที่เคยบอกครอบครัวไปแล้ว แต่ดูเหมือนตัวเขาจะยังมีข้อชวนให้สงสัยมากมาย แต่จะทำยังไงได้เล่า ถ้าเขาไม่คิดให้ไว เวลาเพียงสองวันคงไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหานี้แน่
“ไปสิ เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ไปบอกท่านย่ากับท่านแม่นะว่าพวกเราจะไปบ้านซุนกัน” จางอี้เทาตอบตกลงไปบ้านซุนทันที เขาเองก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
จางอี้หมิงรับคำ เขาเดินไปบอกนางหูซึ่งทำอาหารอยู่ในส่วนครัวแล้วเตรียมจะหันไปบอกมารดา ทว่าหลี่อ้ายยังไม่กลับมาจากการล้างต้นหญ้าหวาน
“หมิงเอ๋อร์จะไปบ้านซุนเช่นนั้นหรือ รอย่าสักประเดี๋ยว ฝากเอาไส้อ่อนทอดหมาล่าไปฝากบ้านซุนด้วย ย่าจำได้ว่าหมิงเอ๋อร์อยากให้บ้านซุนได้กินของอร่อย กลับจากบ้านซุนแล้วจะได้กินข้าวกัน วันนี้มีไส้อ่อนทอดหมาล่ากับปูนึ่ง หมิงเอ๋อร์ต้องเจริญอาหารเป็นแน่” นางหูเอ่ยบอกรายการอาหารสำหรับมื้อเย็นวันนี้ให้หลานชายฟังพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณขอรับท่านย่า ข้ากับท่านพ่อจะรีบไปรีบกลับนะขอรับ”
“รีบไปเถอะ ขอให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จนะ ย่ากับแม่เจ้าจะรออยู่ที่บ้านนี่แหละ” นางหูอวยพรให้หลานชายและยื่นจานใส่ไส้อ่อนทอดหมาล่าให้เด็กน้อยถือไว้
จางอี้หมิงรับจานอาหารมาถือไว้แล้วหันหลังเดินกลับไปหาบิดา พวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกเดินทางไปบ้านสกุลซุนทันที
สองพ่อลูกสกุลจางใช้เวลาไม่นานก็เดินมาจนถึงบ้านสกุลซุน จางอี้เทาส่งเสียงเรียกอยู่สองสามที เจียวเม่ยจึงออกมาเปิดประตูและนำทั้งสองคนเข้าไปในบ้านซึ่งมีซุนถงกับซูเย่นั่งสานเครื่องใช้ในบ้านอยู่ เมื่อทั้งคู่เห็นว่าอี้เทากับอี้หมิงมาหา จึงได้วางมือและเดินมานั่งยังโถงบ้านเพื่อพูดคุยด้วย
บัณฑิตและเด็กชายกล่าวทักทายเจ้าบ้านด้วยมารยาทที่ดี เสร็จแล้วจางอี้หมิงจึงยื่นจานไส้อ่อนทอดหมาล่าให้กับซุนถง
“ท่านปู่ขอรับ ท่านย่าทำอาหารชนิดใหม่ให้ข้านำมาฝากขอรับ อันนี้เรียกว่าไส้อ่อนทอดหมาล่า มีรสชาติเผ็ดร้อนนิดหน่อย แต่อร่อยมากขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายอาหารในจานให้ฟัง
“หมิงหมิงน้อย อาหารจานเนื้ออีกแล้ว บ้านข้าเกรงใจท่านย่าของเจ้ายิ่งนัก” ซุนถงเอ่ยออกไปแต่ก็ยื่นมือออกไปรับจานใส่อาหารเช่นกัน
“ท่านปู่อย่าได้เกรงใจเลยขอรับ ในตอนที่บ้านจางเดือดร้อนก็ได้บ้านสกุลซุนช่วยเหลือ เพียงเท่านี้ไม่เป็นอันใด จริงไหมขอรับท่านพ่อ” จางอี้หมิงตอบอย่างสุภาพและหันไปถามความเห็นบิดา
“ใช่แล้วขอรับท่านลุงถง อย่าได้เกรงใจไปเลย ที่ข้าสองคนพ่อลูกมาในวันนี้ก็มีเรื่องมาปรึกษาท่านลุงถงกับท่านพี่เย่อีกแล้วขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยสนับสนุนคำพูดของบุตรชาย พลางเกริ่นถึงเรื่องที่พวกเขาตั้งใจมาหาบ้านจางด้วย
“เช่นนั้นสกุลซุนของเราต้องขอบใจบ้านสกุลจางมากที่มีน้ำใจแบ่งปันอาหารอร่อยเช่นนี้มาให้ อาเย่ เจ้าเอาอาหารจานนี้ไปเก็บและเอาน้ำมาให้อาเทากับหมิงหมิงน้อยด้วย” ซุนถงส่งจานอาหารที่หอมติดจมูกให้บุตรชาย กลิ่นของไส้อ่อนทอดหมาล่าหอมจนเขาอยากจะลองชิมเสียเดี๋ยวนี้ หากไม่ติดว่าบ้านสกุลจางมีธุระจะปรึกษาหารือด้วย
ซุนซูเย่รับจานอาหารมาถือไว้และนำเอาไปเก็บตามที่บิดาบอก เขาไม่ลืมหยิบขันไม้มาตักน้ำดื่มยื่นให้สองพ่อลูกสกุลจาง
“ขอบคุณขอรับ” อี้เทากับอี้หมิงเอ่ยขอบคุณพลางยกขันไม้ขึ้นจิบน้ำเล็กน้อย
“ไหน เจ้ามีเรื่องอันใดที่ต้องการสอบถามข้าหรือ” ซุนถงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกวางขันไม้ลงแล้ว
“เรื่องมันเริ่มจากตรงที่เถ้าแก่หวัง คนที่รับน้ำตาลผักไปขาย เขามาหาข้าในวันนี้หลังจากที่ข้ากับหมิงเอ๋อร์มาส่งลี่เอ๋อร์ที่บ้านแล้ว เถ้าแก่หวังเล่าให้ข้าฟังว่า...”
จางอี้เทาเป็นคนเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มตั้งแต่เถ้าแก่หวังมาหาเพื่อสั่งซื้อน้ำตาลผักจำนวนมาก เหตุเพราะหนิงอ๋องแห่งกองกำลังเหลียงอันของแคว้นเหลียงได้ทำการติดต่อขอซื้อน้ำตาลผักผ่านมาทางเถ้าแก่หวัง
ทางด้านเถ้าแก่ไม่สามารถให้คำตอบกับหนิงอ๋องได้เพราะเขาเป็นเพียงคนขายเท่านั้น จึงได้รีบมาปรึกษากับบ้านสกุลจางและจะมาฟังคำตอบในอีกสองวันที่จะมารับน้ำตาลผักรอบหน้า รวมถึงปัญหาการสร้างบ้านของสกุลจางและแรงงานที่ต้องใช้ในการทำน้ำตาลผัก เนื่องจากมีระยะเวลาจำกัดเพียงสองเดือนเท่านั้น เพราะอีกหนึ่งเดือน กองกำลังเหลียงอันต้องเร่งเดินทางกลับแคว้นให้ทันก่อนฤดูหนาวมาเยือน
“พวกเจ้าคงอยากจะรับใบสั่งซื้อไว้แต่ก็ติดที่ต้องสร้างบ้านและแรงงานที่จะมาช่วยในการทำน้ำตาลผักใช่หรือไม่” ซุนซูเย่เอ่ยถามขึ้น
“ใช่แล้วขอรับท่านพี่เย่ สำหรับเรื่องสร้างบ้านข้าคิดว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัญหาใหญ่ที่บ้านจางประสบอยู่คือแรงงานที่จะมาช่วยในการทำน้ำตาลผักขอรับ ในตอนที่อยู่เมืองหลวง ท่านพ่อของข้าพอจะสอนการทำการค้ามาบ้าง ข้าจึงอยากจะมาเสนองานให้กับชาวบ้านหลัวถงของเรา ไม่ทราบว่าท่านลุงถงจะเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
จางอี้เทาเป็นผู้เจรจาในครั้งนี้ เพราะก่อนที่จะมาบ้านซุนนั้น จางอี้หมิงได้อธิบายวิธีการต่าง ๆ ให้เขาฟังจนเข้าใจหมดแล้ว และการให้บ้านซุนเข้าใจว่าวิธีนี้มาจากจางอี้เทา ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษามาก่อน ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการให้อี้หมิงเป็นผู้อธิบาย
“เสนองานเช่นนั้นหรือ แล้วมันเป็นเช่นไรเล่า” ซุนถงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง
“ข้าจะสร้างกลุ่มการค้าหลัวถงขึ้นมาขอรับ เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำการค้าของชาวบ้านหลัวถงเท่านั้น เราไม่รับคนนอกหมู่บ้านเพราะน้ำตาลผักที่สกุลจางขอข้าคิดค้นขึ้นมาได้ก็เพราะต้นหญ้าหวานที่มาจากบนภูเขา ดังนั้นชาวบ้านก็ควรมีสิทธิ์ได้ใช้ต้นหญ้าหวานในการหาเงินด้วยเช่นกัน”
“หนิงอ๋องต้องการสั่งซื้อน้ำตาลผักจำนวนหนึ่งแสนไห มีระยะเวลาในการทำสองเดือน ชาวบ้านที่ต้องการมีรายได้สามารถทำน้ำตาลผักมาขายให้กับกลุ่มการค้าหลัวถง”
“กลุ่มการค้าหลัวถงเช่นนั้นหรือ เป็นความคิดที่ดี ชาวบ้านจะได้มีรายได้ แล้วชาวบ้านต้องทำอย่างไรบ้างเล่า” ซุนถงถามต่อ
“สมาชิกหรือชาวบ้านจะต้องขึ้นไปเก็บต้นหญ้าหวานบนภูเขาเพื่อนำมาให้บ้านจางจำนวนสองจินแลกกับหัวเชื้อน้ำตาลผักหนึ่งไห ซึ่งชาวบ้านสามารถเอาไปต้มเป็นน้ำตาลผักที่พร้อมส่งขายได้จำนวนหนึ่งร้อยไห ข้าจะสอนวิธีการต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อน้ำตาลให้กับชาวบ้านทุกคนก่อนที่จะนำไปทำจริง”
“บ้านจางขายน้ำตาลผักให้กับเถ้าแก่หวังในราคาไหละ สิบสองอีแปะ สมาชิกเมื่อทำน้ำตาลผักแล้ว ต้องเอามาส่งให้ที่ทำการกลุ่มการค้าเพื่อลงบันทึกจำนวนที่ขาย แต่บ้านสกุลจางเป็นผู้คิดค้นสินค้าตัวนี้คิดมา จึงควรได้สิทธิ์ในฐานะที่เป็นผู้คิดค้น บ้านสกุลจางจะคิดค่าสูตรจำนวนไหละสองอีแปะต่อการขายทุกไห และคิดค่าหัวเชื้อไหละยี่สิบอีแปะ ชาวบ้านไม่ต้องนำเงินมาลงทุนเพียงแต่ลงแรงเท่านั้น เมื่อกลุ่มการค้าหลัวถงขายสินค้าและได้รับเงินมาแล้ว ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะถูกหักไปตามที่ข้าได้แจ้งไว้ และทุกหนึ่งไหจะต้องหักเงินจำนวนหนึ่งอีแปะเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางขอรับ”
“เหตุใดชาวบ้านถึงต้องถูกหักเงินตั้งหนึ่งอีแปะเพื่อเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางด้วยเล่า” ซุนซูเย่ถามด้วยความสงสัย
“ตอบท่านพี่เย่ เพราะเงินจำนวนหนึ่งอีแปะจะถูกนำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางของกลุ่มการค้าตามชื่อที่ตั้งไว้ขอรับ ยกตัวอย่างเช่น เงินจำนวนนี้อาจจะนำไปสร้างสถานศึกษา จัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน หรือสมาชิกคนไหนมีเรื่องเดือดร้อน จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน สามารถมาทำการกู้ยืมเงินจากกลุ่มการค้าได้ก่อน เมื่อต้องการคืนเงิน ก็สามารถคืนเป็นเงินหรือเป็นสินค้าได้ขอรับ”
“โอ้ เป็นความคิดที่ดี เช่นนี้เจ้าพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้ง่ายกว่านี้หรือไม่ บางทีชาวบ้านอาจจะยังไม่เข้าใจ” ซุนซูเย่เอ่ยถามอีกครั้งเพราะเขาไม่รู้หนังสือหรือพวกการคิดคำนวณต่าง ๆ ความคิดจึงล่าช้าไปบ้าง
“ได้ขอรับท่านพี่เย่ ชาวบ้านได้น้ำหัวเชื้อน้ำตาลผักไปหนึ่งไห เขาจะทำน้ำตาลผักได้หนึ่งร้อยไห ราคาขายไหละสิบสอง อีแปะ เช่นนั้นชาวบ้านจึงขายได้จำนวนหนึ่งพันสองร้อยอีแปะ หรือหนึ่งตำลึงกับอีกสองร้อยอีแปะ หักค่าหัวเชื้อจำนวนยี่สิบ อีแปะ ค่าสูตรบ้านสกุลจางสองร้อยอีแปะ ค่าส่วนกลางหนึ่งร้อย อีแปะ รวมรายการหักเป็นสามร้อยยี่สิบอีแปะ ดังนั้นชาวบ้านจึงจะเหลือเงินที่ได้จริง ๆ จำนวนแปดร้อยหกสิบอีแปะ ต่อการต้มน้ำตาลผักหนึ่งครั้ง”
“ได้มากถึงเพียงนั้นเลยหรือ และยังไม่ต้องนำเงินมาลงทุนสักอีแปะด้วย” ซุนซูเย่ร้องตะโกนออกมาอย่างลืมตัว
“ขอรับ หากสมาชิกบ้านไหนทำมากก็ได้มากตามจำนวนที่ทำได้ หนิงอ๋องจะทำการสั่งซื้อสินค้าจากกลุ่มการค้าหลัวถงอีกนาน ตราบใดที่พวกเขายังไม่สามารถปลูกผักหาอาหารได้เองในแคว้นของพวกเขา ดังนั้น สมาชิกของกลุ่มการค้าหลัวถงจะมีอาชีพทำไปตลอด ที่สำคัญ บ้านสกุลจางมีสูตรอาหารอีกมากมายที่จะนำมาให้ชาวบ้านทำเพื่อเป็นสินค้าต่อไป ข้าจึงต้องมาสอบถามความเห็นของท่านลุงถง ท่านมีความเห็นเช่นไร” จางอี้เทาสรุปรายละเอียดทั้งหมดให้ครอบครัวซุนฟัง
หลังจากนั้นเขาจึงนั่งเงียบเพื่อรอฟังคำตอบ เวลาผ่านไปไม่นาน ซุนถงก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของจางอี้เทาและยังบอกอีกว่าวันพรุ่งนี้ตอนเช้า จะเรียกประชุมชาวบ้านทุกคนเพื่อสอบถามความเห็น เนื่องจากวันมะรืนต้องให้คำตอบกับเถ้าแก่หวังแล้ว
เมื่อการเจรจาเสร็จเรียบร้อย สองพ่อลูกสกุลจางจึงขอตัวกลับและกล่าวว่าจะกลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เมื่อถึงเวลาประชุม อี้เทาและอี้หมิงรีบกลับบ้าน พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาและภรรยาได้รับฟังในขณะทานอาหาร
หลังจากกินข้าวมื้อเย็นเสร็จแล้ว จึงพากันแยกย้ายเข้านอนและหลับไปพร้อมกับความวิตกกังวลถึงความคิดเห็นของชาวบ้าน
จางอี้หมิงคิดมากจนถึงกับนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาอยู่นาน แต่สุดท้ายก็หลับได้ในที่สุด อาจจะเพราะร่างกายยังเป็นเด็กจึงต้องการการพักผ่อนให้เพียงพอ
.
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาที่หัวหน้าหมู่บ้านได้แจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เสียงเคาะเกราะดังไปทั่วหมู่บ้านหลัวถง เสียงเคาะเกราะมีหลายจังหวะ โดยเสียงจังหวะนี้บ่งบอกว่ามีเรื่องแจ้งให้ทราบมิใช่เรื่องร้ายแรงหรือเตือนภัยอันใด
รอเพียงไม่ถึงสองเค่อ ชาวบ้านจึงมารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้านซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมและการเฉลิมฉลองต่าง ๆ
ซุนถงลุกขึ้นประกาศแจ้งให้กับชาวบ้านได้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ตามที่ได้รับฟังมาจากจางอี้เทาเมื่อวานนี้ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านสรุปความได้แล้ว ชาวบ้านที่ในตอนแรกต่างก็นั่งนิ่งตั้งใจฟัง ก็พากันส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา
บ้านสกุลจางและบ้านสกุลซุนไม่ได้ขัดการปรึกษาหารือของชาวบ้านแต่อย่างใด พวกเขาปล่อยให้ชาวบ้านได้ปรึกษากันอย่างเต็มที่ ทั้งสองบ้านได้แต่รออย่างใจเย็นเท่านั้น
“เช่นนั้นหมายความว่าพวกข้าไม่ต้องไปช่วยสกุลจางสร้างบ้านแล้วใช่หรือไม่ และอาเทายังจะสอนหนังสือให้บุตรหลานของชาวบ้านอยู่หรือไม่” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“ข้าได้ลั่นวาจาไปแล้วก็จะทำตามที่ได้รับปากไว้ขอรับ ไม่แน่ว่าหลังจากที่ขายน้ำตาลผักทั้งหมด เงินส่วนกลางที่ได้แบ่งไว้อาจจะเพียงพอให้หมู่บ้านของเราจ้างอาจารย์ในเมืองมาสอนประจำที่หมู่บ้านได้ พวกเราเพียงช่วยกันสร้างสถานศึกษาขึ้นมาเท่านั้น และค่าจ้างของอาจารย์ก็หักเอาจากค่าส่วนกลาง เช่นนี้พวกท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร พอใจหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยตอบและถามไปด้วยในคราวเดียวกัน
“ข้าพอใจยิ่ง”
“ข้าพอใจมาก”
“ข้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี”
“....”
“.....”
“พวกเจ้าทั้งหลายมีความเห็นอื่นอีกหรือไม่” ซุนถงถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าการหารือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“ท่านหัวหน้า แต่ข้าไม่เห็นด้วย สกุลจางจะไม่เอาเปรียบพวกเราเกินไปหรือ พวกเขาคิดค่าสูตรน้ำตาลผักตั้งสองร้อยอีแปะต่อครั้ง และอีกยี่สิบอีแปะในการซื้อหัวเชื้อ ทั้งที่บ้านสกุลจางไม่ได้ลงแรงทำอันใดเลย เป็นพวกข้าที่ต้องขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานมาให้บ้านสกุลจาง และยังเป็นพวกข้าที่ต้องต้มน้ำตาลผักอีก”
ชายคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบห้าปีคัดค้าน เขามีชื่อว่า หลวนซาน เป็นชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้
“ตอบน้องชายท่านนี้ สกุลจางของเราเป็นคนคิดสูตรการทำน้ำตาลผักขึ้นมา และยังเป็นคนเจรจาการค้ากับเถ้าแก่หวัง ต่อมาสามารถได้รับใบสั่งซื้อจากกองกำลังเหลียงอันจนสามารถนำงานมาแบ่งให้ชาวบ้านหลัวถงได้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้เกิดขึ้น สกุลจางไม่มีความดีความชอบเลยเช่นนั้นหรือ”
“สกุลจางของข้าไม่จำเป็นต้องรับใบสั่งซื้อ เพียงทำน้ำตาลผักออกไปขายให้เถ้าแก่หวังดังเช่นปกติ พวกเราก็ไม่มีความเดือนร้อนอันใด แต่เพราะบ้านสกุลจางของข้าต้องการตอบแทนบุญคุณหมู่บ้านหลัวถง ที่ครั้งหนึ่งในยามที่พวกข้าเดือนร้อนก็ได้พวกท่านให้การช่วยเหลือ”
เมื่อบ้านสกุลจางจะร่ำรวยมีรายได้ ข้าจึงอยากให้ชาวบ้านทุกคนมีรายได้และร่ำรวยไปด้วยกัน สกุลจางทำผิดเช่นนั้นหรือ ขอพวกท่านโปรดตรองดูเถิด” จางอี้เทายกมือคารวะและตอบคำถามด้วยความสุขุม เขาใช้โทนเสียงที่อบอุ่นแฝงไปด้วยความจริงใจ
“ที่อาเทาพูดมาก็ถูก ถึงสกุลจางไม่แบ่งส่วน แบ่งงานให้กับพวกเราก็ไม่ผิดอันใด แต่นี่พวกเขาช่างกตัญญูรู้คุณยิ่ง หากข้าสามารถหาเงินได้ครั้งละเกือบหนึ่งตำลึง เพียงแค่ลงแรงเท่านั้น ไม่ได้ใช้แรงอันใดมากมาย งานก็สบายกว่าไปทำงานในเมืองอีก ข้าเห็นด้วย ไม่มีข้อคัดค้านอันใด” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย
“ข้าก็เห็นด้วย พวกเรายังต้องขอบคุณบ้านสกุลจางถึงจะถูก สกุลจางคิดถึงบุตรหลานของเรา หรือพวกเจ้าไม่อยากให้บุตรหลานของพวกเจ้าได้รับการศึกษา หรือพวกเจ้ามีเงินมากมายส่งบุตรหลานพวกเจ้าไปเรียนในเมืองได้เอง ในอนาคต หมู่บ้านหลัวถงอาจจะมีบัณฑิตสักคนก็เป็นได้” ชาวบ้านอีกคนเสริม เขาเห็นด้วยและรู้สึกมีความหวังขึ้นมา
“ข้าก็เห็นด้วย ข้าอยากให้ลูกชายข้าได้เรียนหนังสือ ข้ายินดีทำตามข้อตกลงทุกอย่าง” ชาวบ้านคนที่สามพูดขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ชาวบ้านอีกหลายคนก็เสนอความคิดเห็นส่วนมากเห็นด้วยกับข้อเสนอของบ้านสกุลจาง คงมีแต่เพียง หลวนซานคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย เขายังคงคิดว่านี่เป็นการเอาเปรียบเกินไป
“พวกเจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก ปล่อยให้สกุลจางหลอกใช้ แทนที่จะขายเอง ได้กำไรทั้งหมด แต่นี่ถึงกับยอมก้มหัวให้กับคนมาใหม่ สำหรับข้าแล้ว จะไม่ยอมถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวยของสกุลจางเป็นแน่” หลวนซานตะโกนและชี้หน้าด่ากราดชาวบ้านไปทั่ว จนซุนถงทนไม่ไหวเอ่ยตำหนิหลวนซานไปตรง ๆ
“อาซาน ในเมื่อเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของบ้านสกุลจางเช่นนั้นก็อย่าได้เอาเท้าราน้ำ ไม่มีใครบังคับให้เจ้าต้องทำตาม ในเมื่อเจ้าไม่เห็นด้วยก็เพียงไม่ทำเท่านั้นเอง”
“ท่านหัวหน้า ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะโง่งมและเห็นดีเห็นงามไปกับสกุลจาง สำหรับข้า สกุลจางอย่าได้มาเอาเปรียบเชียว” หลวนซานพูดเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความฉุนเฉียว
“นี่เจ้า...” ซุนถงถึงกับส่ายหน้าพูดไม่ออก ลูกบ้านคนนี้ของเขาเหตุใดถึงมองไม่เห็นความจริงใจของสกุลจางที่พยายามช่วยเหลือชาวบ้านอยู่กันนะ
หวังว่าสักวันเจ้าจะเข้าใจนะ อาซาน
เมื่อได้ข้อสรุปจากชาวบ้านว่ายินดีทำตามข้อเสนอของบ้านสกุลจางแล้ว อี้หมิงกับอี้เทาจึงหันมาสบตากันพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เช่นนั้นวันที่เถ้าแก่มารับน้ำตาลผัก พวกเขาจะเข้าไปในเมืองเพื่อเข้าพบเถ้าแก่หลินไห่เกี่ยวกับการสร้างบ้านอีกที และยังหวังว่าจะสามารถทำเกลือผักออกมาจำหน่ายได้อีกหนึ่งสินค้าด้วย
จางอี้หมิงยิ้มหวานแต่ก็แอบยกมือปาดเหงื่อ เขาลุ้นระทึกและกังวลไม่น้อย แต่ในเมื่อผลออกมาดีตามคาดก็ค่อยเบาใจ คงนอนหลับสนิทได้สักทีในคืนนี้
หวังว่าต่อไปคงจะไม่เจอปัญหาอะไรใหญ่ๆ อีกนะ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?