ตอนที่ 57 สิ่งที่ไม่คาดคิด

ตั้งแต่หิมะแรกของปีตกลงมาในวันนั้น ถือเป็นการบ่งบอกว่าฤดูหนาวมาเยือนแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ ผ่านไปแล้วสามเดือน ก็ไม่มีทีท่าว่าหิมะจะหยุดตกและไม่มีทีท่าว่าฤดูหนาวจะหมดสิ้นไป ทั้งที่ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือน ฤดูกาลผิดเพี้ยนยาวนานเกินกำหนดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

        อาหารและเชื้อเพลิงที่ชาวบ้านหลัวถงสะสมไว้เริ่มร่อยหรอ แต่มิใช่กับครอบครัวจาง เนื่องจากจางอี้หมิงได้สะสมไว้อีกมากในอาคารของกลุ่มการค้าหลัวถง แต่อี้หมิงลืมไปหนึ่งอย่างนั้นคือ เขามัวแต่กังวลเรื่องอาหารแต่ลืมนึกถึงเรื่องเชื้อเพลิง ดังนั้นหากฤดูหนาวยังลากยาวออกไปอีก ครอบครัวจางก็อาจจะเกิดภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงได้เช่นกัน

“หมิงเอ๋อร์ นี่คือสิ่งที่เจ้าวิตกกังวลเมื่อหลายเดือนก่อนใช่หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่ไปดูต้นผักมาแล้ว

        “ขอรับท่านพ่อ ข้ากลัว กลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ตามที่ข้าฝันถึง” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาเสียงสั่นไหว เด็กน้อยเดินไปนั่งลงบนตักจางอี้เทาหวังยึดเอาอ้อมกอดของบิดาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในตอนนี้

        จางอี้เทาโอบกอดเอาบุตรชายตัวน้อยไว้พลางลูบหลังอย่างปลอบโยน ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงเรียกอยู่หน้าบ้าน หลี่อ้ายจึงไปเปิดประตูและนำชายคนหนึ่งกลับเข้ามาในบ้านด้วย

        “ท่านพี่เย่ เกิดอันใดขึ้นถึงทำให้ท่านมาหาข้าในสภาพอากาศเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าแขกที่มาหาในยามนี้เป็นซุนซูเย่ บุตรชายของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน หลี่อ้ายรีบเดินไปนำชาผักมาให้กับซุนซูเย่ได้ดื่มแก้หนาว

        “อาเทา ท่านพ่อฝากข้ามาแจ้งข่าวและปรึกษาหารือกับเจ้า เรื่องฤดูหนาวที่ยาวนานเกินไปนี้”

ซุนซูเย่รับชาผักจากฮูหยินของน้องชาย เขากล่าวขอบคุณเล็กน้อยก่อนที่จะตอบคำถามของจางอี้เทา

“ท่านพี่ซูเย่ ข้ากับหมิงเอ๋อร์ก็กำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่พอดีขอรับ” จางอี้เทาตอบ

        “ท่านลุงเย่ ท่านปู่ถงยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงซึ่งยังนั่งอยู่บนตักของบิดาเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

        “หมิงหมิงน้อย ท่านพ่อเป็นกังวลกับเรื่องความฝันของเจ้าเมื่อหลายเดือนก่อน ท่านพ่อนึกเสียใจที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำเตือนของเจ้า มาถึงตอนนี้จึงได้แค่ปวดใจเพียงเท่านั้น”

        “มิใช่ความผิดของท่านลุงถงหรอก ท่านพี่เย่ คงไม่มีใครคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ข้าคิดว่าที่ท่านพี่เย่มาหาข้าในวันนี้คงไม่ได้มีเพียงแค่ความวิตกกังวลเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยปลอบใจชายหนุ่มตรงหน้า

        “ชาวบ้านเริ่มขาดแคลนอาหารและเชื้อเพลิง มีบางคนได้เข้าไปในเมืองเพื่อหวังว่าจะมีอาหารขายบ้างแต่ก็คว้าน้ำเหลว เพราะในเมืองอาหารขาดแคลนไปได้หลายวันแล้ว มากไปกว่านั้นยังมีข่าวประกาศแจ้งเรื่องโจรที่ออกปล้นเสบียงแพร่สะพัดไปทั่ว ท่านพ่อจึงให้ข้ามาเตือนบ้านสกุลจางให้ระวังไว้ด้วย” ซุนซูเย่เล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

        “ท่านพี่เย่ จริงหรือขอรับที่ในเมืองมีโจรออกปล้นและอาหารเริ่มขาดแคลนแล้ว แล้วทางการไม่ทำอันใดเลยหรือ ท่านเจ้าเมืองไม่หาทางช่วยเหลือพวกเราเช่นนั้นหรือ” จางอี้เทาได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความตกใจ ในคราแรกเขาเพียงคิดว่าเกิดเพียงปัญหาขาดแคลนอาหารเท่านั้น มิคิดว่าจะถึงกับมีโจรออกมาปล้นด้วย

        “จริง มีชาวบ้านที่เสี่ยงเข้าเมืองมาแจ้งให้พ่อข้าฟัง ชาวบ้านโชคดีที่ได้เงินจากการขายเกลือผักและน้ำตาลผักบางส่วนสามารถสะสมอาหารและเสบียงไว้ได้ในฤดูหนาวนี้ ข้ามิอยากคิดเลยว่าถ้าไม่มีเงินจากกลุ่มการค้าหลัวถง ชาวบ้านจะเดือนร้อนเพียงไหน คงมีเสบียงไม่พอถึงวันนี้เป็นแน่” ซุนซูเย่เอ่ยชมความดีของบ้านจางที่เห็นแก่ชาวบ้าน

        “ท่านลุงเย่ แต่ถ้าหากหิมะยังไม่หยุดตก ฤดูหนาวยังลากยาวนานออกไป มิใช่ว่าอาหารที่ชาวบ้านสะสมไว้จะไม่เพียงพอหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลยิ่งกว่าเดิม

        “ถูกแล้วหมิงหมิงน้อย อาหารไม่พอพวกเรายังพออดได้หลายวัน แต่ถ้าเชื้อเพลิงหมดลง นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าไม่อยากจะคิดต่อไปเลย” ซุนซูเย่ตอบ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมด้วยความเครียด

        จางอี้หมิงหวนคิดไปถึงความฝันของเขา มันช่างน่ากลัวและติดตามาจนถึงทุกวันนี้ เขาจะทำเช่นไรถึงจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวตนเองและชาวบ้านให้พ้นฤดูหนาวไปได้

        คิดสิคิดจางอี้หมิง มันพอจะมีหนทางใดบ้าง

        “ท่านลุงเย่ ที่ทำการกลุ่มการค้าหลัวถง ข้าได้สะสมเสบียงอาหารไว้มากพอที่จะช่วยชาวบ้านทุกหลังได้อีกอย่างมากเพียงห้าวันเท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่คือฟืนขอรับ ข้ามิได้ตุนไว้เลย แล้วเราจะทำเช่นไรกันดีขอรับ” 

        “หมิงหมิงน้อย เจ้าถึงกับใจดีจะมอบอาหารให้กับชาวบ้านเช่นนั้นหรือ” ซุนซูเย่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดในสถานการณ์เช่นนี้ครอบครัวสกุลจางจึงยังคิดแบ่งปัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอันใดกับชาวบ้านก็ได้ แต่ครอบครัวนี้ยังคงคิดถึงชาวบ้านก่อนเสมอ ลูกบ้านเช่นนี้ เพื่อนบ้านเช่นนี้ หากชาวบ้านไม่รักษาไว้ก็เกินทนแล้ว

        “ท่านพี่เย่ ข้าสร้างกลุ่มการค้าหลัวถงขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าบุตรชายของข้าจะมีความคิดเห็นเช่นไร บ้านจางพร้อมสนับสนุนหมิงเอ๋อร์ทุกอย่าง” จางอี้เทาเอ่ยด้วยเสียงดังชัดเจนถึงเจตนารมณ์ของสมาชิกครอบครัวจาง

        “ท่านลุงเย่ นอกจากเรื่องอาหารและเชื้อเพลิงแล้ว หวังว่าชาวบ้านคงไม่เริ่มล้มป่วยลงนะขอรับ” จางอี้หมิงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เมื่อเข้าฤดูหนาว ไข้หวัดมักจะแพร่ระบาดด้วย

        “หมิงหมิงน้อย เจ้าพูดถูก ชาวบ้านเริ่มอ่อนแอและเป็นไข้หวัดมากขึ้น บางครอบครัวเป็นกันทุกคนเพราะติดกันภายในครัวเรือน แต่ก็ไม่สามารถไปหาหมอหรือยาสมุนไพรมารักษาตนเองได้ หิมะตกหนักเช่นนี้การเดินทางช่างลำบาก ท่านหมอผิงก็ไม่มียาสมุนไพรตุนไว้อยู่เลย ที่มีก็ขายออกไปหมดแล้ว” 

        “โอ้ ปัญหานี้ร้ายแรงจริง ๆ ไหนจะเรื่องเสบียงอาหาร เชื้อเพลิงและยังมีเรื่องยารักษาโรคเข้ามาอีกด้วย ข้าเกิดมาอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยเจอปัญหาภัยหนาวที่ร้ายแรงเช่นนี้มาก่อนเลย” นางหูนั่งฟังการสนทนามานานแล้วจึงเอ่ยออกความเห็นขึ้นมา

        “ท่านแม่ ยังมีปัญหาเรื่องโจรด้วยเจ้าค่ะ หวังว่าโจรจะไม่ออกมาปล้นแถวบ้านนอกเช่นหมู่บ้านของเรานะเจ้าคะ” หลี่อ้ายออกความเห็นเช่นกัน

        “ข้าใจไม่ดีเลยที่ได้ยินข่าวเช่นนี้ถึงแม้ไม่มีสงคราม ตอนนี้ก็มิต่างอันใดกับพวกเรากำลังทำสงครามอยู่เลยนะ” นางหูเปรยเบา ๆ 

        “ข้าล่ะสงสารเด็กตัวเล็ก ๆ เป็นที่สุด เด็กทุกคนในหมู่บ้านเป็นหวัดกันทั้งนั้น ผู้ใหญ่ยังอดทนได้ แต่เด็กตัวเล็กเพียงนั้นจะทนอากาศหนาวได้นานเท่าใดกันเชียว” ซุนซูเย่ยังมีเรื่องปรับทุกข์เพิ่มมาอีกเรื่อง

        “นั่นสิ เด็กเล็กคงทรมานน่าดู” หลี่อ้ายเปรยออกมาบ้าง 

        ระหว่างที่ซุนซูเย่ปรึกษากับบ้านจางอยู่นั้น สองหมิงก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาถึงในบ้านที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่

        “นายน้อย นายน้อยขอรับ” หมิงจูเดินเข้ามายืนตัวตรงอยู่ตรงเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักของบิดาแล้วเอ่ยรายงานข่าวด้วยความตื่นเต้น

        “พี่อาจู มีอันใดหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

        วิ่งกันเข้ามาเช่นนี้ คงมิใช่ว่าแปลงผักมีปัญหาอีกใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นล่ะแย่แน่นอน เพราะเขาจะเจอปัญหาทุกทาง ได้คิดหาทางแก้หนักแน่

        “ท่านอาจารย์เทียนให้ข้ามาแจ้งนายน้อยว่าต้นกล้าที่เราเพาะเมื่อต้นฤดูหนาวปีนี้ลงปลูกในรางไม้ไผ่แล้วไม่ตาย มันโตขึ้นมากแล้วขอรับ” หมิงจูเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโดยไม่ทันได้สังเกตบรรยากาศอันตึงเครียดของทุกคนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่แม้แต่น้อย

เนื่องจากสำหรับชาวแคว้นเหลียงแล้วอากาศหนาวเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ การที่เห็นผักงอกและรอดตายจากฤดูหนาวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นหมายความว่าแคว้นเหลียงก็มีโอกาสปลูกผักได้เช่นกัน

เด็กน้อยได้ฟังดังนั้นก็เบาใจ อย่างน้อยก็วางใจไปได้หนึ่งเรื่อง

“เป็นข่าวดีจริง ๆ ด้วย แต่ว่าพี่อาจู รบกวนไปแจ้งแก่ท่านอาจารย์เทียนขอยกเลิกการทดลองการปลูกผักไว้เพียงเท่านี้ได้หรือไม่ ข้าอยากจะขอฟืนที่เตรียมไว้สำหรับให้ความอบอุ่นในโรงปลูกผักมาแจกให้ชาวบ้านแทนได้หรือไม่ขอรับ”

จางอี้หมิงคิดถึงฟืนจำนวนมากที่เก็บไว้ที่บ้านของท่านอาจารย์เทียน ฟืนที่มีไว้สำหรับการปลูกผักนั้นอาจมากพอ

        “นายน้อย ข้าคงให้คำตอบไม่ได้เพราะการปลูกผักให้รอดเป็นภารกิจที่ข้ากับท่านอาจารย์เทียนได้รับมอบหมายมา อีกอย่าง มันเกี่ยวพันถึงเรื่องการสืบทอดตำแหน่งองค์รัชทายาทของท่านอ๋องด้วย มิใช่ว่าข้านิ่งดูดาย แต่ข้าตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ” หมิงจูก้มหน้าตอบคำถามด้วยความไม่สบายใจ

เหตุใดเขาจะไม่รู้ถึงความผิดปกติของฤดูหนาวที่ลากยาวนานขนาดนี้ แต่นั่นเป็นปัญหาของแคว้นฉิน เขาเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยคงไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นแน่

“เช่นนั้นข้ากับท่านพ่อจะไปพบท่านอาจารย์เทียนที่บ้านวันพรุ่งนี้ รบกวนพี่อาจูแจ้งท่านอาจารย์ให้ด้วยนะขอรับ”

จางอี้หมิงฝากความถึงท่านอาจารย์เทียน พวกเขาจะลองไปปรึกษาและหาทางออกของเรื่องนี้กัน อย่างน้อยอาจารย์เทียนเกิดและเติบโตในแคว้นเหลียงที่สภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี อาจจะมีวิธีรับมือฤดูหนาวที่ยาวนานนี้ก็เป็นได้

“ขอรับ” หมิงจูเอ่ยรับคำแล้วจึงขอตัวจากไป

        “อาเทา หมิงหมิงน้อย เจ้าลองเอาไปคิดดูว่ามีทางไหนที่พอจะแก้ปัญหานี้ได้บ้าง ข้าจะแจ้งให้ท่านพ่อรับรู้ไว้ว่าเจ้ามีเสบียงให้ชาวบ้านเพียงพอสำหรับห้าวัน แต่คงจะยังไม่แจ้งชาวบ้านให้รู้ คิดว่าคงรอให้ถึงวิกฤตจนสุดหนทางแก้แล้วค่อยว่ากันอีกที อย่าลืมเรื่องเชื้อเพลิงและยารักษาโรคด้วยเล่า” ซุนซูเย่เอ่ยฝากความหวังไว้กับบ้านจางก่อนจะขอตัวจากไป

        “ท่านย่า ข้าว่าพวกเราสมควรขนอาหารและเสบียงลงไปเก็บไว้ห้องลับนะขอรับ เป็นการป้องกันไว้ก่อน พรุ่งนี้เมื่อข้าไปพบท่านอาจารย์เทียน ข้าจะขอให้พี่สองหมิงมาช่วยขนด้วยขอรับ”

        “หมิงเอ๋อร์ พ่อเห็นด้วยนะกับความคิดนี้ เรามิรู้ว่าจะโชคร้ายเมื่อไหร่ ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีโจรในบ้านนอกเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยสนับสนุนความคิดของบุตรชาย

        “ท่านพี่ลืมอันใดไปหรือไม่เจ้าคะ หากในเมืองไม่มีสิ่งใดให้ปล้นแล้วข้าว่าพวกโจรก็คงลามออกมาที่ชนบทเป็นแน่ อย่างน้อยในแต่ละหมู่บ้านก็ยังพอมีบ้านผู้มีอันจะกินอยู่ไม่น้อย” หลี่อ้ายถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อคิดตามคำพูดของตนเอง

        “ท่านพ่อ หรือว่าข้าสมควรออกไปหาอาหารในป่าหรือตรงชายหาด อย่างน้อยข้าอาจจะเจอสิ่งที่พอจะช่วยชาวบ้านและครอบครัวเราได้ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยถามบิดาด้วยความตั้งใจแน่วแน่

        “ไม่ได้หมิงเอ๋อร์ อากาศข้างนอกนั้นหนาวถึงเพียงนั้น ตัวเจ้าหรือก็เล็กเพียงเท่านี้ แม่ไม่ยอมให้เจ้าออกไปเสี่ยงเป็นแน่” หลี่อ้ายปฏิเสธเสียงแข็ง

        “ท่านแม่ ถึงแม้ว่าเราจะมีอาหาร แต่ฟืนเป็นปัญหาของเรานะขอรับ หากหิมะยังไม่หยุดตกเช่นนี้ มิใช่แต่เพียงชาวบ้านที่เดือนร้อน ครอบครัวเราก็เดือดร้อนเช่นกัน” จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายให้มารดาฟังอย่างใจเย็น

เขารู้ว่ามารดาเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงทุกคนเช่นกัน บางทีการที่เขามาเกิดใหม่ในร่างนี้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่คิดไว้ อาจจะเป็นความต้องการของใครสักคนก็เป็นได้

        “พรุ่งนี้หมิงเอ๋อร์จะไปคุยกับท่านอาจารย์เทียนมิใช่หรือ ฟืนที่บ้านท่านอาจารย์เทียนคงเพียงพอให้เราใช้ไปจนหมดฤดูหนาว” หลี่อ้ายยังมิยินดีให้บุตรชายไปเสี่ยงอยู่เช่นเดิม

        “ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ พี่อาจูบอกอย่างชัดเจนถึงภารกิจของเขา การปลูกผักมันสำคัญกับหนิงอ๋อง สำคัญกับคนแคว้นเหลียง ถ้าหากว่าท่านอาจารย์ไม่ช่วยเหลือเรา พวกเราก็บังคับท่านอาจารย์ไม่ได้ ฟืนพวกนั้นพี่สองหมิงก็เป็นผู้ที่หามาไว้” 

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของบุตรชาย หลี่อ้ายก็อับจนหนทางที่จะคัดค้าน แต่ด้วยใจไม่ยินยอมจึงได้กล่าวตอบไปว่า

        “เช่นนั้นก็รอให้ไปคุยกับท่านอาจารย์เทียนเสียก่อน เรายังไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะตอบว่าเช่นไร หลังจากนั้นค่อยมาคิดกันอีกทีเถอะ” หลี่อ้ายตอบบุตรชายก่อนที่จะเดินหนีเข้าไปในห้องของตนเอง

นางห้ามน้ำตาของตนเองไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้แล้ว นางไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เป็นบุตรชายที่ต้องแบกรับไว้บนบ่าน้อย ๆ นั้น บุตรชายนางเด็กถึงเพียงนี้ นางไม่อยากสูญเสียหรือเห็นหมิงเอ๋อร์นอนป่วยไม่ได้สติเหมือนเมื่อครึ่งปีก่อน นางรับไม่ไหวจริง ๆ

 ใครจะว่านางเห็นแก่ตัวนางก็ไม่เถียง เหตุใดไม่ให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายรับผิดชอบไป เหตุใดต้องเอาปัญหามาวางไว้บนบ่าของบุตรชายนางด้วย

จางอี้เทาเห็นภรรยาเดินหนีเข้าห้องไปจึงยกตัวบุตรชายให้นั่งลงบนเก้าอี้ บอกเด็กน้อยว่าจะเข้าไปดูมารดาให้เอง จางอี้เทาจึงเดินตามภรรยาเข้าไปในห้องแล้วกล่าวปลอบใจกันอยู่นาน

ทางด้านจางอี้หมิงได้แต่นั่งเอามือเท้าคางไว้บนโต๊ะ ในหัวของเด็กชายตอนนี้คิดหาหนทางแก้ไขปัญหานี้ไม่หยุด

จะทำอย่างไรดี หากปล่อยไว้เช่นนี้วิกฤตหนักแน่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ