หิมะยังตกอย่างต่อเนื่องแม้จะเริ่มบรรเทาเบาบางลงบ้างแล้ว ระหว่างทางที่จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินเท้าไปบ้านซุนเพื่อร่วมประชุมกับเหล่าชาวบ้านตามที่หัวหน้าหมู่บ้านได้กล่าวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จางอี้เทาจึงเอ่ยถามบุตรชายถึงต้นลูกหนาม
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ารู้จักต้นลูกหนามมาจากเมืองสวรรค์ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ ที่เมืองสวรรค์เรียกต้นลูกหนามว่า ต้นปาล์ม ชาวสวรรค์เอาต้นลูกหนามมาใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำน้ำมันสำหรับการทำอาหาร ก็คือการทอดที่ข้าสอนท่านย่าทำไส้อ่อนทอดหมาล่าเช่นไรเล่าขอรับ ใช้ในการดื่มเพื่อสุขภาพ และที่สำคัญสามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมายเลยนะขอรับ”
“นี่เจ้าคงจะคิดสินค้าตัวใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่” จางอี้เทาเย้าบุตรชาย ไม่รู้ว่าหัวน้อย ๆ นั้นคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
“ใช่แล้วขอรับ ข้าไม่กลัวที่ชาวบ้านบ้านอื่นจะรู้เรื่องลูกหนามใช้แทนเชื้อเพลิง เพราะถึงเช่นไรชาวบ้านก็คงทำสินค้าออกมาแบบข้าไม่ได้ในเร็ว ๆ นี้ อีกอย่าง ข้าอยากให้เมืองไห่ถังเจริญดังเช่นเมืองหลวงด้วยขอรับ”
“ก็ดีนะที่เจ้าเป็นคนดีคิดได้เช่นนี้ แต่เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าท่านอาจารย์เทียนกับสองพี่น้องหมิงไม่มารบกวนบ้านเราเลย แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มารับอาหารด้วยเช่นกัน” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัยในพฤติกรรมของอาจารย์เทียนอี้และทหารของแคว้นเหลียง
“ท่านอาจารย์คงลำบากใจในการพบกับพวกเราหลังจากที่ปฏิเสธความช่วยเหลือในครั้งนั้น แต่ข้าเข้าใจท่านอาจารย์นะขอรับท่านพ่อ ในบางครั้งภารกิจของแคว้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเอาความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ข้าไม่เคยโกรธท่านอาจารย์เลย เพราะทุกเหตุการณ์มักมีสองด้านเสมอ หากในมุมมองของแคว้นเหลียง ปัญหาของแคว้นฉินหาใช่ความรับผิดชอบของแคว้นเหลียงไม่” จางอี้หมิงอธิบายให้บิดาฟังถึงความในใจของเขา
“พ่อเข้าใจ” จางอี้เทายิ้มให้กับบุตรชายด้วยความภูมิใจ
อายุเพียงห้าขวบ แต่คิดได้ถึงเพียงนี้นับว่าหลักแหลมมาก จางอี้หมิงจะต้องเติบโตขึ้นอย่างดีพร้อมแน่นอน
ในส่วนของการปลูกผัก เด็กน้อยสอนทุกอย่างให้กับท่านอาจารย์และสองหมิงได้รู้ทุกขั้นตอนแล้ว รวมทั้งการทำปุ๋ยไข่ด้วย ดังนั้นเขาจึงนับว่าไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก หากการปลูกผักสำเร็จแล้วแคว้นเหลียงสามารถมีผักสดกิน จางอี้หมิงก็ถือว่าตนเองทำหน้าที่ของเพื่อนร่วมโลกได้อย่างดีแล้ว
“ท่านพ่อ อย่าลืมนะขอรับ ข้ารู้จักต้นหนามมาจากหนังสือของท่านพ่อ” จางอี้หมิงหันไปเอ่ยย้ำกับบิดาให้ทำความเข้าใจตรงกันอีกครั้ง
สองพ่อลูกสกุลจางเดินมาไม่นานก็ถึงบ้านซุน ชาวบ้านต่างมารอกันอยู่แล้วทุกครอบครัว ส่วนมากเป็นหัวหน้าครอบครัวผู้ชาย มองจนทั่วแล้วมีหญิงมาร่วมประชุมไม่ถึงห้าคน
“เอาล่ะ เมื่อพวกเจ้ามากันครบแล้ว ข้ามีข่าวดีมาบอกกับพวกเจ้าทุกคน ตอนนี้พวกเราหาสิ่งที่จะทดแทนฟืนที่ขาดไปได้แล้ว แต่พวกเราต้องเก็บเรื่องเชื้อเพลิงนี้เป็นความลับ จะไม่เผยแพร่ออกไปเป็นอันขาด พวกเจ้าคงได้ยินเรื่องโจรที่ออกปล้นมาบ้างแล้ว หากเรื่องที่หมู่บ้านเรามีเชื้อเพลิงแพร่ออกไป พวกเจ้าคงคิดได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น แต่หลังจากผ่านฤดูหนาวนี้ไปแล้วก็หาเป็นอันใดไม่ ทุกคนเข้าใจหรือไม่ ต่อไปให้อาเทามาอธิบายเถิด”
ซุนถงเอ่ยย้ำกับสมาชิกในหมู่บ้านอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกคนรับคำจึงให้จางอี้เทาได้เริ่มอธิบายต่อไป
“เมื่อวานนี้ ข้ากับท่านพี่ซุนเย่และพวกท่านอีกห้าคนได้ออกไปคนหาสิ่งที่จะเอามาทำเป็นเชื้อเพลิงแล้วพวกเราก็ประสบความสำเร็จ ใครจะรู้ว่าลูกหนามที่อยู่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นรั้วแบ่งเขตแดนของหมู่บ้านหลัวถงกับหมู่บ้านถัดไปจะกลายมาเป็นเชื้อเพลิงแก้ปัญหาให้กับพวกเราได้ในตอนนี้ ท่านพี่เย่ได้ทดลองจุดไฟจากลูกหนามแล้วปรากฏว่าจุดไฟได้จริง ทั้งยังใช้ในปริมาณที่น้อยมากอีกด้วย
วิธีการง่าย ๆ คือพวกท่านจะต้องแผ้วถางทางสำหรับการไปเอาลูกหนามจากป่ามาใช้ที่บ้าน เมื่อไปถึงพวกท่านจะเห็นลูกหนามสีดำ ๆ ตกลงบนพื้นเต็มไปหมด ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นสีดำหรือเปียกไม่น่าจับ เก็บเอาลูกหนามนั้นกลับมาใช้ได้ ก่อนนำไปจุดไฟให้ทุบให้พอแหลกก่อน แต่เมื่อก่อกองไฟแล้วไม่จำเป็นต้องทุบลูกที่เหลือ เราทุบให้แหลกเพื่อเป็นหัวเชื้อเท่านั้น ในบางครั้งต้องใช้มีดตัดหนามออกเพื่อเวลาเดินผ่านจะได้ไม่ถูกหนามบาด ณ ตอนนี้ข้าคิดว่าสำหรับลูกหนามที่หล่นลงพื้นคงเพียงพอสำหรับพวกเราชาวบ้านแล้ว”
“เป็นความจริงเช่นนั้นหรือ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความยินดี
“เป็นความจริงขอรับ พวกท่านคงเห็นลูกหนามที่อยู่ตรงหน้าแล้ว มันมีลักษณะตามนี้เลยขอรับ” จางอี้เทาตอบ
“ลูกมันเล็กนิดเดียว จะจุดไฟได้นานเพียงใดเชียว” ชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเมื่อมองดูผลสีดำตรงหน้าแล้ว
“เห็นผลเล็กนิดเดียวเช่นนี้อย่าได้ดูถูกไปนะขอรับ หนึ่งลูกจุดไฟได้นานหนึ่งเค่อ แต่หากว่าจุดรวมกันหลายลูกระยะเวลาและความแรงของไฟจะเพิ่มมากขึ้น ในการทำกับข้าวใช้ไม่กี่ลูกก็เพียงพอแล้วขอรับ ต่อให้อากาศจะหนาวอีกหลายเดือน แต่ด้วยท้ายหมู่บ้านมีต้นหนามเป็นป่า พวกเราก็อยู่ได้ขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถาม
เสียงอื้ออึงปรึกษากันดังทั่วโถง จางอี้เทาปล่อยให้ชาวบ้านได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้วเขาจึงส่งสัญญาณให้ท่านปู่ถงเคาะเกราะเพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“ข้ามีคำถามมาถามพวกเจ้า ตอนนี้หมู่บ้านหลัวถงผ่านพ้นวิกฤตเรื่องเชื้อเพลิงไปแล้ว แต่ชาวบ้านหมู่บ้านอื่นและชาวบ้านในเมืองไห่ถังยังคงประสบปัญหาภัยหนาว หากไม่มีเชื้อเพลิงในเร็ววันพวกเขาก็คงไม่สามารถพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้ พวกเจ้ายินดีแบ่งปันผลลูกหนามให้กับชาวบ้านหมู่บ้านอื่นหรือไม่” ซุนถงเอ่ยอธิบายอย่างช้าและชัดเจน เพื่อให้ทุกคนได้คิดและพิจารณาตามสิ่งที่เขากำลังแจ้งเพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
“เหตุใดเราต้องแบ่งลูกหนามให้หมู่บ้านอื่นด้วย” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถาม
“เพราะถ้าหมู่บ้านหลัวถงไม่แบ่งปันให้กับหมู่บ้านอื่น คาดว่าพวกเขาคงไม่พ้นฤดูหนาวในปีนี้เป็นแน่ เจ้าคงได้ยินข่าวที่ว่าในเมืองอาหารและเชื้อเพลิงเริ่มขาดแคลนแล้ว” ซุนซูเย่เป็นคนตอบคำถามนี้
“ถ้าเราบอกหมู่บ้านอื่น พวกเขาคงมาขนเอาเชื้อเพลิงของพวกเราไปจนหมด แล้วทีนี้พวกเราจะเอาที่ไหนมาใช้กันเล่า” ชายคนหนึ่งเอ่ยค้านบ้าง
“ใช่ ๆ มิใช่ว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาดเช่นนั้นหรือ”
ชาวบ้านเริ่มแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ออกมา โดยส่วนมากแล้วก็มิยอมแบ่งปัน เนื่องจากเกรงว่าตนเองจะมีไม่เพียงพอให้ใช้แล้วจะเดือนร้อน จนซุนถงทนไม่ไหวต้องเคาะเกราะให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าถึงแม้หิมะจะตกอยู่เช่นนี้แต่ก็คงไม่นาน ข้าอายุจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยเห็นฤดูหนาวเกินห้าเดือน พวกเราอาจจะต้องอดทนอีกเพียงไม่นานเท่านั้น”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเอาอันใดมารับรองว่าฤดูหนาวจะไม่ยาวนานกว่านั้น หากท่านเทพพิโรจและไม่หายโกรธเล่า” ชาวบ้านคนเดิมยังคงตั้งคำถามขึ้นมา
“ข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าฤดูหนาวจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ แต่คนจะตายตรงหน้าแล้วพวกเจ้าสามารถช่วยได้ พวกเจ้าจะทนยืนดูเฉย ๆ ไม่ช่วยเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามชาวบ้านทุกคนที่มาร่วมประชุมในวันนี้และหันไปหาทุกคน ทว่าชาวบ้านเงียบไม่ตอบโต้อันใด พวกเขาเอาแต่ก้มหน้ามิยอมสบตา
“ข้าในฐานะที่เป็นค้นพบลูกหนามว่าสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงได้ อยากขอร้องให้ทุกคนเปิดใจยินดีที่จะช่วยชาวบ้านคนอื่น หมู่บ้านอื่นให้ผ่านพ้นภัยหนาวในปีนี้ไปด้วยกัน แต่ข้าก็จนใจเพราะลูกหนามเป็นสมบัติของชาวบ้านทุกคนในหลัวถงแห่งนี้ การจะช่วยเหลือใครควรเกิดจากความยินดีที่จะช่วยเหลือมิใช่เกิดจากการบังคับข่มขู่” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ท่านหัวหน้า มิใช่พวกข้ามิต้องการแบ่งปัน แต่การช่วยเหลือคนอื่นก็สมควรที่จะไม่ทำให้ตนเองเดือนร้อนใช่หรือไม่ หากท่านหัวหน้ารับปากพวกเราว่าเมื่อช่วยเหลือหมู่บ้านอื่นไปแล้ว พวกเราจะไม่เดือดร้อนเช่นนี้พวกข้าก็ยินดี” หลวนซานเป็นคนกล่าวคำนี้ขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากหลวนซานที่เข้าใจ” ซุนถงเอ่ยตอบ
“ข้าเข้าใจขอรับท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เพราะถ้าพวกท่านไม่ให้โอกาสข้าในครั้งนั้น ภัยหนาวในครั้งนี้บ้านข้าคงไม่สามารถผ่านมาได้” หลวนซานอธิบาย
จนป่านนี้เขาถึงกับตีอกชกหัวตนเองไปหลายทีในตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา ถ้าหากเขายังดื้อดึงแล้วคิดไม่ได้ บ้านเขาคงอดตายไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้ากับบุตรชายจะเข้าเมืองไปพบเถ้าแก่หวังแล้วให้เถ้าแก่ออกหน้าไปเจรจากับท่านเจ้าเมืองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเจ้าเมืองฟัง แล้วขอให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ดำเนินการในครั้งนี้ ไม่ต้องกล่าวอ้างถึงหมู่บ้านของเรา และเราเพียงแจ้งให้ทหารออกไปค้นหาต้นลูกหนามทั่วทั้งเมืองไห่ถังนี้ตามชายทะเล ข้าเชื่อว่าต้นลูกหนามคงไม่ได้มีเฉพาะที่หมู่บ้านหลัวถงเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นให้ท่านเจ้าเมืองประกาศออกไป ให้ทหารเข้ามาควบคุม เช่นนี้แล้วหมู่บ้านของเราก็จะไม่เดือนร้อน เพราะพวกเขาก็ไม่รู้ว่าข่าวมาจากหมู่บ้านของเรา ทุกคนเห็นเป็นเช่นไรบ้าง”
จางอี้เทาเสนอความคิดเห็นขึ้นมา เขายังจำได้เสมอที่บุตรชายบอกว่า ทำดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย แต่ถ้าหากไม่แจ้งทางการ ชาวเมืองจะต้องล้มตายเพราะภัยหนาวมากกว่านี้เป็นแน่
“ข้าเห็นด้วยกับอาเทา” ซุนซูเย่ว่า
“ข้าก็เห็นด้วย” อาห้าวพยักหน้าตาม
“ข้าก็เห็นด้วย” หลวนซานเองก็ส่งเสริมความคิดนี้ด้วย
“อย่าลืมว่าบ้านไหนที่ไม่มีผู้ชายในครอบครัว พวกเจ้าที่เป็นชายหนุ่มทั้งหลายจงเก็บลูกหนามมาเผื่อพวกนางด้วย” ซุนถงเอ่ยแจ้งให้ลูกบ้านได้เข้าใจ เพราะมีหลายครอบครัวที่มีเพียงหญิงและเด็กน้อย
เมื่อมีคนเห็นด้วยในการประชุมครั้งนี้ ซุนถงจึงสรุปให้ชาวบ้านและเริ่มไปเก็บผลลูกหนามเพื่อนำไปเตรียมไว้เป็นเสบียงเชื้อเพลิงของแต่ละบ้านให้มากที่สุด หากท่านเจ้าเมืองตกลง ทหารจะต้องเข้ามาเก็บภายในสองสามวันนี้เป็นแน่ หลังจากได้ข้อสรุปแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านและรีบไปเก็บผลลูกหนามมาสะสมไว้
วันต่อมา ณ ห้องทำงานจวนท่านเจ้าเมืองไห่ถัง เถ้าแก่หวัง จางอี้เทา และซุนถง กำลังนั่งรอเพื่อเข้าพบบุคคลที่พวกเขาต้องการมาปรึกษาหารือด้วย พ่อบ้านของจวนได้นำน้ำชามารับแขกตั้งแต่เมื่อสองเค่อก่อนหน้า
สาเหตุที่พวกเขาต้องนั่งรอนานถึงเพียงนี้เพราะว่าท่านเจ้าเมืองและคุณชายหวงต่างอยู่นอกจวน ทหารเพิ่งไปแจ้งข่าวให้ท่านเจ้าเมืองทราบไม่นาน หลังจากที่เถ้าแก่หวังได้บอกพ่อบ้านประจำจวนถึงเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าพบท่านเจ้าเมืองในวันนี้อย่างเร่งด่วน
ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ จางอี้เทาได้ไปขอร้องท่านอาจารย์เทียนเพื่อยืมม้าสองตัวนั้นเดินทางเข้ามาในเมือง จางอี้เทาไม่อนุญาตให้บุตรชายเดินทางเข้าเมืองด้วย เพราะสภาพอากาศที่ย่ำแย่และจางอี้หมิงยังเด็กเกินกว่าจะทนความหนาวระหว่างนั่งบนหลังม้าได้
ทว่ารถม้าไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากหิมะตามท้องถนนหนาแน่นเกินไป บ้านจางจำเป็นต้องอาศัยเถ้าแก่หวังเนื่องจากว่าเป็นคนเดียวที่บ้านจางรู้สึกสนิทสนมด้วย
จางอี้เทาไม่ต้องการรบกวนเถ้าแก่หลินไห่ผู้มีศักดิ์เป็นบิดาบุญธรรม มาดว่าท่านก็มีอายุมากแล้ว ไม่สมควรมาลำบากท่ามกลางดงหิมะ แต่พวกเขาจะเข้าไปเยี่ยมหลังจากที่ได้เข้าพบท่านเจ้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรื่องภัยหนาวเป็นสิ่งเร่งด่วนมากที่สุดในตอนนี้
“เจ้าว่ามีคนมาแจ้งเรื่องเชื้อเพลิงเช่นนั้นหรือ” ท่านเจ้าเมืองเดินอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยถามพ่อบ้านที่เดินตามมาด้วยกัน รวมทั้งคุณชายหวงด้วย
“ขอรับนายท่าน มีชาวบ้านหลัวถงมาขอเข้าพบนายท่านขอรับ” พ่อบ้านตอบคำถามเจ้านายอย่างนอบน้อม
“แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนเล่า”
“ข้าให้พวกเขารอพบนายท่านที่ห้องทำงานขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยตอบแล้วทั้งสามคนก็มาถึงห้องทำงานพอดี เขาจึงเปิดประตูห้องทำงานให้เจ้านายได้เดินเข้าไป
“พวกเจ้าใช่หรือไม่ที่บอกว่าหาทางแก้ไขเรื่องเชื้อเพลิงได้แล้ว” ท่านเจ้าเมืองเมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องทำงานแล้วก็นั่งลงยังเก้าอี้ของตนเองพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ก่อนจะทำท่าทางสงสัยเหมือนเพิ่งนึกอันใดออกสักอย่าง
“นี่เจ้ามิใช่บุตรชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลิน เหลาอาหารซิ่งฝูหรอกหรือ”
“เป็นข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยจางอี้เทา ที่ยืนอยู่อีกด้านคือท่านหัวหน้าหมู่บ้านหลัวถงนามว่า ซุนถง ขอรับ” จางอี้เทาและทุกคนลุกขึ้นยืน เขายกมือคารวะพร้อมเอ่ยแนะนำทุกคนให้กับท่านเจ้าเมืองได้รู้จัก
“ท่านพ่อ พี่อี้เทาเป็นบิดาของเด็กเจ้าเล่ห์คนนั้นเช่นไรเล่า ที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง” คุณชายหวงนั่งลงเก้าอี้ถัดไปจากบิดา เมื่อมองไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็จำได้ทันทีและอธิบายให้บิดาฟัง ส่วนท่านพ่อบ้านเดินไปยืนอยู่ข้างหลังท่านเจ้าเมือง
“ใช่ ข้าจำได้แล้ว พวกเจ้าก็นั่งลงก่อนเถอะ คงมีเรื่องให้พูดกันอีกนาน” ท่านเจ้าเมืองพยักหน้า เขาโบกมือและอนุญาตให้ทุกคนนั่งลงได้
“พี่อี้เทามีเหตุใดอันถึงต้องรีบมาพบท่านพ่อหรือ” คุณชายหวงเอ่ยถาม
“เรียนคุณชายหวง พวกข้าหาหนทางแก้ไขปัญหาภัยหนาวในครั้งนี้ได้แล้วขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถามด้วยความสุภาพ
“ว่าอย่างไรนะ” ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ คนพวกนี้สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้เช่นนั้นหรือ
“ขอรับ” จางอี้เทายืนยัน “พวกเราสามารถหาเชื้อเพลิงทนแทนฟืนได้ขอรับ”
“พวกเจ้าคงมิได้คิดโป้ปดในสถานการณ์แบบนี้ใช่หรือไม่”
“พวกข้าไม่อาจหักหลังความหวังของผู้อื่นแน่นอนขอรับ”
“ท่านพ่อ หากท่านพี่อี้เทายืนยันถึงเพียงนั้น ข้าเชื่อว่าเขารู้วิธีดังว่าขอรับ” คุณชายหวงกล่าวเสริม เขาเชื่อว่าชาวบ้านพวกนี้ต้องคิดค้นอะไรใหม่ๆได้แน่
และนั่นจะเป็นหนทางแก้ปัญหาเดียวที่เมืองไห่ถังมีในตอนนี้...
หากว่ามันไม่ได้ผลหรือไร้ทางอื่น
ทั่วทั้งเมืองได้ล้มตายกันหมดแน่
โปรดติดตามตอนต่อไปในเล่มที่สี่
บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง เล่ม 3 จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไรท์หวังว่าคุณรี้ดที่น่ารักทั้งหลายจะสนุกสนานกับเรื่องราวการสร้างฐานะของหมิงหมิงน้อยอย่างมีความสุข
ไรท์เพียงอยากขอรบกวนคุณรี้ด ช่วยกดหัวใจให้คะแนน และรีวิวความเห็นหลังจากที่ได้อ่านจบไปแล้ว เพื่อเป็นกำลังใจให้กับไรท์ในการพัฒนางานเขียนเรื่องต่อไปในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นค่ะ
Thank you for support.
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?