อานนท์ในร่างเจ้าตัวน้อยนามจางอี้หมิงนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมาอยู่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาพยักหน้าบอกตนเองให้ทำใจยอมรับและสุดท้ายก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงมารดาเอ่ยเรียกชื่อ
“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนนานไปแล้วนะ ลุกขึ้นมาคุยกับแม่หน่อยเถอะ”
เสียงหวานปนเศร้าปลุกให้จางอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย
“ท่านแม่...”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้างาม “รอเดี๋ยวนะ แม่ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อน”
หลี่อ้ายรีบลุกขึ้นยืน นางเดินแกมวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้บุตรชายนอนรออย่างเงียบสงบ ดวงตากลมโตมองตามร่างของนางไปจนพ้นขอบประตู ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ
เขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีที่ในตอนนี้ต้องมาทำตัวเป็นเด็กห้าขวบ ก็ไม่เท่าไรหรอก ต่างกันแค่ยี่สิบปีปีเอง...ซะที่ไหนล่ะ
เมื่อครู่แค่ตื่นมาปั้นหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ยังยากแทบแย่ จะแนบเนียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่และคอยบอกตัวเองให้ยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่อานนท์ วังศรีซ้าย แต่คือ จางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ
“หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้วจริงหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามภรรยา ในขณะที่ทั้งสองเดินตรงมายังที่ที่บุตรชายนอนอยู่
“จริงเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเห็นกับตา หมิงเอ๋อร์ยังเรียกข้าด้วย” หลี่อ้ายยืนยัน นางเดินนำสามีไปหาบุตรชายตัวน้อย
“หมิงเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” จางอี้เทานั่งลงบนฟูกนอนข้าง ๆ จางอี้หมิง ดวงตาประกายของเด็กน้อยจ้องมองมาอย่างน่ารัก เรียวปากเล็ก ๆ เอ่ยตอบบิดา
“ท่านพ่อ...ข้าไม่เป็นไรแล้วขอรับ เพียงแค่เหนื่อยเล็กน้อย”
“ดี ดีมาก ดีจริง ๆ” น้ำเสียงคนเป็นพ่อสั่นเครือด้วยความยินดี “ขอบคุณสวรรค์ที่ยังไม่พรากหมิงเอ๋อร์ไปจากครอบครัวเรา”
“หมิงเอ๋อร์ หิวไหมลูก รอแม่สักครู่นะ” หลี่อ้ายถามเสียงชื่นมื่น นางไม่รอให้เด็กน้อยตอบและหันไปบอกสามี
“ท่านพี่ไปหาน้ำมาให้หมิงเอ๋อร์ล้างหน้านะเจ้าคะ ข้าจะไปทำโจ๊กมาให้หมิงเอ๋อร์ ลูกน่าจะหิวมาก”
“ได้สิ หมิงเอ๋อร์ รอพ่อสักครู่นะ”
จางอี้เทากุลีกุจอเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับอ่างใบเล็กและผ้าสีขาว ชายหนุ่มชุบผ้าลงในน้ำสะอาด บิดเอาน้ำออกให้พอหมาดและนำมาลูบไล้ใบหน้าของบุตรชาย เขาเทียวเช็ดไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวถูกชุบน้ำรอบแล้วรอบเล่า สัมผัสผ่านแขนขาทั้งสองข้างและลำตัวอย่างอ่อนโยน เมื่อเสร็จแล้วจึงนำเสื้อผ้าออกมาสวมใส่ให้เด็กชายก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่อ้ายจึงเดินยกชามโจ๊กเข้ามา นางตั้งใจทำอาหารมื้อแรกหลังจากที่บุตรชายฟื้นให้อย่างดี น่าเสียดายที่สามารถทำได้แค่นำธัญพืชหยาบผสมกับน้ำข้าวเละ ๆ อาศัยใช้น้ำเป็นส่วนมากในชาม แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ จางอี้หมิงที่รู้สึกไม่หิว ท้องร้องขึ้นมาได้
โครก...
“ท่านพี่ ข้าจะป้อนโจ๊กหมิงเอ๋อร์ ลุกมานั่งทางนี้ก่อนเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงนุ่ม อี้เทาพยักหน้าและรีบสลับที่ให้ภรรยาได้นั่งข้างบุตรชายเพื่อป้อนโจ๊ก
“กินเยอะ ๆ นะหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายเฝ้าบอกทุกครั้งที่บุตรตัวเล็กกลืนอาหารลงท้อง เด็กน้อยกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยท่ามกลางสายตาห่วงใยของผู้เป็นพ่อแม่ อานนท์ในร่างอี้หมิงรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูก เขาอ้าปากรับโจ๊กน้ำอีกคำและอีกคำ จนในที่สุด ชามก็ว่างเปล่าโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว นางหูไป๋หงเดินถือถ้วยยาต้มตามเข้ามาด้านใน ยานี้ได้มาจากท่านหมอผิง มันจะช่วยทำให้หลานของนางแข็งแรง
“ท่านย่า ข้าหายดีแล้ว ไม่ดื่มได้หรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงชำเลืองตามองยาสีน้ำตาลที่ท่านย่าถือเข้ามาก็ถึงกับหน้าเสีย มันมีกลิ่นเหม็นเขียวจนเขาถึงกับต้องเบือนหน้าหนี เด็กน้อยอ้อนวอนสุดฤทธิ์สุดเดช แต่เมื่อลูกอ้อนใช้ไม่ได้ผลก็ร้องงอแงเสียงดังลั่น เดือนร้อนถึงจางอี้เทาต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ กว่าบุตรชายจะยอมดื่มยาต้มถ้วยนั้น
“หมิงเอ๋อร์ อมนี่ไว้ จะได้ลดขม”
ท่านย่ายื่นน้ำตาลก้อนเล็ก ๆ ให้ นางรู้ดีว่าหลานชายเกลียดการดื่มยามากที่สุด ยิ่งมองก็ยิ่งหดหู่ใจ เมื่อก่อนน้ำตาลก้อนเท่านี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวจางเลย ทว่าในตอนนี้กลับต้องไปขอจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน นางหูไป๋หงแอบเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่กำลังจะรินไหลออกมาเอาไว้
“ท่านพี่ วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่งนัก หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ข้าคิดว่าจะไปช่วยท่านพี่ทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน เราไปทำสองคนอาจจะได้ธัญพืชเพิ่ม” หลี่อ้ายพูดขึ้นก่อนจะถามความเห็นสามี
“ให้หมิงเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่ ท่านพี่เห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
“น้องหญิง แต่เจ้าไม่เคยได้ทำงานพวกนี้มาก่อน พี่กลัวว่าเจ้าจะเจ็บไข้ไปอีกคน มือของเจ้าเคยจับแต่เข็มปักผ้า จะให้ไปจับจอบจับเสียม แล้วเจ้าจะทำได้เช่นไร”
“ท่านพี่ก็ไม่เคยจับจอบจับเสียม เคยแต่จับพู่กัน เพื่อครอบครัวแล้วท่านยังทำได้ ข้าก็จะเป็นเช่นท่านพี่” เสียงหวานตอบด้วยความอ่อนโยน นางคว้ามือหนามากอบกุมเอาไว้
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หมิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้ว เราต้องการอาหาร อีกอย่าง ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าไม่ตุนเสบียงเอาไว้มาก ๆ ข้าเกรงว่าพวกเราคงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปไม่ได้ ท่านพี่ให้ข้าได้ลองไปดูก่อนเถิดนะเจ้าคะ”
“อาเทา แม่จะดูแลหมิงเอ๋อร์ให้เอง พวกเจ้าไปทำงานให้สบายใจเถอะ” หูไป๋หงพูดเสริม สายตามองมายังบุตรชายที่กำลังคิดหนัก
“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้”
สุดท้ายแล้ว จางอี้เทาก็ยินยอม เขาเองคิดมาสักพักแล้วเช่นกันว่าจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ น้องหญิง พี่ขอโทษ ข้าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง”
“ท่านพี่ อย่าได้โทษตัวเองเลยนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายกระชับมือที่กุมกันไว้
“อาเทา ไม่เป็นไรนะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” หูไป๋หงขยับไปกอดบุตรชาย สมาชิกตระกูลจางสายรองกอดกันแน่นกลมเกลียว มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามอบอุ่นหากไม่ใช่เวลาเช่นนี้
บทสนทนาที่จางอี้หมิงได้ยินทำให้เขาแอบอมยิ้ม นี่สินะคำว่าครอบครัวที่เขาไม่เคยมี แต่ยิ้มได้เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ต้องเครียดหนัก อาหารที่เพิ่งกินไปมันปราศจากซึ่งรสชาติ จืดยิ่งกว่าน้ำล้างจานแม้ว่าจะไม่เคยชิมน้ำล้างจานก็เถอะ เขาเป็นคนที่ทำอาหารมาหลายปี ได้กินไปเพียงหนึ่งชามถึงกับถอนหายใจ ยิ่งหันไปมองตัวบ้านที่อาศัยอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
ไอ้นนท์นะไอ้นนท์ เกิดใหม่ทั้งทีแต่ไม่มีของวิเศษอะไรสักอย่าง ชีวิตในโลกเก่าก็ปากกัดตีนถีบ หาทางทำให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาตลอด พอมาเกิดใหม่แล้วก็ยังต้องมาลำบากอีก แถมเป็นแค่เด็กห้าขวบ เขาจะเอาทักษะอะไรไปช่วยพ่อแม่รวมทั้งท่านย่าของร่างนี้กันล่ะ
หัวจะปวด!
“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะหายไว ๆ ต่อไปไม่ต้องซื้อยามารักษาข้าแล้ว พวกท่านดูสิ เวลาพูดข้าไม่เหนื่อย ข้าตัวเล็กนิดเดียว กินไม่เยอะ ข้าจะไปช่วยทำงานด้วยดีหรือไม่ขอรับ”
ในเมื่อไม่มีทางอื่น เขาก็ต้องอยู่ให้ได้ จางอี้หมิงลุกขึ้นและเข้าไปสวมกอดทั้งสามคน พร้อมกับคำพูดที่คิดว่าดีพอสำหรับเวลานี้
บิดามารดารวมถึงท่านย่าถึงกับผละตัวออกจากอ้อมกอดของกันและกัน แล้วรวบเอาร่างของเด็กชายตัวน้อยเข้าไปกอดไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ตัวแค่นี้ก็รู้ความเสียแล้ว ทั้งยังคิดอ่านจะช่วยเหลือครอบครัวอีก
“ตัวแค่นี้จะช่วยอะไรได้กันฮึ” หูไป๋หงเอ่ยเย้าหลานชายพร้อมกับจับจมูกโด่งงามนั้นขยับไปมาเบา ๆ
“ได้สิขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ทำไร่ ขอข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ได้ เจ้าเพิ่งฟื้นไข้วันนี้ จะออกไปตากแดดตากลมได้เช่นไรกัน รอให้หายดีเสียก่อน แล้วพ่อจะพาเจ้าไปที่ไร่ของท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วย” จางอี้เทาลูบศีรษะบุตรชาย
“พ่อว่าเจ้าต้องชอบแน่ เพราะเขามีเด็ก ๆ อายุเท่ากันกับลูกด้วยนะ”
“ไปพรุ่งนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เชื่อฟังท่านพ่อ ถ้าลูกแข็งแรงแล้วจริง ๆ ท่านพ่อจะพาลูกไปเอง อย่าดื้อ” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงดุ จางอี้หมิงถึงกับหน้ามุ่ย คอตก พาตัวเองไปล้มตัวลงนอนอย่างเงียบ ๆ
“เป็นอะไรหมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงโกรธบิดาเช่นนี้”
“เปล่าขอรับ ท่านพ่อบอกว่าให้ข้ารีบหายและแข็งแรงไวๆ ข้าจึงต้องนอนให้เยอะ ๆ เผื่อพรุ่งนี้ท่านพ่อจะให้ข้าไปที่ไร่ด้วย ข้าคิดถูกหรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยตอบเสียงซื่อ
ทั้งสามคนถึงกับเผลอยิ้มออกมากับความคิดแบบเด็ก ๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าท่าทางเช่นนั้นคืออาการต่อต้านเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นไข้และร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง จากที่กำลังงอนบิดาอยู่ดี ๆ จางอี้หมิงก็หลับไปจริง ๆ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาให้ปลอดโปร่งและเริ่มมองหาต้นตอของเสียงน่าสงสัย
เดินมาไม่นาน เด็กชายก็เห็นท่านย่าของตนเองกำลังตัดฟืนจากไม้อันเล็ก ๆ นางตัดไว้จำนวนเยอะพอสมควร
“ท่านย่า ตัดฟืนหรือขอรับ”
“อ้าว หมิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าสบายดีขอรับ แข็งแรงขึ้นมาก ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ข้าสามารถวิ่งรอบบ้านได้สามรอบเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบหญิงชรา เขาวิ่งไปรอบ ๆ ย่าของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเกินจริง
“หมิงเอ๋อร์ พอก่อน ย่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย มา ๆ ช่วยย่าเอาฟืนเข้าไปในบ้าน ย่ากำลังจะทำอาหารไปส่งให้พ่อกับแม่ของเจ้าที่ทำงานในไร่”
จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาเดินไปช่วยหูไป๋หงเก็บฟืนเข้าบ้าน นำไปวางใกล้ ๆ กับพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนครัว
“โอ้โหท่านย่า เก่งมากเลยขอรับ ท่านย่าจุดไฟได้”
จางอี้หมิงเอ่ยชม จากความทรงจำที่ได้รับมา ท่านย่าของเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยต้องทำงานหนัก เพราะเป็นฮูหยินที่ท่านปู่รักมาก ท่านย่าจึงอยู่ในเรือนอย่างสะดวกสบาย มีบ่าวรับใช้ทำให้ทั้งหมดมาโดยตลอด
เขาไม่นึกว่าท่านย่าที่ทำอันใดไม่เป็นเลยจะสามารถก่อไฟต้มข้าวเองได้
“หมิงเอ๋อร์ ประหลาดใจใช่ไหมเล่า ย่าของเจ้ายังทำอาหารได้ด้วยนะ ลูกสะใภ้หัวหน้าหมู่บ้านสอนพวกเรามากมาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อร่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ แค่มีอาหารให้กินก็ดีที่สุดแล้ว” นางตอบ
“ท่านย่ากำลังทำอันใดหรือขอรับ”
“ย่าจะทำโจ๊กธัญพืชผักป่า เมื่อวานพ่อของเจ้าได้ผักป่ามาไม่น้อย วันนี้ต้องทำไปมากหน่อย แม่ของเจ้าไปทำงานวันแรก ไม่รู้จะเป็นเช่นใดบ้าง”
“ข้าจะช่วยท่านย่าเองขอรับ” จางอี้หมิงบอกหญิงชรา เขาหันซ้ายหันขวาและเดินตรงไปที่ตะกร้าผัก
“ข้าขอเอาผักไปล้างน้ำ แต่ว่าข้าจะเอาไปล้างได้ที่ไหนหรือขอรับ” จางอี้หมิงหยิบตะกร้าขึ้นมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปล้างได้ที่ไหน
“หมิงเอ๋อร์ เดินออกไปไม่ไกล มีลำธารเล็ก ๆ ติดกับบ้านของเรา เจ้าเอาผักไปล้างที่นั่นได้ แต่ระวังหน่อยนะ ถึงแม้ว่า ลำธารจะไม่ลึก แต่อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะกลับมาเป็นไข้” นางหูไป๋หงเอ่ยเตือนหลานชายด้วยความเป็นห่วง ลำธารที่สูงแค่หัวเข่าไม่ได้น่ากลัวเท่าความเย็นจากสายน้ำ
“ท่านย่ารอข้าสักครู่นะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไปไม่นาน”
จางอี้หมิงถือตะกร้าผักขนาดเล็กเดินไปตามทางที่ท่านย่าชี้นิ้ว เขาลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ตามที่ท่านย่าได้บอกไว้ ไม่นานนักก็เจอลำธารสายเล็ก ๆ ผืนน้ำใสไหลเอื่อยมองเห็นหมู่มัจฉาตัวน้อยแหวกว่ายเลาะโขดหิน แม้มีไม้ยืนต้นไม่หนาตาเท่าใดนัก แต่ก็ช่วยให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี
ตรงริมตลิ่งเป็นบริเวณที่ราบเรียบ มีการถางหญ้าและทำแคร่ไม้ไผ่ไว้ใกล้ ๆ ซึ่งจางอี้เทาทำไว้สำหรับเป็นท่าอาบน้ำ ซักล้างต่าง ๆ หรือล้างผัก เด็กชายตัวน้อยรีบเดินไปตรงนั้น มือเล็ก ๆ หยิบผักออกมาจากตะกร้าเพื่อทำความสะอาด ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย จางอี้หมิงหิ้วตะกร้าขึ้นมาเตรียมเดินกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กชายเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย เขาซึมซับบรรยากาศดี ๆ ต้นไม้สูงใหญ่สีเขียว นกน้อยส่งเสียงบรรเลงเพลงไพเราะ หันไปทางไหนก็สบายตา แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งที่ชักจูงให้สองเท้าเล็ก ๆ ตรงปรี่เข้าไปหา มันคือบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แสงแดดสะท้อนลงมาเผยหน้าคลื่นระยิบระยับ จางอี้หมิงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก้มลงมองผืนน้ำ แต่แล้วก็ต้องตาโตและอุทานออกมาเสียงดัง
รอดตายแล้วเรา!
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?