ตอนที่ 97 ป้ายทองเว้นโทษตาย

เมืองหลวงแคว้นฉินยังคงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าผู้คนมากมาย คืนและวันต่างผันผ่านไปดั่งสายน้ำที่มิมีวันไหลย้อนกลับ กิจวัตรประจำวันของสมาชิกตระกูลจางเองนั้นก็ขับเคลื่อนไปดังที่สมควรจะเป็น เริ่มต้นจากนางหู นางมักมีเหล่าฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้จักคุ้นเคยกันมาอย่างดีตั้งแต่เป็นฮูหยินรองของตระกูลจางสายหลักมาร่วมจิบชายามบ่ายเกือบทุกวัน

แต่มิใช่ว่านางหูเอาแต่จัดงานเลี้ยงไม่ทำงานอันใด นางถือโอกาสนี้ช่วยบอกต่อสินค้าของกลุ่มการหลัวถงด้วยในที นี่เป็นกุศโลบายการหาลูกค้าทางหนึ่งที่จางอี้หมิงแนะนำให้ท่านย่าของตนทำ เขาไม่อยากให้ท่านย่าต้องทนเหงา การจัดงานเลี้ยงขึ้นก็สามารถช่วยในเรื่องของการประชาสัมพันธ์สินค้าได้เป็นอย่างดี

จางอี้เทาได้กลับเข้าไปสอนหนังสือในสำนักศึกษาที่ซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ได้เข้าไปเล่าเรียน เด็กทั้งสองมีบิดาคอยแนะนำและยังเป็นอาจารย์ด้วย การกลั่นแกล้งจึงน้อยลง และก็แทบจะไม่มีเลยเมื่อคุณหนูทั้งหลายทราบว่าเหลาอาหารซิ่งฝูทำตามคำสั่งของคุณหนูซุน ตอนนี้เหล่าคุณหนูทั่วเมืองหลวงจึงกลายเป็นดั่งลูกแมวเชื่องไปเสียแล้ว

ทางด้านหลี่อ้ายเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อท่านหมอมาตรวจก็แจ้งเพียงว่าเป็นความวิตกกังวลซึ่งคงสะสมมานานแต่เพิ่งแสดงออก นางจึงไม่ค่อยได้ออกไปไหน

“น้องหญิง ให้พี่อยู่ดูแลเจ้าเถอะ สีหน้าเจ้ามิสู้ดีแม้แต่น้อย” จางอี้เทาเอ่ยถามภรรยาด้วยสีหน้าวิตกกังวล เมื่อเห็นอาการของหลี่อ้ายแล้วเขาจึงตัดสินใจจะอยู่ดูแล ทว่านางกลับส่ายหน้าเบาๆ

“ข้ามิเป็นไรท่านพี่ ท่านหมอก็มาดูอาการตลอด ตอนนี้ลี่เอ๋อร์ กับเย่เอ๋อร์ ต้องการท่านพี่มากกว่า ข้าสัญญาว่าหากไม่ไหว ข้าจะบอกท่านพี่ทันที” หลี่อ้ายปฏิเสธเสียงอ่อนแรง

“เช่นนั้นก็ให้จินจินมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอดเวลา เข้าใจหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยเตือนภรรยาด้วยความเป็นห่วง เขาเดินไปขึ้นรถม้าที่บุตรทั้งสองคนรออยู่ก่อนแล้ว เพื่อออกเดินทางไปสำนักศึกษาด้วยกันในตอนเช้าของทุกวัน

สำหรับจางอี้หมิง เขาเป็นคนเดียวที่มีเวลาว่างมากที่สุด นอกจากจะเดินซนเที่ยวเล่นเข้าตรอกนั้น ไปตรอกนี้แล้ว...แค่ก แค่ก มิใช่ มิใช่สิ

เขาเรียกว่าไปสำรวจเส้นทางการค้าจนทั่วเมืองหลวงแล้วต่างหาก ก็เขาไม่มีสิ่งใดให้ทำนี่นา มีบ้างที่ไปเหลาอาหารซิ่งฝูเพื่อสอนรายการอาหารใหม่ ๆ ให้กับพ่อครัวสาขาเมืองหลวงแต่โดยภาพรวมก็ค่อนข้างว่างอยู่ดี

ครอบครัวซุนเองก็ต่างทำงานได้ดี โดยเฉพาะ ซุนซูเย่ เขาเริ่มเรียนรู้การเป็นเถ้าแก่ รู้จักการเจรจาการค้า การเข้าสังคมให้ดูกลมกลืนไปกับเหล่าคหบดีและเศรษฐีในเมืองหลวง มิเสียแรงเคี่ยวกรำของเหล่าอาจารย์ที่จางอี้เทาได้จัดหามาอบรม

“คุณชายน้อยขอรับ ได้เรื่องแล้วขอรับ”

อาสือ องครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ที่แฝงตัวอยู่ในบ้านตระกูลจางสายหลักมากว่าหนึ่งปีมาดักรอเพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้เจ้านายตัวน้อยทราบ เขาหลบอยู่ที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งได้สักระยะ ในตอนที่จางอี้หมิงกำลังเดินมองหาลู่ทางการค้าอยู่ อาสือก็เข้าไปหาจางอี้หมิงคล้ายคนยากจนที่กำลังเรี่ยไรเงินบริจาค

“พี่อาสือ คืนนี้ไปพบข้าที่จวน” จางอี้หมิงขอเงินถุงหนึ่งจากอาซาน เขากล่าวเพียงสั้นๆ พร้อมเดินจากไป

“ขอบคุณมาก คุณชายน้อย ขอบคุณขอรับ” อาสือแสร้งร้องขอบคุณเสียงดัง แสดงท่าทางดีใจก่อนผลุบหายเข้าไปในฝูงชน คล้ายมิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

ณ จวนตระกูลจางเขตพื้นที่เหลียนฮวา ห้องนอนของจางอี้หมิงมี องครักษ์สือ กำลังนั่งคุกเข่ารายงานเรื่องเร่งด่วนที่เขาได้รับมอบหมายให้จับตามองคนตระกูลจางสายหลักไว้

“เรียนคุณชายน้อย เป็นไปตามที่คุณชายน้อยคาดการณ์ไว้ ในตอนนี้ผู้นำตระกูลจาง จางหม่าซือ ถูกจับกุมตัวไว้ที่กรมอาญาเรียบร้อยแล้วขอรับ ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระสนมผิน ตอนนี้เจ้านายทุกคนในตระกูลจางถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในจวนขอรับ”

“แล้วอาการของพระสนมผินร้ายแรงมากน้อยเพียงใดพี่อาสือ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้น

“อาการไม่ร้ายแรงขอรับ อาปาเชี่ยวชาญด้านพิษ สามารถควบคุมความร้ายแรงของพิษได้ ภายนอกอาจจะดูเหมือนร้ายแรง ผิวของพระสนมผินมีรอยคล้ายรอยไหม้ อาจจะทำให้หมดสิ้นซึ่งความงาม แต่ทว่าหากถอนพิษอย่างถูกวิธี ผิวจะกลับมาเรียบเนียนดั่งเดิมขอรับ”

“เช่นนั้นให้พี่อาปาเตรียมตัวไว้ อย่าลืมปลอมแปลงใบหน้าให้ดูสูงอายุสักหน่อย ให้คล้ายกับคนชราจะได้ดูน่าเชื่อถือ”

“รับทราบขอรับ”

“มีสิ่งใดสำคัญที่จะรายงานอีกหรือไม่” จางอี้หมิงถามต่อ

“คุณชายน้อยข้าบังอาจขอถามได้หรือไม่ขอรับ”

“พี่อาสือ อยากรู้เรื่องอันใดเล่าขอรับ”

“เหตุใดคุณชายน้อยจึงมั่นใจว่าองค์ฮ่องเต้จะทรงร่วมมือกับคุณชายน้อยเล่าขอรับ”

“หากพี่อาสืออยากรู้ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้ มันมิมีอันใดยุ่งยาก เพียงแค่ข้าเอาสิ่งที่ฮ่องเต้อยากได้ที่สุดไปแลกก็เท่านั้น”

“ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่องค์ฮ่องเต้อยากได้อีกเช่นนั้นหรือขอรับ”

“หึ หึ พี่อาสือดูถูกความโลภของมนุษย์น้อยเกินไปแล้ว”

ย้อนไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน จางอี้หมิงได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นฉินในพระราชวังหลวง องครักษ์อาซานกับอาชีเข้าไปได้เพียงแค่หน้าห้องทรงงานเท่านั้น พวกเขาทั้งสองคนต้องรออยู่หน้าห้องพร้อมกับองครักษ์ส่วนพระองค์ของฮ่องเต้แคว้นฉินที่ยืนกำกับ จึงมิมีผู้ใดทราบบทสนทนาระหว่างองค์ฮ่องเต้กับเด็กน้อยเลยสักคน

หลังจากทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว เป็นจางอี้หมิงที่เป็นยื่นข้อเสนอการร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายให้กับฮ่องเต้ฉินหลงก่อน

“ฝ่าบาท หากกระหม่อมมีข้อเสนอมาทูลถวาย ฝ่าบาทสนใจรับฟังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“อ๋องน้อย เจ้ามีข้อเสนออันใดหรือ”

“ข้าขอป้ายทองอภัยโทษเว้นโทษตายให้กับตระกูลจางพ่ะย่ะค่ะ”

“ขอป้ายทองเว้นโทษตายเช่นนั้นหรือ เจ้าจะเอาป้ายทองไปทำอันใด”

ฮ่องเต้ฉินหลงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากต่อให้ตระกูลจางมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิตจริง ตนเองที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็ยังมิสามารถสั่งประหารชีวิตได้ทันที เพราะเบื้องหลังของเด็กน้อยคนนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก

“ข้าจะเอาป้ายทองนี้ไปแลกกับป้ายวิญญาณท่านปู่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

“จะ เจ้าถึงกับกล้าเอาป้ายทองไปแลกกับป้ายวิญญาณ มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” ฮ่องเต้ถามเสียงเข้ม ถึงแม้ว่าจะเกรงใจอ๋องน้อยตรงหน้าอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นถึงฮ่องเต้

เด็กคนนี้ช่างหาญกล้ายิ่งนักที่เอาป้ายทองเว้นโทษตายซึ่งมีค่าเกินกว่าจะคณานับ เพื่อไปแลกกับป้ายวิญญาณของปู่ตนเอง เช่นนี้มิเท่ากับดูถูกป้ายทองของตนว่าเทียบเท่าเพียงแค่ป้ายวิญญาณเช่นนั้นหรอกหรือ

“ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว ทรงฟังข้อเสนอของกระหม่อมก่อน”

“หากข้อเสนอมิคู่ควร ข้าจะถือว่าวันนี้ไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดมาก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องส่งเครื่องบรรณาการให้แคว้นจ้าวเป็นเวลาหนึ่งปี ข้อเสนอนี้คู่ควรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จางอี้หมิงเมื่อได้ยินรับสั่งของฮ่องเต้ฉินหลง เขาก็มิหวั่นกลัวแม้แต่น้อย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่กล้าทำอันใดตนเองเป็นแน่

“เว้นส่งเครื่องบรรณาการให้แคว้นจ้าวเป็นเวลาหนึ่งปี อ๋องน้อย เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน หากข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า แล้วในอนาคตมิได้เป็นดังคำที่เจ้าสัญญา ข้ามิขาดทุนหรอกหรือ” ฮ่องเต้ฉินหลงตรัสถาม ต่อให้เกรงใจผู้ที่หนุนหลังจางอี้หมิงมากเพียงใด แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ไหนเลยจะไร้เขี้ยวเล็บ

“เช่นนั้น นี่คงพอจะรับประกันคำพูดของของกระหม่อมได้นะพ่ะย่ะค่ะ” จางอี้หมิงตอบคำถามพลางยื่นสารให้กับองค์ฮ่องเต้ ผู้สูงศักดิ์จึงรับมาเปิดอ่านแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“อ๋องน้อย เจ้าทำได้เช่นไร”

“ฝ่าบาท อย่าได้สนพระทัยในวิธีการที่กระหม่อมได้สิ่งนี้มาเลยพ่ะย่ะค่ะ สนใจแต่ว่าพระองค์ยินดีแลกเปลี่ยนข้อเสนอหรือไม่เพียงเท่านั้นที่กระหม่อมต้องการคำตอบ” จางอี้หมิงส่งยิ้มน้อย ๆ ราวเด็กน้อยไร้เดียงสาไปให้ ทว่าก็มิยอมบอกวิธีการที่ทำให้จักรพรรดิแคว้นจ้าวยินยอมงดเครื่องบรรณาการหนึ่งปีตามที่เขาเสนอ

ความจริงแล้วจางอี้หมิงคิดแผนการนี้ออกตั้งแต่ตอนที่องครักษ์หน่วยเหลียงไป๋รายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของจวนหลักตระกูลจางแล้ว ฮ่องเต้อาจจะคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า แต่สำหรับตัวเขาล้วนมีเหตุผลของการกระทำนั้นอย่างแน่นอน เขาจึงเร่งดำเนินการติดต่อไปยังแคว้นเหลียงและได้คำยืนยันจากองค์จักรพรรดิแคว้นจ้าวมาไว้ในมือ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับฮ่องเต้แคว้นฉิน

จางอี้หมิงรู้อยู่แล้วว่าในอนาคตข้างหน้าเขาต้องได้เดินทางไปที่แคว้นเหลียงและแคว้นจ้าวอยู่แล้ว จะเอาบุญในอนาคตมาใช้ก่อนในตอนนี้คงมิแปลกอันใด อีกอย่างก็เป็นเขาที่ได้ประโยชน์มากที่สุดด้วย

“ได้ ข้ายินดีจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า แต่ข้าขอถามได้หรือไม่ จากคุณงามความดีที่ได้ทำมาตลอดหนึ่งปีก็เพียงพอให้เจ้าขอพระราชทานอนุญาตจากข้าบังคับให้บ้านใหญ่มอบป้ายวิญญาณของปู่เจ้าได้แล้ว เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยาก การแลกเปลี่ยนนี้ข้ามองเช่นไรก็เหมือนมีแต่ข้าที่ได้เปรียบ แต่เจ้ากับขาดทุนทุกทาง” ฮ่องเต้ไถ่ถามด้วยความสงสัย

“ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเป็นห่วงกระหม่อม แต่การทำเช่นนี้กระหม่อมได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ในเมื่อฝ่าบาททรงยินยอมแลกเปลี่ยนข้อเสนอของกระหม่อมแล้ว กระหม่อมขอรับป้ายทองโดยไวที่สุดได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ ไม่มีปัญหา ข้าจะให้กงกงนำไปมอบให้”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ยังมีอีกเรื่อง ข้าคิดว่าฝ่าบาทต้องสนใจข้อเสนอนี้ของข้าแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” จางอี้หมิงส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้องค์ฮ่องเต้

“อ๋องน้อย เจ้าจะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว มีข้อเสนออันใดอีกเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถามพลางยกพระสุธารสชาขึ้นจิบ

“มิใช่ว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหาทางเลื่อนขั้นให้สนมรักอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็เกรงว่าพระสนมเพิ่งเข้าวังมาใหม่ ไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลัง การที่จะมอบตำแหน่งให้ก้าวล้ำเกินสนมนางอื่น พระองค์ก็เกรงว่าจะดูแลและปกป้องนางได้มิเต็มที่ แต่ถ้าหากไม่เลื่อนขั้นให้ ด้วยตำแหน่งเพียงนั้นก็คงถูกรังแกได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นหากฝ่าบาทร่วมมือกับกระหม่อม พวกเราจะได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายบาทสนใจในข้อเสนอของกระหม่อมแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”

“จะ เจ้าถึงกับรู้เรื่องนี้เชียวหรือ ข้าคงไม่สามารถดูถูกความสามารถของเจ้าได้เสียแล้ว มีอันใดก็จงบอกมา”

ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างไม่ใคร่พอพระทัยนัก เหตุใดเด็กตรงหน้าถึงล่วงรู้แม้แต่ความในใจ ความชอบของตนเอง หรือว่าเด็กคนนี้เลี้ยงภูตผีไว้ใช้งานกัน

โดยที่ฮ่องเต้หารู้ไม่ว่า หากหน่วยเหลียงไป๋ต้องการรู้เรื่องอันใดแล้ว พวกเขามีวิธีการมากมายให้ได้คำตอบ มิเช่นนั้นจะมีเพียงแค่สิบคนเท่านั้นหรือ แต่ละคนล้วนมีความสามารถแตกต่างกันไป หนิงอ๋องเป็นคนมองการณ์ไกล แม้แต่บุตรในอุทรอย่างอ๋องน้อยเหลียงหนิงเทียนยังไม่ได้ครอบครองหน่วยเหลียงไป๋ แต่หนิงอ๋องเชื่อในสายตาของตนเองว่าหากมอบหน่วยเหลียงไป๋ให้กับจางอี้หมิง ผลประโยชน์จะได้ตกกลับไปที่แคว้นเหลียงมากเกินคณานับ

หนิงอ๋องเข้าพระทัยดีว่าเด็กน้อยคนนี้ก็หาได้ใสซื่อเสียจนไม่รู้ว่าหากรับมอบหน่วยเหลียงไป๋มาแล้วจะต้องทำตนเช่นไรบ้าง การที่เป็นคนฉลาด เพียงแค่มองการกระทำของอีกฝ่ายก็เข้าใจ คนเช่นนั้นยิ่งต้องเก็บไว้ให้ดีที่สุด

“แผนการเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ....”

จางอี้หมิงเอ่ยเล่าแผนการที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังแผนการเสร็จแล้ว พระองค์ถึงกับสรวลออกมาดังลั่นห้องทรงงาน

“อ๋องน้อย สนใจเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าหรือไม่ เจ้ามิต้องทำงานในราชสำนัก แต่หากข้ามีเรื่องให้ช่วย เจ้าเพียงให้คำปรึกษาข้าก็พอ”

“ฝ่าบาท ด้วยความยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนั้นถึงแม้ว่าจะมีฐานะเป็นอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงแต่มิเคยลืมว่าตนเองเป็นคนแคว้นฉิน บิดา มารดา ท่านย่า ล้วนเป็นคนแคว้นฉิน ข้าเองก็อาศัยอยู่ที่แคว้นฉิน

สิ่งใดที่จะทำให้แคว้นฉินเจริญรุ่งเรืองล้วนเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาเป็นที่สุดพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมมิปรารถนาทำงานกับราชสำนัก กระหม่อมชอบค้าขาย การรับใช้บ้านเมืองโดยการเป็นพ่อค้าก็สามารถทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี เจ้าพูดได้ดี ข้ามิรู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อยที่ต้องมาปรึกษากับเด็กน้อยเช่นเจ้า บางทีในสายตาของเด็กเช่นเจ้าอาจจะมองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าตาเฒ่าตูดเหม็นที่มีแต่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเองมากกว่าเสียอีก”

ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดพระทัย แต่จะให้ทำเช่นไรได้ เส้นสายแต่ละตระกูลต่างฝังรากลึกจนยากที่จะถอดถอนและทำลายได้ง่าย ๆ

“อ๋องน้อย นี่คือหยกที่สามารถเข้าพบข้าได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า เจ้าเก็บเอาไว้ หากในอนาคตจำเป็นต้องใช้ขอให้แสดงต่อทหารเพียงเท่านั้น” ฮ่องเต้ยื่นหยกส่งให้กับจางอี้หมิง เด็กชายเพียงยื่นมือออกไปรับและกล่าวขอบคุณเท่านั้น

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

“วันนี้ข้าได้เห็นความสามารถของเจ้ากับตาตนเองเช่นนี้แล้ว มิเสียแรงที่รอคอยมานาน หวังว่าเจ้าจะไม่ทรยศแคว้นฉิน ยังสำนึกว่าแคว้นฉินคือบ้านเกิดและเมืองนอนของเจ้านะ อ๋องน้อย”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิปรารถนาสงคราม กระหม่อมปรารถนาที่จะให้ทุกแคว้นเท่าเทียมและเจริญก้าวหน้าตามที่กระหม่อมได้สัญญาไปก่อนหน้านี้ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัยได้พ่ะย่ะคะ”

“พี่อาสือ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละ”

“ข้ามินึกมาก่อนว่าเรื่องที่ฮ่องเต้อยากได้ที่สุดจะเป็นความรักไปเสียได้” อาสือเปรยออกมาด้วยความแปลกใจ

“พี่อาสือ ฮ่องเต้มีอันใดบ้างที่อยากได้แล้วไม่ได้ ด้วยเป็นฮ่องเต้จึงแสดงออกถึงความรักไม่ได้ เพราะมันเหมือนส่งสนมรักไปสู่ความตายได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ก็นะ ฮ่องเต้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง หากวิธีการที่ใช้มันทำให้คนที่รักได้สมปรารถนา เหตุใดจะไม่ยอมเสี่ยงเล่า”

“คุณชายน้อยช่างฉลาดล้ำเหลือเกินขอรับ” อาสือเอ่ยชมเจ้านายตัวน้อย

“ต้องยกความดีความชอบให้หน่วยเหลียงไป๋ต่างหากเล่าขอรับ ที่สามารถหาข้อมูลดิบมาให้ข้าได้วิเคราะห์ได้ จนได้แผนการนี้มา

ว่าแต่พี่อาสือกลับไปก่อนเถอะขอรับ ก่อนที่จะมีคนรู้ว่าพี่หายตัวมา ยิ่งในจวนถูกทหารควบคุมการเข้าออกเช่นนี้ ต่อไปพี่อาสือรออยู่ที่จวนก็พอแล้วขอรับ พรุ่งนี้ข้ากับครอบครัวจะไปเยือนจวนบ้านใหญ่เอง”

“รับทราบขอรับ”

อาสือรับคำ เมื่อรายงานเสร็จแล้ว เขาจึงกลับไปยังจวนตระกูลจางที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ ส่วนจางอี้หมิงก็เข้านอนไปตามปกติ

เขากำลังรู้สึกตื่นเต้นที่อย่างน้อยอีกไม่นาน ป้ายวิญญาณของท่านปู่จะมาอยู่ในความครอบครองของท่านย่าแล้ว

รอก่อนนะท่านย่า..อีกไม่นานท่านจะได้สมความปรารนาแล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ