ภายในเรือนหลักของเถ้าแก่หลินไห่เต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่ว่าจะเป็นจางอี้หมิง หลี่อ้าย ท่านย่าใหญ่ตู้จินเหมย รวมทั้งอู๋หมินและพ่อครัวประจำเรือนของเถ้าแก่ต่างมารวมตัวกันในห้องครัว โดยมีเด็กน้อยแต่งชุดสีแดงน่ารักคอยยืนกำกับการทดลองทำอาหารชนิดใหม่ ซึ่งทุกคนในที่นี้ต่างไม่มีใครรู้จักกันเลยสักคน
“หมิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าจะทำอาหารอันใดกันเล่า” ตู้จินเหมยเอ่ยถามหลานชายตัวน้อยเสียงอบอุ่น
“ท่านย่าใหญ่ ข้าจะทำยำขนมจีนขอรับ แม่นางหวังคงได้ชิมอาหารทุกอย่างจากทางเหลาซิ่งฝูไปแล้ว รวมถึงข้าเชื่อว่าท่านเจ้าเมืองคงหาอาหารจากที่อื่นมาให้ลองดูแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังคงกินไม่ได้ ข้าจึงอยากจะลองดูอาหารชนิดใหม่ตามตำราของพ่อค้าเร่นอกด่านขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบท่านย่าใหญ่เสียงสดใสน่ารัก
รายการอาหารที่จางอี้หมิงคิดไว้นั้นนับว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัว เพราะสิ่งที่เขาคิดจะทำคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เรียกกันง่าย ๆ ก็คือมาม่าในสมัยที่เป็นอานนท์นั่นเอง เพียงแต่ว่าในการทำขายนั้นคงต้องทดลองอีกมาก ยังไม่สมควรทำออกมาในโอกาสนี้ แต่ที่สามารถทำได้เลยคือ ขนมจีนด้องแด้ง ซึ่งขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากและใช้เครื่องมือไม่มาก
เด็กน้อยคิดไว้ว่าหากทำขนมจีนสำเร็จได้ ดังนั้นการทำบะหมี่ก็คงไม่ยากจนเกินไป นอกจากจะได้ช่วยท่านเจ้าเมืองแล้วยังสามารถทำขายให้กับกองกำลังเหลียงอันในอนาคตด้วย
“หมิงเอ๋อร์ มิใช่ว่าตำรานั้น คือของท่านพ่อเจ้าที่ได้มาจากพ่อค้าเร่ใช่หรือไม่” หลี่อ้ายได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง หากว่าคำตอบคือใช่ นางก็ไม่มีสิ่งใดให้เคลือบแคลงสงสัย เพราะอาหารสวรรค์ล้วนอร่อยทุกอย่าง
“ใช่แล้วขอรับท่านแม่ ข้าจะทำเอาไว้ขายในเหลาซิ่งฝูด้วยขอรับ ดังนั้นพี่ชายหมินอย่าลืมจำแล้วเอาไปบอกท่านลุงอู๋ด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบมารดาและไม่ลืมที่จะเตือนอู๋หมินด้วย
“ข้าพร้อมแล้วคุณชายน้อยหมิง” อู๋หมินเอ่ยตอบเสียงใส เขาชอบเด็กน้อยตรงหน้าที่สุด ถึงแม้ว่าจะทำเองไม่ได้ แต่ความรู้เรื่องอาหารกลับมีมากเกินเขาไปเสียได้
“เช่นนั้นย่าไปนั่งดูอยู่ห่าง ๆ ตรงเก้าอี้นั้นนะหมิงเอ๋อร์ ย่าแก่แล้วขอเป็นกำลังใจให้แล้วกัน” ตู้จินเหมยเอ่ยบอกหลานชายแล้วจึงเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ในห้องครัวตามที่ได้บอกไว้
“ท่านแม่ พี่ชายหมิน ท่านป้าทั้งหลาย สิ่งที่ข้าจะสอนต่อไปนี้เรียกว่าการทำเส้นด้องแด้ง ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยบอกทุกคนก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินพี่ชายหมินถามเสียงประหลาด
“เส้นด๋องด้อง ข้ามิเห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“มิใช่เส้นด๋องด้องขอรับ เส้นด้องแด้งต่างหากเล่า ในวันนี้เราจะทำแบบสด แต่ในอนาคตเราจะทำแบบแห้งเพื่อให้เก็บไว้ได้นาน ในฤดูหนาวจะเป็นประโยชน์มาก ๆ”
“แล้วเส้นด๋องด้อง เอ้ยมิใช่ เส้นด๋องแด้งมันอร่อยหรือไม่หมิงหมิงน้อย” แม่ครัวจวนนี้เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง นางได้ยินชื่อแล้วรู้สึกแปลกหู
“แล้วเจ้าเคยกินอาหารที่หมิงหมิงน้อยทำแล้วไม่อร่อยบ้างไหม” แม่ครัวอีกคนของจวนนี้ถามเพื่อนบ้าง
“ไม่มี”
“นั่นสิ แล้วเจ้าจะถามไปเพื่ออันใดเล่า” ว่าแล้วแม่ครัวคนนี้จึงส่งค้อนไปให้เพื่อนหนึ่งที เหตุเพราะถามคำถามไม่ได้เรื่อง
“เอาล่ะขอรับอย่าถกเถียงกันเลย พวกเรามาเริ่มทำเส้นด้องแด้งกันเถอะขอรับ ก่อนอื่นท่านป้ารบกวนตั้งหม้อน้ำให้เดือด ขอหม้อที่ปากกว้าง ๆ หน่อยนะขอรับ การทำเส้นด้องแด้งมีขั้นตอนการทำสองส่วน ส่วนแรกรบกวนท่านแม่เอาแป้งข้าวจ้าวสองส่วนผสมกับแป้งมันหนึ่งส่วน เกลือหยิบมือผสมให้เข้ากัน พักไว้ก่อนขอรับ
ต่อไปเป็นหน้าที่ของพี่ชายหมิน ทำส่วนที่สองนะขอรับ เอาแป้งข้าวจ้าวหนึ่งส่วนผสมกับน้ำเปล่าสามส่วน คนให้แป้งละลาย แล้วนำไปตั้งไฟ ไม่ต้องแรงนะขอรับ พี่ชายหมินต้องคนแป้งไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะสุก น่าจะประมาณครึ่งเค่อ ก็คงใช้ได้ เดี๋ยวข้าจะบอกอีกที” จางอี้หมิงอธิบายรอบเดียวอย่างช้าๆและครบถ้วนชัดเจน
หลี่อ้าย อู๋หมินและแม่ครัวจวนหลินต่างแยกย้ายไปทำตามที่เด็กน้อยบอก พวกเขาหันไปหยิบแป้งและดำเนินการตามขั้นตอนที่จางอี้หมิงแบ่งหน้าที่ให้
“คุณชายน้อย แป้งแบบนี้สุกหรือยังขอรับ” อู๋หมินเอ่ยถาม พลางยกแป้งที่เหนียวติดไม้พายขึ้นให้อี้หมิงดู หลี่อ้ายที่ทำส่วนแรกเสร็จแล้วก็ชะโงกหน้ามาดูแป้งด้วย
“กวนต่อไปอีกนิดขอรับ แป้งสุกจะสังเกตได้ง่าย มันจะมีสีใส ขาวนวลสวยขอรับ”
อู๋หมินวางไม้พายลงในหม้อและเริ่มกวนอีกครั้ง หลังจากที่แป้งส่วนที่สองสุกแล้ว จางอี้หมิงจึงอธิบายขั้นตอนต่อไป
“พอแป้งส่วนที่สองสุกแล้วให้ยกลงพักให้คลายร้อนสักหนึ่งเค่อขอรับ พักจนแป้งไม่ร้อนแล้ว พออุ่น ๆ จับต้องได้ ต่อไปก็เอาแป้งที่สุกมาผสมกับแป้งส่วนแรกที่ท่านแม่ผสมพักไว้ จากนั้นค่อย ๆ นวดให้แป้งทั้งสองส่วนผสมเข้ากันจนเนียนสวย แล้วจึงเติมน้ำเปล่าลงไป ค่อย ๆ นวดไปด้วยนะขอรับ ปริมาณน้ำที่ใส่เพียงให้แป้งดิบที่เราผสมกันนั้นไม่เหนียวจนเกินไป เติมพอแค่ให้แป้งดิบคลายตัวเท่านั้นนะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยช้า ๆ เพื่อให้ทุกคนได้พิจารณาตามคำบอกไปด้วย
“หากว่าใส่น้ำมากเกินไปแป้งจะเหลวเกินไปถูกหรือไม่คุณชายน้อย” เป็นอู๋หมินที่เอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้องแล้วขอรับพี่ชายหมิน ท่านเก่งสมกับเป็นพ่อครัวจริงๆ”
“คุณชายน้อยก็ชมข้าเกินไปแล้ว” อู๋หมินถึงกับยกมือขึ้นมาเกาที่ศีรษะด้วยความเขินอาย เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ตรงไหนเมื่อถูกเอ่ยชมเช่นนี้
“พี่ชายหมินรบกวนทำส่วนต่อไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ ท่านแม่จะได้ไม่เหนื่อยในการนวดแป้ง” จางอี้หมิงหันไปเอ่ยขอร้องผู้ช่วยพ่อครัวคนเก่ง
“ได้สิ”
หลังจากตอบรับคำขอร้องจากเด็กน้อยตรงหน้าอู๋หมินจึงทำการผสมและนวดแป้ง โดยมีจางอี้หมิงคอยดูและกำกับการนวดอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ผ่านไปไม่นานแป้งก็พร้อมจะนำไปทำขั้นตอนต่อไป
“ท่านแม่รบกวนหยิบผ้าที่เตรียมมาให้ข้าด้วยขอรับ” จางอี้หมิงหันไปขอให้มารดาหยิบผ้าที่ลงทุนบอกให้หลี่อ้ายจัดทำไว้ เพราะไม่มีเวลาในการเตรียมตัวเขาจึงคิดวิธีง่าย ๆ ขึ้นมา นั้นก็คือการเอาไขผึ้งไปละลายแล้วทาลงบนผ้าที่ตัดเป็นสี่เหลี่ยม หลังจากที่ไขผึ้งแห้งจะเคลือบลงไปบนผ้าแล้วจึงเย็บเป็นถุงพร้อมทั้งตัดมุมไว้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก
ในยุคปัจจุบันมีที่กดเส้นขายแบบสำเร็จ วัสดุอุปกรณ์ทดแทนก็มีมาก หรือหากไม่มีก็สามารถใช้กะลามะพร้าว ผลน้ำเต้า หรือไม้ไผ่มาเจาะรู แล้วทำที่กดลงไปทดแทนได้ แต่เนื่องด้วยเวลามีไม่เพียงพอการใช้แป้งบีบจากผ้าจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ ในอนาคตหากจะทำเป็นการค้าคงต้องหาวิธีที่สะดวก ง่ายและทำได้ในปริมาณมาก ๆ แทน
หลี่อ้ายเดินไปหยิบผ้าส่งให้บุตรชาย เมื่อจางอี้หมิงรับผ้าสำหรับบีบเส้นด้องแด้งมาแล้ว จึงยื่นส่งให้กับอู๋หมินต่อ เพื่อใช้ในการทำเส้นเป็นคนแรก
“พี่ชายหมินตักแป้งใส่ลงไปในถุงนี้ขอรับ แล้วนำไปบีบลงหม้อน้ำร้อนที่ไม่ต้องถึงกับเดือดมาก บีบแล้วหยุด บีบแล้วหยุดให้เส้นมีความยาวประมาณนี้ขอรับ”
จางอี้หมิงบอกแล้วจึงยกมือขึ้นให้อู๋หมินได้เห็นถึงความยาวประมาณสองข้อมือผู้ใหญ่
อู๋หมินทำตามที่คุณชายน้อยบอกได้อย่างง่ายดายเพราะมีจางอี้หมิงคอยกำกับการทำอยู่ตลอดเวลา แม่ครัวของจวนและหลี่อ้ายเองก็พากันมามุงดูด้วย มีเพียงตู้จินเหมยที่ยังคงนั่งอย่างสงบอยู่มุมหนึ่งของห้องครัว
“พี่ชายหมิน ถ้าเส้นสุกมันจะลอยขึ้นมาเอง พอเส้นลอยขึ้นมาทั้งหมดแล้วต้มเส้นต่อไปอีกสักครู่ให้มั่นใจว่าเส้นด้องแด้งสุกแล้ว เมื่อครบเวลานำไปแช่ในน้ำเย็นจัด พี่ชายหมินจะเห็นว่าเส้นมีความเงาแวววาว หากเราผสมแป้งดี เส้นจะเนียนสวยด้วยขอรับ เสร็จแล้วก็ตักมาพักไว้แล้วนำไปทำอาหารได้เลยขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายขั้นตอนสุดท้ายให้อู๋หมินรู้
“ข้ามิเคยเห็นเส้นแบบนี้เลย จะว่าเป็นเส้นบะหมี่ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ไม่เชิง มิรู้ว่าจะอร่อยหรือไม่”
อู๋หมินถามออกมาด้วยความอยากรู้ เจ้าเส้นที่เรียกว่า เส้นด้องแด้ง นี่ช่างแปลกตาจนผู้ช่วยพ่อครัวอย่างเขาให้ความสนใจ
“เส้นด้องแด้งก็คือเส้นที่ทำจากแป้งธรรมดา ไม่มีรสชาติหรอกขอรับ อร่อยหรือไม่อยู่ที่การนำไปปรุงอาหารมากกว่าขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์แล้วเราจะนำเอาเส้นด้องแด้งไปทำอันใดเล่า แม่ยังคิดรายการอาหารมิออกเลย” หลี่อ้ายเอ่ยถามขึ้น
“ท่านแม่ ตอนที่ท่านแม่ตั้งท้องข้า ท่านแม่รู้สึกอยากกินอันใดมากเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ”
“หือ ตอนที่ตั้งครรภ์เจ้าเช่นนั้นหรือ ข้าชอบกินอันใดกันนะ” หลี่อ้ายใช้มือจับไปที่คางตนเองทำท่าทางครุ่นคิดตามคำถามของบุตรชาย ก่อนจะนึกออกว่าตนเองชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ
“คิดออกแล้วตอนนั้นแม่ชอบกินปลาต้มเกลือเป็นที่สุด กินได้ทุกวันไม่มีเบื่อเลย”
“อ้ายเอ๋อร์ อาหารที่ทำจากปลาคนท้องเขาไม่นิยมกินกันมิใช่หรอกหรือ แต่เจ้ากลับชอบกินปลาไปเสียได้ ตัวข้ากลับไม่สามารถแตะต้องรายการอาหารที่ทำจากปลาได้เลย เพราะกลิ่นมันช่างเหม็นคาวยิ่งนัก” ตู้จินเหมยได้ยินหลี่อ้ายตอบเช่นนั้นจึงเอ่ยถึงอาการของตนเองขึ้นมาบ้าง
“ไม่นะเจ้าคะท่านแม่บุญธรรม ข้ามิคาวเลยกลับรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมเสียอีก” หลี่อ้ายเอ่ยตอบ
“ท่านแม่ชอบทานอาหารหรือผลไม้รสเปรี้ยวหรือไม่ขอรับ”
“แม่กินส้มมิได้เลยหมิงเอ๋อร์ มันเหม็นมาก” หลี่อ้ายตอบคำถามหลังจากที่นึกอยู่ครู่หนึ่ง
“เป็นเช่นนี้นั้นเอง” จางอี้หมิงเมื่อได้ฟังแล้วจึงเปรยออกมาเสียงไม่ดังมากนัก
“เป็นเช่นไรหรือหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายเอ่ยถามบุตรชาย
“สาเหตุที่บุตรสาวท่านเจ้าเมืองกินอาหารมิได้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าคนท้องในยุคสมัยนี้มีค่านิยมไม่กินรายการอาหารที่แปลกไปจากคนท้องคนอื่น ดังนั้นอาหารที่ท่านเจ้าเมืองหรือเหลาอาหารซิ่งฝูทำไปให้จึงไม่มีรายการอาหารต้องห้ามเลย ถ้าหากว่าเราทำรายการอาหารที่ทำจากปลา รสชาติเผ็ดร้อน หรือว่ามีกลิ่นฉุน ไม่แน่ว่าบุตรสาวท่านเจ้าเมืองอาจจะสามารถกินอาหารเหล่านั้นได้นะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายข้อสันนิษฐานของตนให้ทุกคนฟัง
“ย่าใหญ่ก็เห็นด้วยกับความคิดของหมิงเอ๋อร์เช่นกัน โบราณว่าไว้คนท้องมักแพ้อาหารกันทุกคน” ตู้จินเหมยเอ่ยสนับสนุนความคิดของหลานชายพลางส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูและชื่นชมความฉลาดเฉลียวของหลานชายตัวน้อยตรงหน้า
“เช่นนั้นเราทำอาหารไปสักสามรายการเพื่อทดลองดูก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
“แม่ก็ว่าดี นี่ก็ใกล้จะได้เวลาอาหารมื้อแรกของวันแล้ว รายการอาหารสามอย่างคงเพียงพอ หากยังกินไม่ได้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้อีกที เรามีเวลาอยู่ที่นี่ตั้งสามวัน แม่ไม่เชื่อว่าเราจะไม่มีรายการอาหารที่บุตรสาวท่านเจ้าเมืองจะกินมิได้เลย แม่เชื่อในตัวหมิงเอ๋อร์ของแม่ที่สุด” หลี่อ้ายเอ่ยแล้วลูบมือลงไปบนศีรษะของบุตรชายอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณขอรับท่านแม่ที่เชื่อใจข้า เช่นนั้นเรามาลงมือทำอาหารกันเถิดขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขอบคุณพลางเงยหน้าส่งยิ้มน่ารักไปให้กับมารดาตนเอง
เขาหัวใจฟูฟ่อง ตอนที่เป็นอานนท์หากได้ยากนักที่จะมีคนมาเชื่อใจเขาเช่นนี้ ต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำคนเดียวและตัดสินใจคนเดียวมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ที่เขามีครอบครัวอยู่เคียงข้างด้วยเช่นนี้มันดีเหลือเกิน
เด็กน้อยหันไปมองทุกคนรอบตัวแล้วส่งยิ้มน่ารักอีกครั้ง
“ข้าพร้อมแล้วคุณชายน้อย” อู๋หมินเอ่ย
“ข้าก็พร้อมเช่นกัน” แม่ครัวจวนหลินกล่าวต่อ
“แม่ก็พร้อมเช่นกัน” หลี่อ้ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำรายการอาหารสามอย่างนี้นะขอรับ......”
จางอี้หมิงเอ่ยบอกรายการอาหารที่ตนเองตั้งใจทำให้กับทุกคนฟัง และคอยกำกับการทำอาหารทุกขั้นตอน
อู๋หมินเป็นคนที่มีความสุขที่สุดเพราะในครั้งนี้เขาได้เป็นคนแรกของเหลาอาหารซิ่งฝูที่ได้ทำรายการอาหารชนิดใหม่ ซึ่งปกติจางอี้หมิงจะสอนให้กับอู๋เจ๋อมาโดยตลอด
เมื่อรายการอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงจึงให้ทุกคนได้กินให้อิ่มก่อนเดินทางไปที่จวนท่านเจ้าเมืองเพื่อนำอาหารไปส่งให้ทันมื้อเที่ยงของวัน และเขายังไม่ลืมให้อู๋หมินนำอาหารอีกสองชุดไปฝากท่านปู่หลินและท่านลุงอู๋ด้วย
เด็กน้อยมองอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้บุตรสาวท่านเจ้าเมืองกินได้ เขาเองก็ไม่เคยตั้งท้องเสียด้วย มิรู้ว่าอาการคนท้องจะเป็นกันเช่นไรบ้าง ตอนทำอาหารให้หนิงอ๋องเสวยยังไม่หวั่นเลยว่าจะกินได้ไหม
เอาน่าจางอี้หมิง บุตรสาวท่านเจ้าเมืองต้องกินได้สิ นี่มันคืออาหารชนิดใหม่เชียวนะ!
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?