ตอนที่ 71 การกลับมาของหนิงอ๋อง

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิมาได้หนึ่งเดือนแล้ว ชาวบ้านหลัวถงต่างยุ่งวุ่นวายกับการเพาะปลูกทำไร่ทำสวนตามที่เคยทำมาดั่งเช่นทุกปี ทว่าปีนี้นั้นต่างออกไป เนื่องจากมีเพียงชายหนุ่มในหมู่บ้านเท่านั้นที่ไปทำไร่ทำสวน ส่วนฮูหยินทั้งหลายกำลังยุ่งกับการผลิตสินค้าให้กับกลุ่มการค้าหลัวถง

ซุนถงและจางอี้เทารับหน้าที่เป็นผู้ทำบัญชีและจัดทำเอกสารเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของกลุ่มการค้า มีผู้ช่วยชายอีกสามคนที่จางอี้เทาฝึกสอนให้ก่อนหน้านี้ หลี่อ้ายเป็นหัวแรงใหญ่ในการสอนทำสินค้าและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าทั้งหมดก่อนส่งออกไปให้เถ้าแก่หวัง

จางอี้หมิงจึงได้แนะนำให้มารดาฝึกสอนผู้ที่พอมีความสามารถมาเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนบรรจุลงไหและส่งออกไปด้วย เนื่องจากจางอี้หมิงต้องการพัฒนากลุ่มการค้าหลัวถงให้เป็นกลุ่มการค้าที่มีสินค้าแปลกใหม่ หายาก และราคาไม่แพง สินค้าที่นำออกจำหน่ายต้องถือคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญและราคาที่จับต้องได้ ในอนาคตอี้หมิงจะขยายสาขาของกลุ่มการค้าหลัวถงออกไปยังต่างเมืองด้วย รวมถึงสุดท้ายคือเมืองหลวง เมืองที่เขาคิดจะทำการค้าเป็นเมืองสุดท้าย

จางอี้หมิงนำการบริหารงานแบบเฟรนไชส์เข้ามาช่วย ทำให้ต้องมีการวางแผนการค้าในระยะยาวอย่างละเอียดและรอบคอบ เขามีสิ่งที่ต้องทำให้กับร่างนี้นั้นคือการกลับมายิ่งใหญ่กว่าบ้านหลักในเมืองหลวงให้ได้ เขามิได้ทำการแก้แค้นอันใด เพียงแต่ในฐานะที่เขามาอาศัยร่างของเด็กน้อยคนนี้แล้วนั้น เขาสมควรตอบแทนบุญคุณบ้านจาง ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ ท่านแม่ หรือท่านย่า

สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการ จางอี้หมิงจะทำให้สำเร็จให้จงได้ และการจะทำให้สำเร็จได้นั้น เงินเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่ายุคสมัยไหนเงินยังแก้ไขปัญหาได้ตลอด ไม่เช่นนั้นจะมีคำสุภาษิตที่ว่า ‘มีเงินใช้ผีให้โม่แป้ง’ เช่นนั้นหรือ

สินค้าที่กลุ่มการค้าหลัวถงผลิตออกมาจำหน่ายโดยผ่านเถ้าแก่หวังได้แก่ น้ำตาลผัก เกลือผัก และ น้ำปรุงรส ซึ่งจางอี้หมิงกำหนดให้การบริหารกลุ่มการค้าหลัวถงเป็นเช่นการบริหารในรูปแบบสหกรณ์ในยุคปัจจุบัน คือมีกลุ่มผู้บริหารและกลุ่มสมาชิก ซึ่งผู้บริหารจะมีรายได้จากการทำงานดังสมาชิกเช่นกัน

ในส่วนสมาชิกกลุ่มนั้นแบ่งให้ถือหุ้นตามความต้องการของแต่ละบ้าน ไม่มีการบังคับ จะเพิ่มหุ้นลดหุ้นก็ทำได้ในแต่ละรอบปี นอกจากนี้ยังมีการจ้างงานในหมู่บ้านด้วยสำหรับผู้ที่ไม่มีที่นาที่ไร่ ซึ่งปกติต้องเข้าไปรับจ้างในเมืองไห่ถัง

สภาพการเงินหมุนเวียนในกลุ่มการค้าหลัวถงถือว่าดีมาก เพราะสินค้าที่นำออกมาจำหน่ายเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ราคาไม่แพง ดังนั้นสมาชิกกลุ่มการค้าหลัวถงจึงยุ่งอยู่ตลอดเวลา

“หมิงเอ๋อร์ เส้นด้องแด้งที่ลูกให้แม่นำเอาไปตากมันแห้งได้ที่แล้ว ลูกจะให้แม่ทำเช่นไรต่อไป” หลี่อ้ายเอ่ยถามบุตรชายขึ้นในวันหนึ่งระหว่างที่จางอี้หมิงกำลังนั่งขีดเขียนอันใดอยู่บนโต๊ะทำงาน เด็กน้อยได้ยินมารดาเอ่ยถามเช่นนั้นจึงเงยหน้าก่อนส่งยิ้มหวานให้มารดาไปครั้งหนึ่ง

“ท่านแม่ ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่ขอรับว่ามันแห้งแล้วมันเป็นเช่นไรบ้าง”

“ได้สิ รอแม่สักครู่นะ” หลี่อ้ายบอกบุตรชายแล้วผละตัวออกไปเอาเส้นด้องแด้งซึ่งบรรจุอยู่ในไหเรียบร้อยแล้วมาวางไว้บนโต๊ะทำงานตรงหน้าเด็กชาย

“โอ้ มันไม่ได้สีขาวเหมือนในหนังสือ แต่กลับคล้ายสีขาวขุ่น ๆ อาจจะเป็นเพราะไม่ผ่านการฟอกสีเป็นแน่ แต่ก็ถือว่าใช้ได้” จางอี้หมิงเอ่ยกับตนเองเบา ๆ

เส้นด้องแด้งที่มารดานำมาวางได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ เสียก็แต่ว่าสีที่ได้นั้นออกจะขุ่นไปสักหน่อย ทว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ สมองน้อยๆของเด็ก 5 ขวบจึงคิดทดลองและพูดต่อไป

“ท่านแม่รบกวนต้มน้ำให้เดือด นำเอาเส้นด้องแด้งไปต้มแล้วจับเวลาดูหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากรู้ว่าเมื่อนำไปต้มหรือลวกน้ำแล้ว เส้นด้องแด้งมันคืนตัวเป็นเส้นสดพร้อมกินหรือไม่ ก่อนที่ท่านแม่จะนำเส้นด้องแด้งแห้งลงต้ม ท่านแม่มาเรียกข้าด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกมารดาถึงสิ่งที่ตนเองต้องการและไม่ลืมให้มารดามาเรียกตนเองด้วย

สิ่งที่จางอี้หมิงกำลังทดลองคือการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพียงแต่แตกต่างตรงที่จากเคยใช้เส้นบะหมี่เหลือง เด็กน้อยเปลี่ยนมาเป็นเส้นด้องแด้งแทน เนื่องจากเป็นการทำที่ไม่ยุ่งยาก ในอนาคตเมื่อเส้นด้องแด้งสำเร็จแล้ว เขาจะเริ่มทำวุ้นเส้นด้องแด้งเช่นกัน ในส่วนของการทำทุกอย่างให้เป็นเส้น ยังถือว่าขั้นตอนยุ่งยากและเขาไม่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้

หลี่อ้ายหายออกไปจากห้องไม่นานก็กลับมาแจ้งให้บุตรชายทราบว่าน้ำเดือดแล้ว จางอี้หมิงจึงเดินตามมารดาไปที่ห้องครัว ซึ่งเป็นห้องที่สร้างไว้สำหรับการทดลองของจางอี้หมิง

“ท่านแม่นำเส้นด้องแด้งลงไปต้มเลยขอรับ รักษาไฟให้ระดับปกติ” จางอี้หมิงบอกมารดาให้ทำการต้มเส้นด้องแด้งแห้งได้เลยหลี่อ้ายพยักหน้ารับ นางทำตามที่บุตรชายบอกอย่างระมัดระวัง

“ท่านแม่พอก่อนขอรับ เพราะมันน่าจะพองตัวออกมาอีกนิดหน่อย” จางอี้หมิงเมื่อเห็นมารดาใส่เส้นด้องแด้งแห้งลงไปจำนวนมากจึงบอกให้หยุด

“ท่านแม่ลองคนหน่อยขอรับ มันจะได้ไม่ติดกัน”

รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ เส้นด้องแด้งก็พองตัว จางอี้หมิงบอกให้มารดาตักขึ้นมาเพื่อนำไปแช่ในน้ำเย็น เมื่อล้างแป้งออกจนใสแล้ว หลี่อ้ายจึงเอามาวางไว้บนจาน จางอี้หมิงใช้ช้อนตักขึ้นมาชิมดู

“อืม นี่มันเหมือนเส้นสดชัด ๆ สำเร็จแล้วท่านแม่ เราทำสำเร็จแล้ว”

จางอี้หมิงหันไปยิ้มส่งให้กับมารดาด้วยความดีใจ

“สิ่งนี้ใช่หรือไม่ที่ลูกจะทำขึ้นมาส่งขายให้กับหนิงอ๋อง” หลี่อ้ายเอ่ยถามบุตรชาย พลางใช้ช้อนชิมเช่นกัน

“ขอรับท่านแม่ สิ่งนี้แหละขอรับ ท่านอ๋องต้องการอาหารที่เก็บไว้ได้นาน ขนส่งสะดวก มีรสชาติดี”

“แล้วหมิงเอ๋อร์จะทำอาหารอันใดเล่า”

“มันสามารถเอาไปทำอาหารได้หลากหลายชนิดขอรับ แต่ว่าวันนี้ข้าจะให้ท่านแม่ทำด้องแด้งผัดซีอิ๊วขอรับ”

จางอี้หมิงยิ้มสดใส ท่าทางน่ารักจนมารดาต้องยื่นมือออกมายีเส้นผมนุ่ม

“เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มทำรายการชนิดใหม่กันเถอะ รู้หรือไม่แม่ชื่นชอบอาหารทุกอย่างของหมิงเอ๋อร์ และแม่ก็สนุกกันมันมากเช่นกัน”

หลังจากนั้นสองแม่ลูกจึงช่วยกันทำอาหารอย่างมีความสุข เด็กน้อยพูดคุยเสียงเจื้อยแจ้วขณะที่บอกให้มารดาปรุงผัดซีอิ๊วไปด้วย ซึ่งหลี่อ้ายเองก็รับฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง

เมื่อถึงมื้ออาหารกลางวัน ด้องแด้งผัดซีอิ๊วจึงได้แจกจ่ายให้กับคนงานที่มาทำงานให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงได้ชิมกันเป็นครั้งแรก ชาวบ้านทุกคนเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารอร่อยและพวกเขาก็ตั้งตารออาหารชนิดใหม่นี้เช่นเดียวกัน

“หมิงหมิงน้อย อาหารรอบนี้มันอร่อยยิ่งนัก ฮูหยินข้าเริ่มบ่นแล้วว่าต้องตัดชุดใหม่ให้ข้าอีกแล้ว” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นและหัวเราะเเก้เขิน

“ฮูหยินข้าก็เริ่มบ่นแล้วเช่นกัน” ชาวบ้านชายอีกคนเอ่ยบ้าง

“ทำเช่นไรได้ ใครให้พวกเรามีบ้านจางเป็นสมาชิกในหมู่บ้านกันเล่า พวกเราโชคดีเพียงไหนที่ได้ชิมรสชาติอาหารก่อนใครอื่นในเมืองไห่ถัง คนพวกนั้นต้องเสียเงินหลายตำลึงเพื่อได้กินอาหารอร่อย พวกเราเพียงตั้งใจทำงานเท่านั้น ก็มีอาหารรสเลิศให้ชิมไม่ขาด” ชายคนแรกเอ่ยอีกครั้ง

“ต้องขอบคุณบ้านจางนะ ที่ทำให้พวกเรามีงานทำ มีรายได้ งานก็ไม่ใช่งานแบกหาม ใช้เเรงงาน ที่สำคัญข้าไม่ต้องเข้าเมืองไปให้พวกในเมืองดูถูกเหยียดหยามว่าต้อยต่ำด้วย” ชาวบ้านชายอีกคนพูดขึ้น

“บ้านจางน้อมรับคำชมเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้พวกท่านรีบตักน้ำปรุงรสขึ้นได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ มันเคี่ยวนานจนจะไหม้แล้วเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยเย้ายิ้ม ๆ

“ขะ ขอโทษ ข้าก็ลืมตัวคุยเพลินไปหน่อย” ชาวบ้านชายคนนั้นรีบยกน้ำปรุงรสขึ้นโดยไว พลอยทำให้ชาวบ้านที่ทำงานด้วยกันหัวเราะขึ้นมาส่งดังเซ็งแซ่ด้วยความเบิกบานใจ

จางอี้หมิงมองการทำงานของชาวบ้านกับสมาชิกกลุ่มการค้าหลัวถงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว นี่ล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการ เด็กน้อยกวาดสายตามองอีกรอบก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตนเองเพื่อวางแผนการผลิตสินค้าใหม่ต่อไป

ทว่าก้นยังไม่ทันได้นั่งลงบนเก้าอี้ เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“หมิงเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์” เป็นจางอี้เทาที่กำลังสอนหนังสือร่วมกับอาจารย์คัง ซึ่งกลุ่มการค้าหลัวถงได้จ้างจากในเมืองไห่ถังให้มาช่วยสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านด้วย บัณฑิตหนุ่มเดินเร็ว ๆ เข้ามายังห้องทำงานของบุตรชายพลางเอ่ยเรียกเด็กน้อยเสียงดัง

“ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่ขอรับ”

“เจ้าอยู่นั่นเอง พ่อไปตามหาเจ้าที่เรือนแต่ไม่พบ” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นมาพลางนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กันกับโต๊ะทำงานบุตรชาย

“ท่านพ่อ ตามหาข้ามีธุระอันใดเร่งด่วนหรือขอรับ”

“พ่อมิมีธุระอันใด แต่เป็นเถ้าแก่หวังให้คนมาแจ้งพ่อที่สถานศึกษาต่างหากเล่า”

“ท่านพ่อ เถ้าแก่หวังมีธุระอันใดหรือขอรับถึงมาแจ้งข่าวในช่วงเวลานี้”

จางอี้หมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วรถม้าของเถ้าแก่หวังจะมารับสินค้าจากกลุ่มการค้าหลัวถงในตอนเช้า แต่ตอนนี้มันก็ล่วงเข้ายามบ่ายใกล้ยามเย็นแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดไปสักหน่อย

“เถ้าแก่หวังฝากข้อความมากับอาคุนว่าหนิงอ๋องได้เดินทางมาถึงยังเมืองไห่ถังแล้ว พระองค์มีพระประสงค์จะให้ลูกเข้าพบโดยเร็วที่สุด หากเป็นไปได้อยากให้ลูกเข้าพบในวันพรุ่งนี้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้อาคุนมาในเวลานี้อย่างไรเล่า”

“จริงด้วยท่านพ่อ เพราะนี่ก็ผ่านฤดูหนาวที่ยาวนานมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว หากท่านอ๋องเดินทางกลับมาที่เมืองไห่ถังคงมาถึงเมืองเราช่วงเวลานี้พอดี มิรู้ว่าเกลือผัก น้ำตาลผักที่เราส่งให้จะใช้ได้ดีมากน้อยเพียงไหน ท่านอาจารย์เทียนก็ไม่รู้ว่าแผลที่ขาจะหายดีแล้วหรือไม่ เพราะพวกเรามัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องภัยหนาวมาตลอดหลายเดือนนี้ ข้าเลยลืมเรื่องของอาจารย์เทียนไปเลยขอรับ”

จางอี้หมิงถึงกับถอนหายใจด้วยความเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยสำหรับเรื่องคุณภาพของเกลือผักและน้ำตาลผัก เนื่องจากถึงแม้ว่าจะตรวจสอบคุณภาพไปแล้ว แต่ก็อย่างที่รู้ เขารู้แต่วิธีการทำในอินเตอร์เน็ต ไม่เคยได้ทดลองทำจริง ๆ แม้แต่ครั้งเดียว ก็ได้แต่หวังว่าคุณภาพของสินค้าทั้งสองจะไม่ด้อยคุณภาพจนเกินไป จนทำให้ท่านอ๋องพิโรธ

“พ่อคิดว่าท่านอ๋องคงอยากพบลูกเรื่องการปลูกผักในฤดูหนาวที่ผ่านมามากกว่า ท่านอาจารย์เทียนและสองหมิงคงรายงานท่านอ๋องไปแล้ว และอีกอย่างเรื่องอาหารที่เก็บได้นาน ขนส่งสะดวก ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านอ๋องคาดหวังไม่น้อย” จางอี้เทาแสดงความคิดเห็นบ้าง

“ท่านพ่อ ข้าทำสำเร็จแล้วนะขอรับ เส้นด้องแด้งแห้ง ที่กลุ่มการค้าหลัวถงจะผลิตออกมาจำหน่าย นอกจากจะส่งขายให้กับกองกำลังเหลียงอันแล้ว เรายังขายให้กับชาวเมืองไห่ถังได้ด้วย เก็บไว้กินในฤดูหนาวก็ได้ขอรับ” จางอี้หมิงกล่าว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“โอ้ ท่านพ่อยังมิได้ชิมด้องแด้งผัดซีอิ๊วหรือขอรับ ข้าว่าข้าเห็นท่านแม่จัดสำรับให้ท่านพ่อกับอาจารย์คังอยู่นะขอรับ”

“พ่อมัวแต่คุยกับอาคุนจึงยังไม่ได้กลับไปยังสถานศึกษาเลย มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักที่เจ้าทำสำเร็จ” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นพลางยกมือลูบลงไปบนศีรษะน้อย ๆ ของบุตรชายด้วยความรักสุดใจ

ระหว่างที่กลุ่มการค้าหลัวถงกำลังยินดีกับความสำเร็จ ชาวบ้านมีความสุขที่ผ่านพ้นภัยหนาวมาได้และในตอนนี้ก็มีงาน มีรายได้ ที่ไม่ต้องไปทำงานในเมือง อีกทั้งยังได้อยู่กับครอบครัว บุตรหลานได้เรียนหนังสือ มิแน่ว่าในอนาคตอาจจะมีบัณฑิตสักคนในหมู่บ้านให้ชื่นใจ

แต่มิใช่กับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังหัวเสียและโกรธจนถึงที่สุด รายงานที่ได้รับจากคนสนิทยิ่งทำให้ชายชราคนนี้ถึงกับกวาดข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งอย่างมิสนใจว่ามันจะเสียหายมากน้อยเพียงไหน แม้แต่แก้วชาแสนรักที่กว่าจะหามาได้ยากยิ่งยังขว้างทิ้งอย่างไม่นึกเสียดาย

“เป็นพวกมันอีกแล้วเช่นนั้นหรือ พวกมันจะตามจองล้างจองผลาญข้าไปถึงไหน ครั้งเรื่องถ่านในฤดูหนาวก็ทำอันใดพวกมันมิได้ ข้าขาดทุนและควักเนื้อไปตั้งเท่าไหร่ ไอ้พวกโจรกระจอกนั่นก็ทำงานล้มเหลว ดีนะที่ข้าเอาครอบครัวของพวกมันมาขู่ ไม่เช่นนั้นข้ามิต้องเข้าไปอยู่ในคุกในตะรางเช่นนั้นหรือ เห็นทีข้าคงต้องลงมือทำเองซะแล้ว”

เสียงโกรธเกรี้ยวตวาดอย่างเดือดดาล เขาจะไม่ยอมเสียเงินมากมายหลายตำลึงทองไปอีก พวกชาวบ้านกระจอกนั่นจะมีปัญญาทำอันใดมากเท่าเขาเล่า

ชายชราสงบสติ รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้า แน่นอนว่าบ้านจางและชาวบ้านหลัวถงไม่ได้รับรู้ถึงภัยในยามนี้ แล้วพวกเขาจะรับรู้กันหรือไม่ว่าชายชราคนนี้อยู่ใกล้เพียงเท่านี้เอง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ