ในยามราตรีที่ท้องฟ้าถูกชโลมไปด้วยสีดำราวกับน้ำหมึก ดวงดาวที่เคยสว่างไสวหายลับ เหลือเพียงความเงียบงันแสนเศร้าสร้อยที่ปกคลุมกระท่อมปลายนาแห่งนี้เอาไว้ สมาชิกบ้านจางทั้งสี่กำลังเครียดหนัก ปัญหาเรื่องน้ำตาลผักที่ยังช่วยกันคิดหาทางออกไม่ได้ทำให้กังวลจนไม่อาจข่มตานอน
บนแคร่ไม้ไผ่ซึ่งเป็นที่นอนของเด็กชายตัวน้อย ใบหน้าเล็กส่ายไปมา คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังฝันร้าย ใช่แล้ว จางอี้หมิงกำลังฝันร้าย เขาฝันถึงชาติก่อนตอนที่ตนเองเป็นเด็กและอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า สถานที่ที่มีความทรงจำทั้งดีและร้าย เพราะเขามีแม่ครูผู้เปรียบเสมือนมารดาที่รักเด็กกำพร้าในบ้านอุ่นไอรักทุกคน แต่ในขณะเดียวกันก็ขาดแคลนในทุกเรื่อง
ทั้งอาหาร อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า ความอบอุ่นจากบุพการีไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ยารักษาโรค หากเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้านอุ่นไอรักก็ไม่มีเงินมากพอที่จะพาเด็ก ๆ ไปหาหมอ แม่ครูจึงต้องหายาสมุนไพรพื้นบ้าน ยาสามัญประจำบ้านที่ทำขึ้นมาเองรักษากันไปตามมีตามเกิด
นนท์ครับ ลูกเป็นหวัดยังไม่ถึงกับเป็นไข้ เอายาอมแก้เจ็บคอนี้ไปอมไว้นะลูก นนท์ต้องรักษาสุขภาพให้ดี อย่าให้เป็นมากกว่าเดิม ถ้านนท์เป็นไข้มาก ๆ แม่ครูไม่มีเงินพานนท์ไปหาหมอ นนท์จะทรมานมากนะครับ
นนท์ครับ อย่าร้องไห้ นนท์เป็นคนเก่ง เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ ได้เสมอ
นนท์ครับ ถ้านนท์ตั้งสติให้ดี มองไปรอบ ๆ นนท์จะมองเห็นทางออกเสมอ อย่าตื่นตระหนก สงบสติอารมณ์ ปล่อยวางในทุกเรื่องพิจารณาให้ดี ทางออกไม่จำเป็นต้องมีทางเดียวเสมอ
นนท์ครับ หากหาใหม่ไม่ได้ นนท์เพียงเอาสิ่งที่มีทดแทนก็ได้นิ่ครับ เห็นไหม ทำแบบนี้
และอีกหลายอย่างหลายเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา ชีวิตที่จางอี้ หมิงฝันถึงชาติของตนเองในสมัยที่ยังคงเป็นอานนท์ เสียงแม่ครูยังติดตราตรึงในใจ ความฝันสุดท้ายแสนเจ็บปวดที่อานนท์ไม่อยากจำคือวันที่รวิสา รักแรกและรักเดียวในชีวิตของเขาได้ก้าวเท้าออกไปจากบ้านเด็กกำพร้าในตอนที่พวกเขาเรียนชั้นมัธยมต้น
เนื่องจากเธอมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ประกอบกับหญิงสาวมีใบหน้าน่ารักอยู่เป็นทุน จึงได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวที่ร่ำรวยครอบครัวหนึ่ง หลังจากนั้น เหมือนแสงสว่างเดียวที่หล่อเลี้ยงใจของอานนท์ค่อย ๆ ดับไป เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย
“หมิงเอ๋อร์ ตื่น หมิงเอ๋อร์ ตื่นเถิด” เสียงเรียกที่คุ้นหูและใครสักคนที่กำลังเขย่าร่างของเขาส่งผลให้อี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาในไม่ช้า
“ท่านย่า” เขาร้องเรียก
“ใช่ ย่าเอง หมิงเอ๋อร์คงฝันร้ายถึงได้ดิ้นรุนแรงเช่นนี้ เป็นเช่นไรบ้าง” นางหูเอ่ยถามและหยุดเขย่าร่างของหลานชายเมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้ว
“ข้าฝันร้ายขอรับท่านย่า ขอบคุณท่านย่าที่ปลุก ยามนี้ยามใดแล้วขอรับ” หลังจากรู้สึกตัวและพบว่าตนเองเพียงฝันถึงชีวิตของชาติที่เป็นอานนท์ เขาจึงระงับอารมณ์พร้อมเอ่ยถามหูไป๋หงกลับไป
“คงจะราวยามเหม่า (05.00 - 06.59) ย่าจะลุกแล้ว หมิงเอ๋อร์นอนต่ออีกหน่อยดีหรือไม่” นางหูตอบหลานชายด้วยความเป็นห่วง เห็นหลานเป็นเช่นนี้แล้วนางก็ใจไม่ดี
“ไม่ล่ะขอรับท่านย่า ข้าคงนอนไม่หลับแล้ว” จางอี้หมิงตอบนางหูเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปล้างหน้าล้างตา
เขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เพื่อหาทางออกของเรื่องน้ำตาลผัก ต้องหาทางแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เพราะพรุ่งนี้จะถึงกำหนดวันที่นายช่างเหอจะนำคนงานมาสร้างบ้านให้กับครอบครัวแล้ว
เวลาที่รับปากกับหนิงอ๋องไว้ก็ผ่านไปทุกวัน ส่วนตัวเขาก็ยังหาทางออกไม่เจอ
เด็กน้อยเดินมานั่งอยู่แคร่หน้าบ้านเพียงไม่นาน จางอี้เทาและ หลี่อ้ายจึงลุกตามมา พวกเขาล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว หลี่อ้ายไปช่วยแม่สามีทำมื้อเช้า จางอี้เทาถือโอกาสมานั่งด้วยกันกับบุตรชาย
“อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านพ่อ”
“อรุณสวัสดิ์หมิงเอ๋อร์”
พวกเขาเอ่ยออกมาพร้อมกัน สุดท้ายก็เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยถามต่อ “เหตุใดจึงตื่นมาแต่เช้าเล่า”
“ข้านอนไม่หลับขอรับ อดคิดเรื่องน้ำตาลผักไม่ได้” จางอี้หมิงลุกขึ้นไปนั่งบนตักของบิดาพลางใช้ศีรษะน้อย ๆ ซบลงไปบนอกของจางอี้เทา เขาตอบออกไปด้วยเสียงเหนื่อยล้า
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กน้อยถึงเพียงนี้ อย่าได้แบกรับปัญหาไว้เลย พ่อเชื่อว่าเราต้องแก้ปัญหานี้ได้ วันนี้เราเข้าไปในเมืองไปหาท่านพ่อบุญธรรมดีหรือไม่ บางที่ท่านอาจจะมีหนทางช่วยเหลือหาทางออกให้ก็เป็นได้” จางอี้เทากระชับอ้อมกอดบุตรชายแน่นขึ้นอีกนิด
“ดีขอรับ เช่นนั้นพวกเราก็ไปเตรียมตัวกันเถอะขอรับ”
จางอี้หมิงเห็นด้วยกับบิดา ให้นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้นั่งไปจนตะวันลับขอบฟ้าพวกเขาก็คิดไม่ออกอยู่ดี เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงเอาหัวเชื้อน้ำตาลผักที่ทดลองทำไว้เมื่อสองวันก่อนใส่ตะกร้าไม้ไผ่ของบิดาติดไปด้วย และไม่ลืมเอ่ยเตือนให้ขอเงินจากท่านย่าเพื่อซื้ออาหารมาเพิ่ม
สองพ่อลูกกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ขอตัว พวกเขาเดินไปที่ปากทางหมู่บ้านเพื่อไปขึ้นเกวียนของลุงผินเข้าเมือง ขั้นตอนและเวลาก็เป็นเช่นทุกครั้ง แต่ที่แตกต่างคือระหว่างนั่งบนเกวียนในครั้งนี้ จางอี้หมิงได้มีโอกาสคิดถึงความฝันเมื่อคืนนี้ที่เขาฝันถึงเหตุการณ์ในตอนที่เป็นอานนท์ไปด้วย
ความฝันที่เขายังจำได้ช่างน่าแปลกนัก เหตุใดเขาถึงจำได้แม่นยำถึงเพียงนี้ หรือว่ามีสิ่งที่จะสามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ แต่ว่าในความฝันไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวกับน้ำตาลผักเลยนี้นา
นนท์ครับ อย่าร้องไห้ นนท์เป็นคนเก่งเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ได้เสมอ
นนท์ครับ ถ้านนท์ตั้งสติให้ดี มองไปรอบ ๆ นนท์จะมองเห็นทางออกเสมอ อย่าตื่นตระหนก สงบสติอารมณ์ ปล่อยวางในทุกเรื่อง พิจารณาให้ดี ทางออกไม่จำเป็นต้องมีทางเดียวเสมอ
นนท์ครับ หากหาใหม่ไม่ได้นนท์เพียงเอาสิ่งที่มีทดแทนก็ได้นิ่ครับ เห็นไหม ทำแบบนี้
สามประโยคนี้ติดอยู่ในหัวของเขา สมองของเขาคิดคำพวกนี้จนวุ่นวายไปหมด ทั้งสับสน ไม่เป็นระเบียบและฟุ้งซ่านเหลือเกิน
แม่ครูบอกว่าต้องตั้งสติ ให้เริ่มจากมองปัญหาที่จุดเริ่มต้นแล้วถามหาคำตอบไปเรื่อย ๆ เหมือนรวงผึ้ง ขยายวงกว้างออกไป ที่ผ่านมาเขายังทำได้ ทำไมครั้งนี้เขาจะแก้ปัญหาอีกไม่ได้เล่า
ยามนี้สีหน้าของจางอี้หมิงย่ำแย่อย่างยิ่ง ความคิดของเขาตีกันวุ่นวายไปหมด
ปัญหาตอนนี้คือเพราะรับคำสั่งซื้อน้ำตาลผักมาเป็นจำนวนมาก จางอี้หมิงคิดในใจ
แต่เฉพาะครอบครัวจางไม่สามารถทำเองได้ทั้งหมด จึงต้องให้ชาวบ้านมาช่วย
ถ้าให้ชาวบ้านมาช่วย สูตรน้ำตาลผักต้องรั่วไหลออกไปแน่ ดังนั้นจึงต้องทำหัวเชื้อน้ำตาลผักขึ้นมา แล้วให้ชาวบ้านทำน้ำตาลผักจากหัวเชื้อของบ้านสกุลจาง
ทว่าการต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อ ชาวบ้านต้องใช้ฟืนจำนวนมาก
ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูหนาวแล้ว ฟืนมีไม่พอให้เอามาถลุงใช้ทำน้ำตาลผัก ชาวบ้านต้องเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาว
และพวกเขาก็ไม่สามารถซื้อฟืนจากหมู่บ้านอื่นได้ เพราะพวกเขาก็ต้องเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวเช่นกัน
แบบนี้ ควรจะทำอย่างไรดี จางอี้หมิงเริ่มวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเมื่อฟืนคือปัญหาและมีไม่เพียงพอ จึงควรตัดปัญหาทิ้งแล้วไม่ต้องใช้ฟืน แต่ถ้าไม่ใช้ฟืนต้ม แล้วจะเอาน้ำตาลผักจากที่ไหนไปส่งให้หนิงอ๋องได้กันเล่า
เดี๋ยวนะ ถ้าเอาน้ำตาลผักไปส่งไม่ได้ ทว่าสามารถเอาหัวเชื้อน้ำตาลผักไปส่งได้นี่
แถมฟืนที่ใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผักแค่หนึ่งพันไห เปรียบเทียบกับฟืนที่ใช้ทำน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห จำนวนที่ใช้น้อยกว่ากันเห็น ๆ
โอ๊ย ตาย โง่อยู่ตั้งนาน เพิ่งจะคิดได้เหรอนี่
“จริงด้วย ขายหัวเชื้อน้ำตาลผักพันไหในราคาน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห และยังประหยัดพื้นที่ในการขนส่งด้วย ทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ”
จางอี้หมิงตะโกนขึ้นมาสุดเสียง เด็กน้อยหันไปเขย่าแขนบิดาด้วยความดีใจจนเกือบจะตกเกวียนกันทั้งคู่ โชคดีที่จางอี้เทาคว้าเอวบุตรชายไว้ได้ทันท่วงที ลุงผินและคนบนเกวียนหันหน้ามามองเด็กน้อยพลางส่ายหน้าด้วยความขบขัน
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงตะโกนเสียงดังขึ้นมาเช่นนี้เล่า ข้าต้องขอโทษแทนบุตรชายของข้าด้วยนะขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายก่อนหันไปกล่าวขอโทษผู้โดยสารบนเกวียน
“ท่านพ่อ ข้ารู้วิธีแก้ปัญหาเรื่องน้ำตาลผักแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยรอยยิ้มจนตาหยี
“เจ้าว่าเช่นไรนะ หมิงเอ๋อร์รู้วิธีแก้ปัญหาได้แล้ว”
“ขอรับ เมื่อไปถึงร้านเถ้าแก่หวังข้าจะเล่าให้ท่านพ่อฟังขอรับ” จางอี้เทาพ่นลมหายใจออกจากปากด้วยความโล่งใจก่อนตอบบิดา
“ดี ๆ เก่งมากหมิงเอ๋อร์”
จางอี้เทาลูบผมบุตรชายด้วยความภูมิใจ บุตรชายของเขาคนนี้ ดูท่าแล้วคงจะเป็นผู้มากความรู้และฉลาดเฉลียว ในอนาคตจะต้องเป็นใหญ่และมีชีวิตที่สดใสกว่าเขาแน่ ในฐานะพ่อแล้ว เขาก็ได้แต่ภาคภูมิใจอยู่ข้างหลัง
.
หลังจากที่จางอี้เทาและจางอี้หมิงจ่ายค่าผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว พวกเขาต่างเร่งรีบตรงไปยังร้านของเถ้าแก่หวังในทันที สองพ่อลูกสกุลจางกำลังนั่งปรึกษาหารือกับเถ้าแก่ท่ามกลางบรรยากาศอันเคร่งเครียด เนื่องจากจางอี้หมิงเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขาต้องมาพบเถ้าแก่หวังในวันนี้อย่างกะทันหัน หลังจากเพิ่งไปตกลงทำการค้ากับหนิงอ๋องมาได้ไม่ถึงสองวัน
“หมิงหมิงน้อย เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถส่งน้ำตาลผักจำนวนหนึ่งแสนไหได้เช่นนั้นหรือ มันเกิดอันใดขึ้น” เถ้าแก่หวังถึงกับหน้าซีดเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจากปากเด็กน้อย
“ใช่แล้วขอรับ เพราะข้าลืมคิดไปว่าต้องใช้ฟืนเป็นจำนวนมากในการต้มน้ำตาลผักมากขนาดนั้น ฟืนจึงไม่เพียงพอให้เอามาใช้ต้มน้ำตาลผัก ชาวบ้านต้องเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิงในฤดูหนาวขอรับ”
“เช่นนั้นจะทำเช่นไรกันดี หนิงอ๋องต้องไม่พอพระทัยกับคำตอบนี้เป็นแน่” เถ้าแก่หวังถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความกังวล
“เถ้าแก่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ข้าหาทางแก้ไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ข้าต้องพึ่งเถ้าแก่ในการเป็นผู้ไปแจ้งข่าวให้แก่ท่านอ๋องทราบขอรับ”
“หือ หมิงหมิงน้อยลองบอกวิธีแก้ปัญหาของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่ และเจ้าต้องการให้ข้าทำอันใดขอจงบอกมา” เถ้าแก่หวังเงยหน้ามองไปยังเด็กน้อยพลางเอ่ยปากถามอย่างมีความหวัง
“ปัญหาคือกลุ่มการค้าหลัวถงไม่มีฟืนเพียงพอที่จะใช้ในการต้มน้ำตาลผัก ดังนั้นกลุ่มการค้าหลัวถงจะส่งเกลือผักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของไหที่เถ้าแก่หวังสั่งทำไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านน่าจะไประงับการผลิตได้ แต่มิใช่ยกเลิกไปเลยนะขอรับ เพราะต้องใช้ไหในการบรรจุเกลือผักเช่นกัน แต่จำนวนไม่มากขอรับ
เถ้าแก่ต้องส่งหัวเชื้อน้ำตาลผักแทนน้ำตาลผักพร้อมใช้ วิธีนี้นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องฟืนให้กลุ่มการค้าหลัวถงแล้ว ยังแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งให้กับหนิงอ๋องอีกด้วยขอรับ”
“โอ้ จริงสิ หมิงหมิงน้อย เหตุใดเจ้าถึงเก่งกาจเช่นนี้ ใช่แล้ว วิธีนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองฟืนจำนวนมาก ท่านอ๋องก็ขนไปเพียงหนึ่งพันไหแทนที่จะเป็นหนึ่งแสนไห การเคลื่อนย้ายก็ง่ายกว่ามาก กองกำลัง เหลียงอันยังมีพื้นที่สำหรับอาหารชนิดอื่นด้วย”
หวังหลีจุนเอ่ยถึงข้อดีของวิธีการแก้ปัญหานี้ได้อย่างลงตัว พลางจ้องมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาคิดไม่ผิดที่ทำการค้ากับเด็กคนนี้ อย่าได้ดูถูกสติปัญญาในหัวน้อย ๆ นั่นเชียว
“เถ้าแก่ มันไม่ง่ายเช่นนั้น ปัญหาตอนนี้คือท่านอ๋องจะยอมรับข้อเสนอของเราหรือไม่ สัญญาที่ทำกับราชวงศ์เราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เราจะทำให้ท่านอ๋องกริ้วหรือไม่”
“จริงด้วย อุตส่าห์หาทางออกได้แล้วแต่ยังมาติดปัญหานี้อีก เหตุใดการทำการค้ากับกองกำลังเหลียงอันถึงได้ยากลำบากเช่นนี้ ความร่ำรวยใช่ได้มาง่าย ๆ จริง ๆ” เถ้าแก่หวังบ่นเบา ๆ
“หมิงเอ๋อร์ หากว่าท่านอ๋องไม่ยอมรับข้อเสนอทางออกนี้ เหตุใดเราไม่เสนอสิ่งที่ทางหนิงอ๋องต้องการเล่า เพื่อเป็นการขอโทษและในขณะเดียวกันก็ทำการค้าไปด้วย พร้อมแสดงความจริงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น” จางอี้เทานั่งฟังเถ้าแก่หวังกับบุตรชายปรึกษาหารือถึงการแก้ปัญหามาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงเสนอวิธีการแก้ปัญหาขึ้นบ้าง
“ท่านพ่อ แล้วสิ่งใดที่หนิงอ๋องต้องการเล่าขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม
“แคว้นเหลียงอยู่ในเขตหนาว ปลูกพืชผักมิได้ อาหารไม่เพียงพอต่อคนในแคว้น จุดประสงค์หลักของกองกำลังเหลียงอันคือออกเดินทางเพื่อหาอาหารกลับแคว้น หากเราสามารถมอบสิ่งที่แคว้นเหลียงต้องการได้ โดยที่เราก็ไม่เสียประโยชน์ พ่อว่าท่านอ๋องต้องยินยอมรับข้อเสนอเป็นแน่”
“อาเทา เจ้าพูดถูก แต่อย่างที่ทุกคนรู้ อาหารพวกข้าว ธัญพืช สมุนไพร เครื่องเทศ ผักดอง เนื้อแห้ง ท่านอ๋องสามารถหาซื้อกลับไปที่แคว้นเหลียงได้ไม่มีปัญหาเลย สิ่งที่แคว้นเหลียงต้องการคือผักสดต่างหากเล่า ต่อให้ใช้ม้าเร็วก็ไม่อาจขนส่งผักสดจากแคว้นต่าง ๆ เข้าไปขายที่แคว้นเหลียงได้ ในตอนนี้ผักสดมีเพียงแคว้นเล็ก ๆ เช่นแคว้นชุนที่ติดแคว้นเหลียงเท่านั้นที่พอให้ชาวเมืองแคว้นเหลียงได้มีผักสดกิน”
“เช่นนั้นคงไม่มีทางออกแล้วล่ะหมิงเอ๋อร์ หามีผู้ใดสามารถปลูกผักในแคว้นเหลียงได้ มิเช่นนั้นแคว้นเหลียงคงไม่รอมาเป็นหลายร้อยหลายพันปีเช่นนี้หรอก เถ้าแก่หวังเห็นด้วยหรือไม่”
“ท่านพ่อ เถ้าแก่หวัง ถ้าองค์ชายทั้งสามสามารถแก้ปัญหาเรื่องการปลูกผักได้ มิใช่จะได้ความดีความชอบ อาจจะสามารถมีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัชทายาทได้เลยหรือไม่ขอรับ”
“พ่อว่าใช่”
“ข้าก็ว่าใช่”
จางอี้เทาและเถ้าแก่หวังตอบพร้อมกัน
“ถ้าหากว่าไม่ใช่การปลูกผักในเมืองหนาว เป็นอันใดอีกบ้างที่จะสามารถนำไปเสนอให้ท่านอ๋องสนใจได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะถูกต้อง
“ข้าว่าคงจะเป็นอาหารที่แตกต่างออกไป สามารถเก็บไว้ได้นาน ขนส่งเคลื่อนย้ายง่าย สะดวกในการพกพา รสชาติอร่อย ขั้นตอนในการปรุงไม่ยุ่งยาก หากว่าเจ้ามีอาหารตามที่ข้าว่ามา เช่นนั้นท่านอ๋องอาจจะสนใจก็เป็นได้” เถ้าแก่หวังแสดงความคิดเห็น
จางอี้หมิงยิ่งคิดหนักเข้าไปอีก เขาหันหน้าไปมองท่านพ่อ เถ้าแก่ร้านของชำ สุดท้ายทั้งสามคนก็ได้แต่มองกันไปมาไม่พูดสิ่งใด
เฮ้อ
สุดท้าย เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยดังออกมาพร้อมกัน ไม่ว่าทางไหนก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แล้วเช่นนี้จะทำเช่นใดกันต่อไปเล่า
คิดสิจางอี้หมิง คิด! ต้องมีหนทางแน่
แม้ว่าตอนนี้จะยังริบหรี่มากก็ตาม...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?