ตอนที่ 48 เจ้าปลูกผักได้หรือไม่เล่า

ในยามราตรีที่ท้องฟ้าถูกชโลมไปด้วยสีดำราวกับน้ำหมึก ดวงดาวที่เคยสว่างไสวหายลับ เหลือเพียงความเงียบงันแสนเศร้าสร้อยที่ปกคลุมกระท่อมปลายนาแห่งนี้เอาไว้ สมาชิกบ้านจางทั้งสี่กำลังเครียดหนัก ปัญหาเรื่องน้ำตาลผักที่ยังช่วยกันคิดหาทางออกไม่ได้ทำให้กังวลจนไม่อาจข่มตานอน

บนแคร่ไม้ไผ่ซึ่งเป็นที่นอนของเด็กชายตัวน้อย ใบหน้าเล็กส่ายไปมา คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังฝันร้าย ใช่แล้ว จางอี้หมิงกำลังฝันร้าย เขาฝันถึงชาติก่อนตอนที่ตนเองเป็นเด็กและอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า สถานที่ที่มีความทรงจำทั้งดีและร้าย เพราะเขามีแม่ครูผู้เปรียบเสมือนมารดาที่รักเด็กกำพร้าในบ้านอุ่นไอรักทุกคน แต่ในขณะเดียวกันก็ขาดแคลนในทุกเรื่อง

ทั้งอาหาร อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า ความอบอุ่นจากบุพการีไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ยารักษาโรค หากเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้านอุ่นไอรักก็ไม่มีเงินมากพอที่จะพาเด็ก ๆ ไปหาหมอ แม่ครูจึงต้องหายาสมุนไพรพื้นบ้าน ยาสามัญประจำบ้านที่ทำขึ้นมาเองรักษากันไปตามมีตามเกิด

นนท์ครับ ลูกเป็นหวัดยังไม่ถึงกับเป็นไข้ เอายาอมแก้เจ็บคอนี้ไปอมไว้นะลูก นนท์ต้องรักษาสุขภาพให้ดี อย่าให้เป็นมากกว่าเดิม ถ้านนท์เป็นไข้มาก ๆ แม่ครูไม่มีเงินพานนท์ไปหาหมอ นนท์จะทรมานมากนะครับ 

นนท์ครับ อย่าร้องไห้ นนท์เป็นคนเก่ง เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ ได้เสมอ

นนท์ครับ ถ้านนท์ตั้งสติให้ดี มองไปรอบ ๆ นนท์จะมองเห็นทางออกเสมอ อย่าตื่นตระหนก สงบสติอารมณ์ ปล่อยวางในทุกเรื่องพิจารณาให้ดี ทางออกไม่จำเป็นต้องมีทางเดียวเสมอ

นนท์ครับ หากหาใหม่ไม่ได้ นนท์เพียงเอาสิ่งที่มีทดแทนก็ได้นิ่ครับ เห็นไหม ทำแบบนี้

และอีกหลายอย่างหลายเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา ชีวิตที่จางอี้ หมิงฝันถึงชาติของตนเองในสมัยที่ยังคงเป็นอานนท์ เสียงแม่ครูยังติดตราตรึงในใจ ความฝันสุดท้ายแสนเจ็บปวดที่อานนท์ไม่อยากจำคือวันที่รวิสา รักแรกและรักเดียวในชีวิตของเขาได้ก้าวเท้าออกไปจากบ้านเด็กกำพร้าในตอนที่พวกเขาเรียนชั้นมัธยมต้น

เนื่องจากเธอมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ประกอบกับหญิงสาวมีใบหน้าน่ารักอยู่เป็นทุน จึงได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวที่ร่ำรวยครอบครัวหนึ่ง หลังจากนั้น เหมือนแสงสว่างเดียวที่หล่อเลี้ยงใจของอานนท์ค่อย ๆ ดับไป เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย

“หมิงเอ๋อร์ ตื่น หมิงเอ๋อร์ ตื่นเถิด” เสียงเรียกที่คุ้นหูและใครสักคนที่กำลังเขย่าร่างของเขาส่งผลให้อี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาในไม่ช้า

“ท่านย่า” เขาร้องเรียก

“ใช่ ย่าเอง หมิงเอ๋อร์คงฝันร้ายถึงได้ดิ้นรุนแรงเช่นนี้ เป็นเช่นไรบ้าง” นางหูเอ่ยถามและหยุดเขย่าร่างของหลานชายเมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้ว

“ข้าฝันร้ายขอรับท่านย่า ขอบคุณท่านย่าที่ปลุก ยามนี้ยามใดแล้วขอรับ” หลังจากรู้สึกตัวและพบว่าตนเองเพียงฝันถึงชีวิตของชาติที่เป็นอานนท์ เขาจึงระงับอารมณ์พร้อมเอ่ยถามหูไป๋หงกลับไป

“คงจะราวยามเหม่า (05.00 - 06.59) ย่าจะลุกแล้ว หมิงเอ๋อร์นอนต่ออีกหน่อยดีหรือไม่” นางหูตอบหลานชายด้วยความเป็นห่วง เห็นหลานเป็นเช่นนี้แล้วนางก็ใจไม่ดี

“ไม่ล่ะขอรับท่านย่า ข้าคงนอนไม่หลับแล้ว” จางอี้หมิงตอบนางหูเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปล้างหน้าล้างตา

เขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เพื่อหาทางออกของเรื่องน้ำตาลผัก ต้องหาทางแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เพราะพรุ่งนี้จะถึงกำหนดวันที่นายช่างเหอจะนำคนงานมาสร้างบ้านให้กับครอบครัวแล้ว

เวลาที่รับปากกับหนิงอ๋องไว้ก็ผ่านไปทุกวัน ส่วนตัวเขาก็ยังหาทางออกไม่เจอ

เด็กน้อยเดินมานั่งอยู่แคร่หน้าบ้านเพียงไม่นาน จางอี้เทาและ หลี่อ้ายจึงลุกตามมา พวกเขาล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว หลี่อ้ายไปช่วยแม่สามีทำมื้อเช้า จางอี้เทาถือโอกาสมานั่งด้วยกันกับบุตรชาย

“อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านพ่อ”

“อรุณสวัสดิ์หมิงเอ๋อร์”

พวกเขาเอ่ยออกมาพร้อมกัน สุดท้ายก็เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยถามต่อ “เหตุใดจึงตื่นมาแต่เช้าเล่า”

“ข้านอนไม่หลับขอรับ อดคิดเรื่องน้ำตาลผักไม่ได้” จางอี้หมิงลุกขึ้นไปนั่งบนตักของบิดาพลางใช้ศีรษะน้อย ๆ ซบลงไปบนอกของจางอี้เทา เขาตอบออกไปด้วยเสียงเหนื่อยล้า

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กน้อยถึงเพียงนี้ อย่าได้แบกรับปัญหาไว้เลย พ่อเชื่อว่าเราต้องแก้ปัญหานี้ได้ วันนี้เราเข้าไปในเมืองไปหาท่านพ่อบุญธรรมดีหรือไม่ บางที่ท่านอาจจะมีหนทางช่วยเหลือหาทางออกให้ก็เป็นได้” จางอี้เทากระชับอ้อมกอดบุตรชายแน่นขึ้นอีกนิด

“ดีขอรับ เช่นนั้นพวกเราก็ไปเตรียมตัวกันเถอะขอรับ”

จางอี้หมิงเห็นด้วยกับบิดา ให้นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้นั่งไปจนตะวันลับขอบฟ้าพวกเขาก็คิดไม่ออกอยู่ดี เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงเอาหัวเชื้อน้ำตาลผักที่ทดลองทำไว้เมื่อสองวันก่อนใส่ตะกร้าไม้ไผ่ของบิดาติดไปด้วย และไม่ลืมเอ่ยเตือนให้ขอเงินจากท่านย่าเพื่อซื้ออาหารมาเพิ่ม

สองพ่อลูกกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ขอตัว พวกเขาเดินไปที่ปากทางหมู่บ้านเพื่อไปขึ้นเกวียนของลุงผินเข้าเมือง ขั้นตอนและเวลาก็เป็นเช่นทุกครั้ง แต่ที่แตกต่างคือระหว่างนั่งบนเกวียนในครั้งนี้ จางอี้หมิงได้มีโอกาสคิดถึงความฝันเมื่อคืนนี้ที่เขาฝันถึงเหตุการณ์ในตอนที่เป็นอานนท์ไปด้วย

ความฝันที่เขายังจำได้ช่างน่าแปลกนัก เหตุใดเขาถึงจำได้แม่นยำถึงเพียงนี้ หรือว่ามีสิ่งที่จะสามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ แต่ว่าในความฝันไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวกับน้ำตาลผักเลยนี้นา

นนท์ครับ อย่าร้องไห้ นนท์เป็นคนเก่งเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ได้เสมอ

นนท์ครับ ถ้านนท์ตั้งสติให้ดี มองไปรอบ ๆ นนท์จะมองเห็นทางออกเสมอ อย่าตื่นตระหนก สงบสติอารมณ์ ปล่อยวางในทุกเรื่อง พิจารณาให้ดี ทางออกไม่จำเป็นต้องมีทางเดียวเสมอ

นนท์ครับ หากหาใหม่ไม่ได้นนท์เพียงเอาสิ่งที่มีทดแทนก็ได้นิ่ครับ เห็นไหม ทำแบบนี้

สามประโยคนี้ติดอยู่ในหัวของเขา สมองของเขาคิดคำพวกนี้จนวุ่นวายไปหมด ทั้งสับสน ไม่เป็นระเบียบและฟุ้งซ่านเหลือเกิน

แม่ครูบอกว่าต้องตั้งสติ ให้เริ่มจากมองปัญหาที่จุดเริ่มต้นแล้วถามหาคำตอบไปเรื่อย ๆ เหมือนรวงผึ้ง ขยายวงกว้างออกไป ที่ผ่านมาเขายังทำได้ ทำไมครั้งนี้เขาจะแก้ปัญหาอีกไม่ได้เล่า

ยามนี้สีหน้าของจางอี้หมิงย่ำแย่อย่างยิ่ง​ ความคิดของเขาตีกันวุ่นวายไปหมด

 ปัญหาตอนนี้คือเพราะรับคำสั่งซื้อน้ำตาลผักมาเป็นจำนวนมาก​ จางอี้หมิงคิดในใจ

แต่เฉพาะครอบครัวจางไม่สามารถทำเองได้ทั้งหมด​ จึงต้องให้ชาวบ้านมาช่วย

 ถ้าให้ชาวบ้านมาช่วย สูตรน้ำตาลผักต้องรั่วไหลออกไปแน่ ดังนั้นจึงต้องทำหัวเชื้อน้ำตาลผักขึ้นมา แล้วให้ชาวบ้านทำน้ำตาลผักจากหัวเชื้อของบ้านสกุลจาง

 ทว่าการต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อ​ ชาวบ้านต้องใช้ฟืนจำนวนมาก

 

ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูหนาวแล้ว​ ฟืนมีไม่พอให้เอามาถลุงใช้ทำน้ำตาลผัก ชาวบ้านต้องเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาว

 และพวกเขาก็ไม่สามารถซื้อฟืนจากหมู่บ้านอื่นได้​ เพราะพวกเขาก็ต้องเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวเช่นกัน

 แบบนี้​ ควรจะทำอย่างไรดี จางอี้หมิงเริ่มวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

 ในเมื่อฟืนคือปัญหาและมีไม่เพียงพอ​ จึงควรตัดปัญหาทิ้งแล้วไม่ต้องใช้ฟืน​ แต่ถ้าไม่ใช้ฟืนต้ม​ แล้วจะเอาน้ำตาลผักจากที่ไหนไปส่งให้หนิงอ๋องได้กันเล่า

 เดี๋ยวนะ​ ถ้าเอาน้ำตาลผักไปส่งไม่ได้​ ทว่าสามารถเอาหัวเชื้อน้ำตาลผักไปส่งได้นี่

 แถมฟืนที่ใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผักแค่หนึ่งพันไห​ เปรียบเทียบกับฟืนที่ใช้ทำน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห​ จำนวนที่ใช้น้อยกว่ากันเห็น ๆ

 โอ๊ย​ ตาย​ โง่อยู่ตั้งนาน เพิ่งจะคิดได้เหรอนี่​

“จริงด้วย ขายหัวเชื้อน้ำตาลผักพันไหในราคาน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห และยังประหยัดพื้นที่ในการขนส่งด้วย ทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ”

จางอี้หมิงตะโกนขึ้นมาสุดเสียง เด็กน้อยหันไปเขย่าแขนบิดาด้วยความดีใจจนเกือบจะตกเกวียนกันทั้งคู่ โชคดีที่จางอี้เทาคว้าเอวบุตรชายไว้ได้ทันท่วงที ลุงผินและคนบนเกวียนหันหน้ามามองเด็กน้อยพลางส่ายหน้าด้วยความขบขัน 

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงตะโกนเสียงดังขึ้นมาเช่นนี้เล่า ข้าต้องขอโทษแทนบุตรชายของข้าด้วยนะขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายก่อนหันไปกล่าวขอโทษผู้โดยสารบนเกวียน

“ท่านพ่อ ข้ารู้วิธีแก้ปัญหาเรื่องน้ำตาลผักแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยรอยยิ้มจนตาหยี

“เจ้าว่าเช่นไรนะ หมิงเอ๋อร์รู้วิธีแก้ปัญหาได้แล้ว”

“ขอรับ เมื่อไปถึงร้านเถ้าแก่หวังข้าจะเล่าให้ท่านพ่อฟังขอรับ” จางอี้เทาพ่นลมหายใจออกจากปากด้วยความโล่งใจก่อนตอบบิดา

“ดี ๆ เก่งมากหมิงเอ๋อร์”

จางอี้เทาลูบผมบุตรชายด้วยความภูมิใจ บุตรชายของเขาคนนี้ ดูท่าแล้วคงจะเป็นผู้มากความรู้และฉลาดเฉลียว ในอนาคตจะต้องเป็นใหญ่และมีชีวิตที่สดใสกว่าเขาแน่ ในฐานะพ่อแล้ว เขาก็ได้แต่ภาคภูมิใจอยู่ข้างหลัง

 .

หลังจากที่จางอี้เทาและจางอี้หมิงจ่ายค่าผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว พวกเขาต่างเร่งรีบตรงไปยังร้านของเถ้าแก่หวังในทันที สองพ่อลูกสกุลจางกำลังนั่งปรึกษาหารือกับเถ้าแก่ท่ามกลางบรรยากาศอันเคร่งเครียด เนื่องจากจางอี้หมิงเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขาต้องมาพบเถ้าแก่หวังในวันนี้อย่างกะทันหัน หลังจากเพิ่งไปตกลงทำการค้ากับหนิงอ๋องมาได้ไม่ถึงสองวัน

“หมิงหมิงน้อย เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถส่งน้ำตาลผักจำนวนหนึ่งแสนไหได้เช่นนั้นหรือ มันเกิดอันใดขึ้น” เถ้าแก่หวังถึงกับหน้าซีดเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจากปากเด็กน้อย

“ใช่แล้วขอรับ เพราะข้าลืมคิดไปว่าต้องใช้ฟืนเป็นจำนวนมากในการต้มน้ำตาลผักมากขนาดนั้น ฟืนจึงไม่เพียงพอให้เอามาใช้ต้มน้ำตาลผัก ชาวบ้านต้องเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิงในฤดูหนาวขอรับ”

“เช่นนั้นจะทำเช่นไรกันดี หนิงอ๋องต้องไม่พอพระทัยกับคำตอบนี้เป็นแน่” เถ้าแก่หวังถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความกังวล

“เถ้าแก่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ข้าหาทางแก้ไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ข้าต้องพึ่งเถ้าแก่ในการเป็นผู้ไปแจ้งข่าวให้แก่ท่านอ๋องทราบขอรับ”

“หือ หมิงหมิงน้อยลองบอกวิธีแก้ปัญหาของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่ และเจ้าต้องการให้ข้าทำอันใดขอจงบอกมา” เถ้าแก่หวังเงยหน้ามองไปยังเด็กน้อยพลางเอ่ยปากถามอย่างมีความหวัง

“ปัญหาคือกลุ่มการค้าหลัวถงไม่มีฟืนเพียงพอที่จะใช้ในการต้มน้ำตาลผัก ดังนั้นกลุ่มการค้าหลัวถงจะส่งเกลือผักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของไหที่เถ้าแก่หวังสั่งทำไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านน่าจะไประงับการผลิตได้ แต่มิใช่ยกเลิกไปเลยนะขอรับ เพราะต้องใช้ไหในการบรรจุเกลือผักเช่นกัน แต่จำนวนไม่มากขอรับ

เถ้าแก่ต้องส่งหัวเชื้อน้ำตาลผักแทนน้ำตาลผักพร้อมใช้ วิธีนี้นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องฟืนให้กลุ่มการค้าหลัวถงแล้ว ยังแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งให้กับหนิงอ๋องอีกด้วยขอรับ”

“โอ้ จริงสิ หมิงหมิงน้อย เหตุใดเจ้าถึงเก่งกาจเช่นนี้ ใช่แล้ว วิธีนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองฟืนจำนวนมาก ท่านอ๋องก็ขนไปเพียงหนึ่งพันไหแทนที่จะเป็นหนึ่งแสนไห การเคลื่อนย้ายก็ง่ายกว่ามาก กองกำลัง เหลียงอันยังมีพื้นที่สำหรับอาหารชนิดอื่นด้วย” 

หวังหลีจุนเอ่ยถึงข้อดีของวิธีการแก้ปัญหานี้ได้อย่างลงตัว พลางจ้องมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาคิดไม่ผิดที่ทำการค้ากับเด็กคนนี้ อย่าได้ดูถูกสติปัญญาในหัวน้อย ๆ นั่นเชียว

“เถ้าแก่ มันไม่ง่ายเช่นนั้น ปัญหาตอนนี้คือท่านอ๋องจะยอมรับข้อเสนอของเราหรือไม่ สัญญาที่ทำกับราชวงศ์เราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เราจะทำให้ท่านอ๋องกริ้วหรือไม่” 

“จริงด้วย อุตส่าห์หาทางออกได้แล้วแต่ยังมาติดปัญหานี้อีก เหตุใดการทำการค้ากับกองกำลังเหลียงอันถึงได้ยากลำบากเช่นนี้ ความร่ำรวยใช่ได้มาง่าย ๆ จริง ๆ” เถ้าแก่หวังบ่นเบา ๆ 

“หมิงเอ๋อร์ หากว่าท่านอ๋องไม่ยอมรับข้อเสนอทางออกนี้ เหตุใดเราไม่เสนอสิ่งที่ทางหนิงอ๋องต้องการเล่า เพื่อเป็นการขอโทษและในขณะเดียวกันก็ทำการค้าไปด้วย พร้อมแสดงความจริงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น” จางอี้เทานั่งฟังเถ้าแก่หวังกับบุตรชายปรึกษาหารือถึงการแก้ปัญหามาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงเสนอวิธีการแก้ปัญหาขึ้นบ้าง

“ท่านพ่อ แล้วสิ่งใดที่หนิงอ๋องต้องการเล่าขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม

“แคว้นเหลียงอยู่ในเขตหนาว ปลูกพืชผักมิได้ อาหารไม่เพียงพอต่อคนในแคว้น จุดประสงค์หลักของกองกำลังเหลียงอันคือออกเดินทางเพื่อหาอาหารกลับแคว้น หากเราสามารถมอบสิ่งที่แคว้นเหลียงต้องการได้ โดยที่เราก็ไม่เสียประโยชน์ พ่อว่าท่านอ๋องต้องยินยอมรับข้อเสนอเป็นแน่”

“อาเทา เจ้าพูดถูก แต่อย่างที่ทุกคนรู้ อาหารพวกข้าว ธัญพืช สมุนไพร เครื่องเทศ ผักดอง เนื้อแห้ง ท่านอ๋องสามารถหาซื้อกลับไปที่แคว้นเหลียงได้ไม่มีปัญหาเลย สิ่งที่แคว้นเหลียงต้องการคือผักสดต่างหากเล่า ต่อให้ใช้ม้าเร็วก็ไม่อาจขนส่งผักสดจากแคว้นต่าง ๆ เข้าไปขายที่แคว้นเหลียงได้ ในตอนนี้ผักสดมีเพียงแคว้นเล็ก ๆ เช่นแคว้นชุนที่ติดแคว้นเหลียงเท่านั้นที่พอให้ชาวเมืองแคว้นเหลียงได้มีผักสดกิน” 

“เช่นนั้นคงไม่มีทางออกแล้วล่ะหมิงเอ๋อร์ หามีผู้ใดสามารถปลูกผักในแคว้นเหลียงได้ มิเช่นนั้นแคว้นเหลียงคงไม่รอมาเป็นหลายร้อยหลายพันปีเช่นนี้หรอก เถ้าแก่หวังเห็นด้วยหรือไม่”

“ท่านพ่อ เถ้าแก่หวัง ถ้าองค์ชายทั้งสามสามารถแก้ปัญหาเรื่องการปลูกผักได้ มิใช่จะได้ความดีความชอบ อาจจะสามารถมีสิทธิ์ขึ้นเป็นรัชทายาทได้เลยหรือไม่ขอรับ”

“พ่อว่าใช่”

“ข้าก็ว่าใช่”

จางอี้เทาและเถ้าแก่หวังตอบพร้อมกัน

“ถ้าหากว่าไม่ใช่การปลูกผักในเมืองหนาว เป็นอันใดอีกบ้างที่จะสามารถนำไปเสนอให้ท่านอ๋องสนใจได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะถูกต้อง

“ข้าว่าคงจะเป็นอาหารที่แตกต่างออกไป สามารถเก็บไว้ได้นาน ขนส่งเคลื่อนย้ายง่าย สะดวกในการพกพา รสชาติอร่อย ขั้นตอนในการปรุงไม่ยุ่งยาก หากว่าเจ้ามีอาหารตามที่ข้าว่ามา เช่นนั้นท่านอ๋องอาจจะสนใจก็เป็นได้” เถ้าแก่หวังแสดงความคิดเห็น

จางอี้หมิงยิ่งคิดหนักเข้าไปอีก เขาหันหน้าไปมองท่านพ่อ เถ้าแก่ร้านของชำ สุดท้ายทั้งสามคนก็ได้แต่มองกันไปมาไม่พูดสิ่งใด

เฮ้อ

สุดท้าย เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยดังออกมาพร้อมกัน ไม่ว่าทางไหนก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แล้วเช่นนี้จะทำเช่นใดกันต่อไปเล่า

คิดสิจางอี้หมิง คิด! ต้องมีหนทางแน่

แม้ว่าตอนนี้จะยังริบหรี่มากก็ตาม...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ