ฉึก!
เสียงของลูกธนูที่พุ่งมาด้วยความเร็วและแรงปักลงไปบนขาของชายร่างใหญ่ตรงหน้าจางอี้หมิงราวกับจับวางจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากลูกธนูนั่นมีหัวเป็นตะขอ เมื่อถูกยิงว่าสร้างเจ็บปวดแล้ว การถอดออกนั้นยิ่งเจ็บปวดมากกว่า
“โอ้ย!”
เด็กน้อยที่กำลังตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงร้องของคนร้ายก็ลืมตา ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งมุ่งตรงมาทางที่ตนเองนอนอยู่
“ท่านอ๋องน้อย เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”
จากเสียงพูดทำให้จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นชายคนหนึ่งที่แต่งชุดสีดำทั้งตัวปิดหมดทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าและเส้นผม ชายคนนั้นเอ่ยถามเด็กน้อยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
จางอี้หมิงยังไม่ทันได้ตอบอันใดเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก คาดว่าตอนที่เจ้าคนชั่วนั่นทุ่มเขาลงมาคงทำให้ปากแตกเพราะไปกระแทกกับพื้นดิน ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน ไม่มีไฟคบเพลิงส่องสว่างมากมายดั่งในเมืองที่กำลังจัดงานรื่นเริง แต่ตะเกียงที่จางอี้หมิงนำมาก็มีแสงสว่างเพียงพอให้เด็กน้อยมองเห็นได้เลือนราง
“ท่านอ๋องน้อย ข้าน้อยเป็นองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ นาม ซาน(3) องครักษ์ส่วนตัวของหนิงอ๋องที่รับมอบหมายให้ถวายความคุ้มครองแก่ท่านอ๋องน้อยขอรับ ข้าขออภัยที่มาช้าจนทำให้ท่านอ๋องน้อยเกิดอันตราย” ชายที่อ้างตนว่าเป็นองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋เอ่ยรายงานทีเดียวให้กับเจ้านายน้อยของตนเองได้ฟัง
เขาไม่น่าประมาทต่อหน้าที่และชะล่าใจแอบไปปลดทุกข์กลางทางเลย จะโทษก็ต้องโทษเจ้าปา (9) ที่เอาอาหารชั้นเลิศนั่นมาให้เขาได้ลองชิม ทำเช่นไรได้ในงานเทศกาลมีอาหารน่ากินเต็มไปหมด เนื่องจากกินมากไปหน่อยเขาจึงท้องเสียเข้าจนได้
เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงออกตามหาท่านอ๋องน้อยเพื่อติดตามต่อไป แต่เขาก็เกือบหยุดหายใจเมื่อเห็นเจ้าคนร้ายนั่นยกเท้าขึ้นหวังเตะลงไปบนร่างกายของท่านอ๋องน้อย เขาจึงยิงธนูออกไปสกัดขานั้นไว้ตามสัญชาตญาณ โชคดีที่หน่วยเหลียงไป๋ถูกฝึกมาอย่างโชกโชน ความมืดเพียงเท่านี้หาได้ทำให้การยิงธนูพลาดเป้าไม่ แค่นี้ยังนับว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ในแคว้นเหลียงใครบ้างมิรู้ว่าหน่วยเหลียงไป๋ ขึ้นชื่อเพียงใดในเรื่องของความถูกต้องแม่นยำและการรักษาความปลอดภัยให้กับเชื้อพระวงศ์คนสำคัญของแคว้น
ซานล้วงนกหวีดขึ้นเป่าเป็นทำนองสูงต่ำอยู่ไม่นาน ก็มีกลุ่มคนจำนวน 9 คน โผล่ออกมาล้อมทั้งคนร้าย เด็กบ้านซุน และจางอี้หมิงไว้
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ หัวหน้าโจรที่เห็นลูกน้องโดนยิงด้วยลูกธนูเช่นนั้นจึงทำท่าว่าจะหนี แต่ก็ได้แค่นั้น เมื่อชายคนหนึ่งที่มาใหม่พุ่งไปจับเขาไว้พลางโยนลงไปนั่งกองกับพื้นที่มีคนร้ายอีกคนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บนั่งอยู่
ทางด้านซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ก็นั่งกอดกันกลมด้วยความกลัว เมื่อซูลี่เห็นว่าคนที่มานั้นไม่มีเจตนาจะทำร้ายตนเป็นแน่ จึงรีบจูงมือน้องชายเดินเข้าไปหาจางอี้หมิงทันที
“หมิงหมิงน้อยเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ซูลี่เอ่ยถามพลางร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ท่านอ๋องน้อย เป็นเช่นไรบ้างขอรับ” ชายผู้มาใหม่เอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งแรกก่อนที่จะแนะนำตนเองให้จางอี้หมิงได้ทราบ
“ท่านอ๋องน้อย ข้านามอี(1) เป็นหัวหน้าหน่วยเหลียงไป๋ กองกำลังส่วนตัวของหนิงอ๋อง ขอท่านอ๋องน้อยอย่าได้ตกใจและกลัวไปขอรับ” หัวหน้าองครักษ์อี เอ่ยอธิบายออกไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเขามิได้ยินเสียงใด ๆ ตอบกลับมาจากท่านอ๋องน้อยตรงหน้าเลยสักนิด
“หัวหน้า คาดว่าท่านอ๋องน้อยจะบาดเจ็บภายใน ต้องรีบพาตัวกลับจวนอ๋องโดยเร็วที่สุดขอรับ” เป็นซานที่สังเกตอาหารจางอี้หมิงและกล่าวรายงานให้หัวหน้าหน่วยทราบ
“อู่ (5) สือ (10) เจ้าสองคนจับตัวคนร้ายสองคนนั้นกลับไป พวกเจ้าที่เหลือส่วนหนึ่งไปตามหาครอบครัวของท่านอ๋องน้อยแล้วแจ้งเรื่องให้ทราบ อีกส่วนหนึ่งพาเด็ก ๆ และท่านอ๋องน้อยกลับจวนอ๋อง อย่าลืมว่าจงทำแบบเงียบ ๆ แยกย้ายกันไปได้”
หัวหน้าองครักษ์อีสั่งการเสร็จแล้วก็อุ้มจางอี้หมิงในท่าเจ้าสาวทะยานออกจากตรงนั้นเพื่อมุ่งหน้ากลับจวนอ๋อง องครักษ์ที่เหลือทำตามคำสั่งของหัวหน้าทันที คนหนึ่งอุ้มซุนซูลี่ อีกคนอุ้มซุนหมิงเย่ ที่เหลือก็คุมตัวคนร้ายกลับไป
จวนอ๋องในเมืองไห่ถังจุดไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งจวน เมื่ออ๋องน้อยคนสำคัญของจวนได้รับบาดเจ็บหนัก จนป่านนี้ยังไม่สามารถพูดได้ หมอประจำจวนถูกเรียกตัวมารอไว้ก่อนแล้วจากสัญญาณลับที่หัวหน้าองครักษ์อีส่งออกไป
พ่อบ้านของจวนสั่งให้คนงานต้มน้ำร้อนเตรียมไว้รอท่า ทั้งผ้าขาวสะอาดอีกหลายผืน สมุนไพรต่าง ๆ ยาล้ำค่ามากมายถูกตระเตรียมไว้อย่างพรักพร้อม
เมื่อหัวหน้าองครักษ์อีอุ้มจางอี้หมิงวางลงบนเตียงใหญ่ในห้องนอนประจำที่จวนจัดไว้ให้สำหรับท่านอ๋องน้อย หมอประจำจวนและผู้ช่วยก็รีบเข้ามารับช่วงต่อทันที ทางด้านอู่ (5) กับสือ (10) นำคนร้ายไปขังไว้ สองพี่น้องบ้านซุนถลาจะตามน้องชายเข้าไปในห้องที่หมอกำลังทำการรักษาจางอี้หมิงอยู่
“พวกเจ้าสองพี่น้องอย่าได้เข้าไปรบกวนการรักษาท่านอ๋องน้อย หากเกิดความผิดพลาด หัวของเจ้าอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าอีกต่อไป เหตุใดไม่ไปนั่งรอในห้องเงียบ ๆ เมื่อบิดามารดาของเจ้าตามมาจะได้เล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง”
องครักษ์คนหนึ่งที่อุ้มพี่น้องบ้านซุนกลับมายังจวนถึงกับต้องรีบดึงตัวซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่ไว้แล้วกล่าวเตือนเบา ๆ
“ท่านองครักษ์ต้องช่วยรักษาน้องชายหมิงให้ได้นะเจ้าคะ” ซุนซูลี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ถึงอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้น หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเช่นคืนนี้ก็ทำให้จิตใจไม่อยู่กับตัวแล้ว
“ข้าหาใช่หมอคงให้คำตอบพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ได้ พวกเราคงได้แต่ภาวนาให้ท่านอ๋องน้อยอยู่รอดปลอดภัย หาไม่แล้ว ข้าก็มิต่างอันใดกับพวกเจ้าหรอก โทษทัณฑ์นั้นไม่ต้องพูดถึง” องครักษ์หน่วยเหลียงไป๋เอ่ยเตือนเด็กน้อยตรงหน้าสองคน แต่ก็คล้ายกับปลอบใจตนเองไปด้วยในที
“เจ้าค่ะ แล้วจะให้ข้าไปรออยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” ซุนซูลี่เอ่ยถาม
“พวกเจ้าตามข้ามา” องครักษ์เห็นว่าสองพี่น้องไม่ดื้อรั้นจึงได้พาไปพักในห้องรับแขก ซึ่งเขากลับมาแจ้งทหารยามให้นำครอบครัวของท่านอ๋องไปรอที่ห้องนี้เช่นกันเมื่อมาถึง
ทางด้านภายในห้องที่หมอหลวงกำลังทำการรักษาจางอี้หมิง พวกเขาต่างก็เร่งรีบแข่งกับเวลา ถึงแม้ว่าท่านอ๋องน้อยจะมิได้สลบไสลไปก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่สามารถเล่าอาการเบื้องต้นของความเจ็บป่วยได้ ท่านหมอจึงต้องใช้วิธีถามและให้คนป่วยพยักหน้าแทน
“ท่านอ๋องน้อย คาดว่าแขนคงจะหัก ข้าจะทำการดามแขนให้กลับเข้าที่ มันจะเจ็บหน่อย ท่านอ๋องน้อยกัดผ้านี้ไว้ อดทนไว้ขอรับ” ท่านหมอกู้เอ่ยขึ้น เมื่อจางอี้หมิงพยักหน้าเข้าใจแล้วเขาจึงได้ทำการดามแขนของจางอี้หมิงด้วยความรวดเร็ว โชคดีที่หมอผู้ช่วยนำผ้ามาให้คนป่วยกัดไว้ ภายนอกจางอี้หมิงทำเหมือนว่าไม่มีอันใด แต่ภายในใจกลับก่นด่าบรรพบุรุษโจรชั่วนั้นไปสามชั่วคนแล้ว
ระหว่างที่ในห้องมีการรักษาคนสำคัญของจวนอย่างเคร่งเครียด หัวหน้าองครักษ์อี (1) ยืนอย่างสงบรออยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ที่เหลือ เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าช่วยเหลือหากในห้องต้องการ
ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม องครักษ์ปา (8) ก็นำครอบครัวของจางอี้หมิงเดินทางมาถึง ตามมาด้วย องครักษ์ซื่อ (4) ที่พาครอบครัวซุนตามมาติดๆ จางอี้เทาไม่ต้องการให้เถ้าแก่หลินไห่ตื่นตกใจ จึงได้ให้องครักษ์ชี (7) เดินทางไปแจ้งแก่บ่าวที่เรือนเถ้าแก่หลินไห่ทราบ หากต้องการจะมาฟังข่าวให้ตามมาที่จวนท่านอ๋องทีหลัง ส่วนตนเองและภรรยาเร่งเดินทางตามองครักษ์ปามายังจวนอ๋อง
“หมิงเอ๋อร์ ลูกข้าเป็นเช่นไรบ้าง”
จางอี้เทามาถึงหน้าห้องที่ทำการรักษาบุตรชายอยู่ข้างในก็เอ่ยถามคำถามขึ้นมาด้วยความร้อนรนและเป็นกังวลถึงที่สุด
“เรียน ท่านจาง ท่านหมอกำลังให้การรักษาท่านอ๋องน้อยอยู่ข้างในขอรับ ในตอนที่ข้าพาท่านอ๋องน้อยกลับมาที่จวน ท่านอ๋องน้อยยังมีสติดีขอรับ เพียงแต่ยังพูดอันใดมิได้จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น คาดว่าแขนอาจจะหักขอรับ” หัวหน้าอีเอ่ยรายงานให้บิดามารดาของท่านอ๋องน้อยได้ทราบความเบื้องต้น
“โธ่ หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงโชคร้ายเยี่ยงนี้” หลี่อ้ายเอ่ยออกมาก่อนทำท่าจะถลาเปิดประตูห้องเข้าไป จนจางอี้เทายึดแขนภรรยาไว้แทบไม่ทัน
“น้องหญิงอย่าเพิ่งเข้าไป เราจะไปรบกวนการรักษาของท่านหมอ หากมีความอันใดคืบหน้า ท่านหมอคงออกมาแจ้งเอง” สมแล้วที่จางอี้เทาเป็นบัณฑิต เขายังคงมีสติคิดไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ
หลี่อ้ายได้ฟังดังนั้นถึงกับร้องไห้โฮออกมา จางอี้เทาจึงได้แต่ปลอบใจภรรยาอยู่นานกว่าหลี่อ้ายจะหยุดร้องและสงบลง ส่วนนางหูและหัวหน้าหมู่บ้านซุนถง ตอนนี้รวมตัวนั่งรอฟังข่าวที่ห้องรับแขกพร้อมกับครอบครัวซุนทั้งหมด
“ลี่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
เจียวเม่ยถลาเข้าไปเมื่อเห็นบุตรชายหญิงของตนนั่งอยู่ตรงขอบเตียงก่อนจะอ้าแขนโอบเอาบุตรทั้งสองไว้ในอ้อมอก
“ท่านแม่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ข้ากลัวขอรับ”
ซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เห็นว่ามารดากำลังโอบกอดตนเองเช่นนี้ ความกลัวและความพยายามอดกลั้นทั้งหมดก็พังทลาย ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้นซบใบหน้าลงกับซอกบ่าของมารดาคล้ายเขื่อนพังทลาย
ซุนซูเย่เห็นภาพเบื้องหน้าก็อดกลั้นน้ำตาแทบไม่ได้ เขาเดินไปรวบเอาภรรยาและบุตรทั้งสองเข้ามากอดไว้แล้วพลางเอ่ยปลอบใจเสียงเบา มิรู้ว่าคำปลอบใจนั้นกำลังปลอบลูกและภรรยาอยู่หรือว่าเขาเองก็กำลังปลอบใจตนเองด้วย หากเกิดอันใดขึ้นกับบุตรชายหญิงของเขา ตัวเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นไร เขาไม่อยากคิดเลยจริง ๆ
“เอาล่ะ พวกเจ้าอย่างเพิ่งร้องไห้ ตอนนี้ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ก็ปลอดภัยแล้ว ไหนพวกเจ้าสงบสติอารมณ์แล้วเล่าให้ปู่ฟังหน่อยสิว่ามันเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่” ซุนถงเอ่ยเตือนครอบครัวที่กอดกันกลมตรงหน้า
ซุนซู่ลี่ผละออกจากอ้อมกอดของมารดา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะถูกพาไปนั่งยังโต๊ะกลมกลางห้องซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน มีบ่าวรับใช้นำน้ำชาพร้อมขนมมาวางไว้ให้สองจานและยังมีอีกสองคนที่ยืนรอรับใช้อยู่ตรงประตู
“แม่นางต้องขอขอบคุณมาก พวกเราขออยู่กันตามลำพังได้หรือไม่ หากต้องการสิ่งใดข้าจะแจ้งให้แม่นางทราบทีหลัง” เป็นซุนถงที่เอ่ยปากบอกสาวรับใช้ พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไหนเลยจะหาญกล้าทำตัวเป็นแขกจวนอ๋อง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสถานะเป็นเพียงสาวใช้แต่ก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกเขาที่เป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น
“เจ้าค่ะ ข้าจะยืนอยู่ข้างนอก หากพวกท่านต้องการสิ่งใดก็แจ้งข้าได้เลยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวเสร็จแล้วจึงเดินออกไป นางไม่ลืมปิดประตูให้อีกด้วย
เมื่ออยู่กันตามลำพังซูลี่จึงเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่นางได้รับคำกระซิบในการวางแผนจับคู่พวกผู้ใหญ่ให้ไปเที่ยวงานเทศกาลตามลำพัง รวมทั้งแผนการที่จะไปดูหิ่งห้อยใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างริมแม่น้ำด้วย
“ท่านหัวหน้าซุน อาเย่ เจียวเม่ย ข้าขอโทษแทนหลานชายข้าด้วย เพราะความซนของหมิงเอ๋อร์ทำให้พี่น้องบ้านซุนประสบเหตุ พลั้งเผลออาจจะทำให้ตนเองถึงแก่ความตายอีกด้วย”
นางหูกล่าว หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากซูลี่แล้วนางถึงกับใจหาย หากองครักษ์จวนอ๋องไปช่วยมิทันจะเกิดอันใดขึ้น นางจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นใด แล้วครอบครัวซุนจะอยู่ได้เช่นไรกัน หากต้องสูญเสียลูกหลานไปทั้งหมด
บ้านซุนได้แต่นิ่งเงียบ มิกล่าวอันใด ถามว่าโกรธหรือไม่ ย่อมต้องโกรธเป็นอย่างมาก ต่อให้ฉลาดเช่นไรก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าจางอี้หมิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบปี
แต่ทว่าบุญคุณที่ครอบครัวจางมอบให้ครอบครัวซุนมันก็เหมือนน้ำท่วมปากที่กลืนไม่ได้คายไม่ออก ความเงียบคงเป็นสิ่งเดียวที่บ้านซุนจะทำได้ในตอนนี้นั่นเอง
หูไป๋หงนั่งเงียบไม่พูดสิ่งใดต่อ นางเข้าใจความรู้สึกบ้านซุนดี ครั้งนี้หลานชายของนางผิดเองเต็มๆที่ชักชวนเด็กทั้งสองไปเที่ยวโดยไม่บอกผู้ใหญ่
หากว่าหน่วยเหลียงไป๋ไปช่วยไว้ไม่ทัน ความสูญเสียคงจะมากมายเป็นแน่
เฮ้อ...หมิงเอ๋อร์เอ๊ย ซนจนได้เรื่องแล้วนะเจ้า
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?