เมื่อจางอี้หมิงและอู๋เจ๋อเดินกลับมาที่ห้องครัว เด็กน้อยเห็นว่าตอนนี้มีเวลาประมาณหนึ่งเค่อก่อนหมูหมักสำหรับทำพะโล้จะได้ที่จึงคิดเปลี่ยนใจ หันไปมองดูของที่มีอยู่และที่เอามาเพิ่มแล้วก็คิดว่าจะทำอาหารจานผักแทน จากที่ตอนแรกคิดเอาไว้ว่าจะทำผัดผักใส่เนื้อหมู
“ท่านลุงอู๋ ก่อนอื่นให้เตรียมผักทั้งหลายโดยการปอก แครอท เอาเปลือกทิ้งไป ใช้มีดกรีดข้าง ๆ หัวตามยาวให้เป็นร่อง ทำทั้งหัวเลยนะขอรับ เว้นช่องว่างสักเล็กน้อย เสร็จแล้วหั่นขวางเป็นชิ้นไม่หนาไม่บางมากนัก ลุงอู๋จะเห็นเหมือนกับเป็นรูปดอกไม้ขอรับ ผักกาดขาว เลือกเอาแต่ใบแยกกับตัวก้าน หั่นเป็นชิ้นให้สวย ๆ นะขอรับ เห็ดก็แยกเป็นส่วน ๆ ล้างผักทั้งหมดให้สะอาด”
“หมิงหมิงน้อย แคหลอดลุงทำถูกต้องไหม” อู๋เจ๋อเอ่ยถาม
“แครอทขอรับ ถูกต้องแล้วขอรับท่านลุงอู๋”
“ใช่ ๆ แ...ค.....ร...อ....ท” อู๋เจ๋อพยายามออกเสียงให้ถูกต้องอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ สามารถออกเสียงได้ชัดเจนจนเด็กน้อยยกนิ้วโป้งให้
อู๋เจ๋อขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พ่อครัวใหญ่หั่นผักต่อไปอย่างขะมักเขม้นจนทุกอย่างเรียบร้อย จางอี้หมิงคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง และเมื่อเห็นว่าท่านลุงอู๋ทำผักได้ตามที่บอกถูกต้องทั้งสามชนิดแล้ว จึงบอกให้หัวหน้าพ่อครัวนำผักไปลวก ในห้องครัวมีหม้อที่ต้มน้ำร้อนไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ท่านลุงอู๋ ต่อไปเราต้องลวกผักต่าง ๆ นำแครอท ก้านผักกาดขาว และเห็ดลงไปลวกในน้ำร้อนพร้อมกันเลยขอรับ เราจะลวกไม่นาน เพราะผัดผักจานนี้ต้องการความหวานกรอบและสดขอรับ แต่ใบผักกาดขาวต้องลวกขั้นตอนสุดท้าย เสร็จแล้วนำไปผ่านในน้ำเย็นขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย ข้าไม่เคยเห็นวิธีการปรุงอาหารเช่นนี้มาก่อน เจ้ากำลังจะทำอาหารที่มีชื่อว่าอันใดหรือ” หลินไห่ที่นั่งมองอยู่ตรงมุมพักผ่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรียกว่า สามสหายท่องหล้าขอรับ สามสหายเปรียบได้กับเห็ด ผัดกาดขาว และแครอทขอรับ”
“ชื่ออาหารแปลกนัก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” อู๋เจ๋อออกความเห็นบ้างหลังจากที่เขาทำทุกขั้นตอนตามที่เด็กชายบอกจนครบหมดแล้ว จางอี้หมิงถึงกับเอ่ยชมอู๋เจ๋อในใจเมื่อเห็นถึงความหัวไว สมแล้วที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวอันดับหนึ่งของเหลาอาหารซิ่งฝู
“ต่อไปท่านลุงอู๋ตั้งหม้อกระทะ เลือกใช้หม้อปากกว้าง แบน ไม่สูงนะขอรับ ใส่น้ำมันหมูลงไปพอประมาณ ใช้ไฟปานกลาง ตามด้วยกระเทียม เมื่อเหลืองสวยแล้วก็นำผักที่ลวกไว้ใส่ลงไป ตอนนี้ต้องใช้ไฟแรงนะขอรับ ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ซีอิ้ว คนกลับไปมาไม่ต้องนาน เราต้องการให้ผักยังกรอบและไม่เหนียว ที่สำคัญ อย่าเติมเกลือและซีอิ้วเยอะเพราะจะทำให้อาหารเค็ม ถ้าไม่ใช้น้ำตาลปกติสามารถใช้น้ำตาลผักแทนได้ เพียงเท่านี้ ท่านลุงอู๋จะได้รายการอาหารสามสหายท่องหล้าแล้วขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยแล้ว ซีหงซื่อเจ้าไม่ใช้ทำอาหารแล้วเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเขาจำได้ว่าเด็กน้อยให้เขาหยิบซีหงซื่อเป็นวัตถุดิบอันนี้มาด้วย
“เอ๊ะ มะเขือเทศหรือขอรับ จริงสิ...เพราะไม่ต้องลวกมะเขือเทศทำให้ข้าลืมไปเลยขอรับ แต่เราจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ไม่ผิดอันใดขอรับ ถ้าจะใส่ข้าแนะนำให้สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในตอนที่เราผัดผักจะได้สุกง่ายและสุกพร้อมกัน มะเขือเทศช่วยให้อาหารมีรสหวาน และยังมีสีแดงช่วยเพิ่มสีสันให้กับจานอาหาร แต่สำหรับสามสหายท่องหล้าที่จะทำขายในเหลาซิ่งฝู ข้าขอแนะนำว่าไม่ต้องใส่มะเขือเทศในจานผัด แต่ให้นำมาตกแต่งจานให้สวยงามแทนขอรับ”
“ตกแต่งจานอาหารให้สวยงาม มันเป็นเช่นใดเล่าหมิง หมิงน้อย” อู๋เจ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย คิ้วหนาขมวดกันจนเป็นปม เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าต้องตกแต่งจานอาหารก่อนจะยกเอาไปให้ลูกค้าด้วย
“เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วในตอนที่เราจะยกอาหารออกไปให้ลูกค้า ท่านลุงอู๋ตักอาหารใส่จานเพียงเท่านั้นหรือขอรับ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ”
คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมอยู่แล้วของอู๋เจ๋อยิ่งขมวดกันเพิ่มขึ้นไปอีก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารใหม่ๆ จากเด็กน้อยตรงหน้ามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ใครเล่าจะคิดว่าเด็กตัวเล็ก ๆ อายุเพียงห้าขวบจะสามารถถ่ายทอดความรู้พวกนี้ออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
“โอ้ว ไม่ผิดอันใดขอรับ เพียงแต่การตกแต่งจานอาหารให้ดูสวยงามจะช่วยเพิ่มมูลค่าของอาหารและเป็นการเชิญชวนให้น่าลิ้มลองอีกทางหนึ่งขอรับ เช่นนั้น ข้าจะบอกวิธีการตกแต่งจานอาหารทีหลังนะขอรับ ในตอนนี้ ขอท่านลุงอู๋ทำสามสหายท่องหล้าก่อนเถอะขอรับ”
และผลก็เป็นไปตามที่อี้หมิงคาด เมื่อเขาบอกวิธีการปรุงสามสหายท่องหล้าให้กับอู๋เจ๋ออีกครั้ง หัวหน้าพ่อครัวก็ทำออกมาได้อย่างดี ไม่ทำให้เด็กน้อยผิดหวัง สมกับที่เป็นพ่อครัวมาหลายสิบปี เพียงหนึ่งเค่อ สามสหายท่องหล้าจึงวางอยู่บนจาน
“สีสันน่ากินมากเลย หมิงหมิงน้อย” อู๋เจ๋อเอ่ยชมหลังจากที่เขาลงมือผัดผักตามที่เด็กชายตัวน้อยได้บอกไว้ รายการอาหารนี้ใช้เวลาทำไม่นาน นอกจากมีกลิ่นหอมแล้ว สีสันยังน่าสนใจมาก
สีของผักทั้งสามชนิดช่วยทำให้ดูสดใส กลิ่นหอมของกระเทียมที่ผ่านการเจียว ซีอิ้วที่เพิ่มกลิ่นมากยิ่งขึ้นเมื่อถูกความร้อน ควันที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากจานที่ผัดออกมาจากเตาหมาด ๆ ส่งผลให้จางอี้เทากับหลินไห่ รวมทั้งอู๋เจ๋อถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ไม่ต้องนับรวมถึงคนงานและผู้ช่วยในครัวทั้งหลายที่มามุงดูการปรุงอาหารตั้งแต่จางอี้หมิงบอกให้อู๋เจ๋อหมักเนื้อหมูพะโล้แล้ว
“หมิงหมิงน้อย มันช่างหอมยิ่งนัก” หลินไห่เอ่ยขึ้น
“ท่านปู่ หอมใช่ไหมขอรับ ท่านปู่กับท่านลุงอู๋ ลองชิมดูขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยโอ้อวดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ อู๋เจ๋อจึงถือจานใส่สามสหายท่องหล้าและตะเกียบเปล่าสามคู่เดินไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของเจ้านายตนเอง ก่อนที่จะยื่นตะเกียบให้กับหลินไห่และจางอี้เทาคนละคู่ อีกหนึ่งคู่ตนเองเก็บไว้
หลินไห่และจางอี้เทารับตะเกียบมาจากอู๋เจ๋อ หลินไห่คีบเห็ดขึ้นมาชิมเป็นคนแรก ตามด้วยจางอี้เทาที่เลือกคีบหูหลัวโป ส่วนอู๋เจ๋อนั้นเลือกคีบใบผักกาดขาว
“หอม อร่อยมาก”
“หูหลัวโปอันนี้กรอบและหวานยิ่ง”
“ผักกาดขาวเองก็นุ่มลิ้นเหมือนละลายได้ในปาก”
ชายทั้งสามคนต่างอุทานออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และแล้วปฏิบัติการเลือกผักที่ตนเองยังไม่ได้ชิมจึงเริ่มขึ้น ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ผัดผักสามสหายท่องหล้าจานเล็ก ๆ ก็ถูกชิมจนหมดเกลี้ยง
พวกท่านจะรักษามารยาทสักหน่อยไม่ได้หรือ ข้าอดชิมเลย
อี้หมิงได้แต่คร่ำครวญในใจ มองการกระทำของชายทั้งสามคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบใจอันใดหรอก เพียงแค่อยากลองชิมดูบ้างก็เท่านั้นเอง
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้กินแล้ว ชายทั้งสามจึงเงยหน้าขึ้นมาจากจานผัดผักตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะเขินอายเสียจนใบหูขึ้นสีแดงระเรื่อ เมื่อมองเห็นสายตาของทุกคู่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยหรือคนงานต่าง ๆ ที่กำลังมองมาอยู่
“อะแฮ่ม สามสหายท่องหล้านี่อร่อยจริง ๆ และยังใช้เวลาทำไม่นานด้วย วัตถุดิบก็น้อยอย่าง ข้าว่าถ้าทำออกมาขายมันต้องขายดีแน่ขอรับ” อู๋เจ๋อออกความเห็นให้กับเถ้าแก่หลินได้ฟัง
“ข้าก็มั่นใจว่าสามสหายท่องหล้าต้องขายได้แน่ เพราะอะไรมันถึงได้อร่อยเช่นนี้กันเล่า หมิงหมิงน้อย” หลินไห่หันไปถามเด็กน้อย
“ท่านปู่ สามสหายท่องหล้าที่ข้าสอนท่านลุงอู๋นั่นมีขั้นตอนวิธีในการทำที่เรียกว่าการผัด หมายถึงรายการอาหารที่ปรุงขึ้นจากการใช้น้ำมันและต้องคนกลับไปมา อย่างเช่นอาหารจานนี้ เรียกว่าผัดผักรวมมิตร เพราะมีผักมากกว่าหนึ่งชนิด แต่ว่าข้าตั้งชื่อให้เป็นสามสหายท่องหล้าเพื่อให้เป็นที่น่าสนใจขอรับ ถ้าผักที่นำมาผัดมีเพียงอย่างเดียว เราก็เรียกชื่อตามผักชนิดนั้น เช่น ผัดผักกาดขาว ผัดเห็ด เช่นนี้ขอรับ และยังสามารถใส่เนื้อลงไปได้ด้วย แต่ข้าเห็นว่าเวลาจะไม่พอ จึงทำเป็นอาหารจานผักแทนขอรับ”
“โอ้ เช่นนั้นสินะหมิงหมิงน้อย นี่เป็นเพียงอาหารชนิดใหม่ที่สอนคั่นเวลายังอร่อยมากขนาดนี้ ข้าชักอยากกินพะโล้เสียแล้วสิ ว่ามันจะอร่อยขนาดไหน” หลินไห่กล่าว เวลานี้เขากำลังตื่นเต้นเหลือเกิน
“ย่าของเจ้าต้องเป็นคนที่เก่งในการทำอาหารมาก ๆ เป็นแน่ ข้าไม่แปลกใจเลยที่ครอบครัวเจ้ามีความรู้มากมายเพียงนี้ อาจเพราะพวกเจ้ามาจากเมืองหลวง” หลินไห่เอ่ยออกมาเบา ๆ
“ท่านย่าพอทำอาหารได้ขอรับ คนที่เก่งที่สุดคือท่านลุงอู๋ต่างหากเล่าขอรับ เพียงข้าบอกหรืออธิบายแค่ครั้งเดียว ท่านลุงอู๋ก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมเลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยชมหัวหน้าพ่อครัวแทนการยอมรับว่าท่านย่าของตนทำอาหารเก่ง เพราะหูไป๋หงเพิ่งมาทำอาหารเป็นเมื่อตอนมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้เอง
“หมิงหมิงน้อยชมลุงคนนี้เกินไปแล้ว เป็นเจ้าที่บอกวิธีทำอย่างละเอียดและยกตัวอย่างให้ข้าได้เห็นภาพต่างหากเล่า” อู๋เจ๋อรีบกล่าวอย่างถ่อมตน
“เอาล่ะ เป็นอันว่าพวกเจ้าเก่งกันทั้งคู่นั่นแหละ” หลินไห่กล่าวตัดบทเมื่อเห็นว่าปล่อยไว้เช่นนี้จะชื่นชมกันไปมาไม่รู้จบ
“ขั้นตอนทำไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน แต่ว่าข้าจะเอาน้ำมันมาจากไหนเล่า ถ้าเหลาอาหารซิ่งฝูทำสามสหายท่องหล้าออกมาขาย ก็ต้องมีน้ำมันไม่ใช่หรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถาม
“เรื่องน้ำมันท่านลุงอู๋อย่าได้เป็นกังวล ข้าจะสอนให้ทีหลังขอรับ ข้าสอนท่านทำผัดผักเพราะไม่อยากเสียเวลาในขณะที่เราหมักหมูไว้เพื่อทำพะโล้ ตอนนี้ข้าว่าหมูหมักได้ที่แล้ว พวกเราไปทำพะโล้กันต่อเถอะขอรับ”
“ดี ๆ ข้าชักอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ” หลินไห่หันไปเอ่ยกับจางอี้เทาที่ได้แต่ยิ้มรับเท่านั้น
จางอี้เทาอดชื่นชมในตัวบุตรชายเพิ่มขึ้นไม่ได้ เขาเห็นเจ้าตัวเล็กเดินไปโน้นนี่นั่น คอยชี้มือให้หัวหน้าพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูทำตามคำบอก ตัวก็เล็กถึงเพียงนั้นแต่ช่างมีพลังล้นเหลือ เมื่อเห็นบุตรชายเป็นที่เอ็นดูสำหรับคนอื่น เขาก็มีความสุขมากแล้ว
“ท่านลุงอู๋ ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย พอน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมที่แบ่งไว้อีกส่วน ผัดให้หอม ท่านลุงอู๋ไม่ต้องรอให้กระเทียมสุก ใส่โป้ยกั๊ก กระวาน อบเชย ลงไปผัดพร้อมกันเลยนะขอรับ สำหรับปริมาณ ท่านลุงกะเอาได้เลยขอรับ จนเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมก็เอาเนื้อที่หมักลงไปผัดให้สุก เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วมหมูสามชั้น คนเป็นครั้งคราวให้หมูสุกทั่วถึง ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลผัก ซีอิ้วอีกครั้ง ตุ๋นเนื้อหมูไปจนน้ำแห้ง เมื่อเนื้อเปื่อยแล้วให้ลองชิมรสชาติดูขอรับ หากขาดรสไหนก็ปรุงรสนั้นเพิ่ม” จางอี้ หมิงอธิบายครั้งเดียวตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ไม่กลัวว่าอู๋เจ๋อจะไม่เข้าใจ ในการทำสามสหายท่องหล้า ท่านลุงอู๋สามารถทำตามคำบอกของเขาได้อย่างไม่มีผิดพลาด นั่นจึงเป็นการบ่งบอกระดับทักษะการทำอาหารของพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูได้เป็นอย่างดี
“หมิงหมิงน้อย ต้องใช้เวลาในการตุ๋นนานเท่าใดหรือ”
“ไม่มีเวลาที่แน่นอนขอรับ ขึ้นอยู่กับปริมาณในการทำแต่ละครั้ง เพียงแต่เมื่อน้ำแห้งจนขลุกขลิกเหลือแต่น้ำซอสแล้ว ทั้งรสชาติใช้ได้ เนื้อสามชั้นเปื่อยนุ่มได้ที่แล้วเป็นอันใช้ได้ โดยประมาณคงไม่เกินหนึ่งชั่วยามขอรับ”
“เจ้าว่าอันใด สอด สอด นะ”
“ข้าหมายถึงน้ำแกงน่ะขอรับ” อี้หมิงอธิบาย
“อืม ระยะเวลาใกล้เคียงกับสูตรของเหลาซิ่งฝู แต่ขั้นตอนวิธีการทำและวัตถุดิบต่างกันลิบลับ คงต้องรอดูว่าพะโล้แห้งสูตรบ้านจางจะอร่อยเท่าเหลาซิ่งฝูหรือไม่” หลินไห่เปรยออกมาเบา ๆ เมื่อลองฟังขั้นตอนทั้งหมดแล้ว
“ท่านปู่หลิน ท่านลุงอู๋ขอรับ ระหว่างตุ๋นพะโล้นี้ ข้ากับท่านพ่อขอตัวไปที่ร้านผ้าได้หรือไม่ขอรับ ท่านแม่ฝากให้ข้ากับท่านพ่อนำผ้าปักและถุงหอมไปขายที่ร้านผ้าน่ะขอรับ”
จางอี้หมิงไม่อยากเสียเวลาเปล่าอีกตั้งหนึ่งชั่วยาม กว่าพะโล้จะสามารถพร้อมกินก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก เขาจึงอยากใช้เวลาช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์
“ถุงหอมและผ้าปักก็มาจากเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ” หลินไห่เอ่ยถามขึ้น
“ใช่แล้วขอรับท่านหลิน ภรรยาของข้ามีฝีมือในการปักผ้ามาก ชุดของพวกข้าก็เป็นนางที่ตัดเย็บขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถาม
“จะเป็นอันใดหรือไม่หากข้าจะขอซื้อถุงหอมและผ้าปักนั้นเอาไว้เอง นี่ก็ใกล้จะถึงงานครบรอบวันเกิดภรรยาข้าแล้ว หากข้ามอบผ้าปักที่สวยงามจากเมืองหลวงให้ นางคงดีใจไม่น้อย”
“หากท่านหลินต้องการผ้าปักและถุงหอมเพียงนำไปมอบให้กับภรรยา ข้าน้อยขอมอบให้เป็นของขวัญพบหน้าและขอขอบคุณที่ท่านหลินเมตตาเอ็นดูหมิงเอ๋อร์ จำนวนหนึ่งชุด เช่นนั้นดีหรือไม่ขอรับ”
“คงไม่ดีเป็นแน่หากข้าจะรับของไว้โดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังลำบาก เช่นนั้น ข้าจะมอบเงินให้เจ้าหนึ่งตำลึงสำหรับผ้าปักและถุงหอมนี้ เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ ข้าขอบใจน้ำใจของเจ้า แต่อาวุโสให้ของ ปฏิเสธไม่ได้ รับได้อย่างเดียว เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้เช่นนั้นหรือ อีกหนึ่งเหตุผล ถ้านางเฒ่าที่บ้านของข้ารู้ว่าของขวัญที่ข้ามอบให้นางไม่มีราคาสูง นางคงได้โวยวายเป็นแน่”
หลินไห่รีบยกมือห้ามเมื่อเห็นจางอี้เทากำลังจะอ้าปากเอ่ยปฏิเสธ ทำให้อี้เทาได้แต่อ้าปากค้างและรีบหุบลงเมื่อนึกถึงเรื่องมารยาท เขารีบสะกิดบุตรชายให้ยกมือคารวะขอบคุณเป็นการใหญ่
“ขอบคุณท่านหลินที่เมตตาบ้านจางของเราขอรับ”
“ขอบคุณท่านปู่หลินที่เมตตาบ้านจางของเราขอรับ”
“พวกเจ้าจะรีบไปขายถุงหอมและผ้าปักที่เหลือมิใช่หรือ รีบไปแล้วรีบกลับ เพราะข้ารอที่จะชิมพะโล้สูตรบ้านจางไม่ไหวแล้ว รีบไป”
“ขอรับ ข้าสองพ่อลูกจะรีบกลับมาภายในหนึ่งชั่วยามขอรับ” อี้เทาเมื่อเอ่ยเสร็จแล้วจึงนำของทั้งหมดออกมาให้ท่านหลินได้เลือก ใช้เวลาไม่นาน หลินไห่ก็ได้ผ้าปักและถุงหอมมาหนึ่งชุด
“อี้เทา ข้าว่าชุดนี้ราคาหนึ่งตำลึงยังน้อยไป ดูจากฝีเข็มและลวดลายแล้ว ข้าไม่เคยเห็นผ้าปักที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย สมแล้วที่เป็นงานปักจากเมืองหลวง ข้าจะเพิ่มราคาให้เจ้าเป็นสองตำลึง ตอนนี้พวกเจ้ารีบไปเถอะ”
สองพ่อลูกบ้านจางจึงได้แต่ยิ้มรับและก้มคารวะขอบคุณอีกครั้ง พวกเขาเดินออกจากเหลาอาหารซิ่งฝูไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม อย่างน้อยวันนี้บ้านจางก็มีรายได้ถึงสองตำลึงแล้ว
เจ้าตำลึงจ๋า รอข้าก่อนนะ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?