หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
เถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวน
ลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่
“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอาหาร”
หลินไห่ผายมือเชิญชวนให้ผู้ชนะการประมูลทั้งสองคนได้ลิ้มลองอาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝู หลังจากนั้นชายชราจึงเดินกลับไปยืนรอด้านข้างอย่างเงียบ ๆ โดยมีจางอี้หมิง อู๋เจ๋อและ อู๋หมินยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“นิลเง็กเซียนเช่นนั้นหรือ ชื่อดียิ่ง ข้าไปชิมอาหารมาหลากหลายเมือง ไม่เคยได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้มาก่อน และก็ไม่เคยเห็นการตกแต่งอาหารเช่นนี้เหมือนกัน ช่างสวยงาม น่าลิ้มลองยิ่งนัก” เฉินเจียเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น เขาพึงพอใจกับจานอาหารจนต้องยกยิ้ม
ทั้งเฉินเจียและฉีหมิงขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนที่จะบรรจงยกตะเกียบขึ้นคีบเนื้อลงไปจิ้มในน้ำแกงและส่งเข้าปาก พวกเขาหลับตาพริ้ม ซึมซับถึงเครื่องเทศที่หอมเข้มข้น รสชาติหวานเล็กน้อยทำให้กลมกล่อมมากขึ้น เนื้อสัมผัสนุ่มในปากถึงกับทำผู้ชนะการประมูลทั้งสองหลงลืมตนไปชั่วขณะ
“นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกิน” เฉินเจียว่า เขาละเมียดละไมบรรจงเคี้ยวเนื้อหมูอย่างช้า ๆ
“เถ้าแก่ นี่มันวิเศษมาก” แม้แต่ฉีหมิงยังอดพูดเสริมไม่ได้ “รสชาติล้ำเลิศราวกับท่านเทพสรรค์สร้าง”
ทางเหล่าผู้แพ้การประมูลเมื่อได้ยินคำชมนิลเง็กเซียนของทั้งคู่ก็ถึงกับนึกเสียดาย น่าจะใจแข็ง ประมูลให้ถึงที่สุด ไม่น่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้เลย เพียงแค่กลิ่นที่ลอยออกมากระทบโสตประสาท รวมทั้งปฏิกิริยาของทั้งสองคนก็บ่งบอกคำตอบได้เป็นอย่างดีว่า
นิลเง็กเซียน อาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝูต้องรสดีไม่มีใครเทียบแน่ ๆ
หลินไห่เมื่อเห็นว่าผู้ชนะการประมูลเริ่มลงมือกินอาหารแล้ว เขาจึงส่งสัญญาณแก่อู๋หมิน แจ้งพ่อครัวและคนงานให้ยกสามสหายท่องหล้าออกมา เมื่อคนงานนำอาหารไปวางไว้ตรงหน้าของผู้แพ้การประมูลครบหมดแล้ว หลินไห่จึงเริ่มอธิบายถึงอาหารชนิดใหม่เช่นกัน
“สำหรับอาหารชนิดใหม่ตรงหน้าของพวกท่านนั้น เรียกว่าสามสหายท่องหล้า เป็นอาหารจานผัก ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาสามารถกินได้เช่นกัน เชิญพวกท่านลิ้มลองอาหารได้” เถ้าแก่หลินกล่าว เขาผายมือชวนเชิญและถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม
“นี่พวกเจ้าเห็นเช่นที่ข้าเห็นหรือไม่” ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้แพ้ประมูลเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“แล้วเจ้าเห็นอันใดกันเล่า” ชายอีกคนถามด้วยความสงสัย
“พวกเจ้าทุกคนไม่สงสัยกันหรืออย่างไร เหตุใดอาหารจานผักจานนี้ถึงไม่มีน้ำแกง กลิ่นหอมที่ออกมาจากอาหารก็ช่างหอมหวาน ไม่เหมือนกลิ่นน้ำแกงผักแม้แต่น้อย สีสันที่รวมกันอย่างลงตัว ยิ่งทำให้ อันใดนะท่านหลิน อาหารจานนี้เรียกว่าอันใดนะขอรับ” ชายคนแรกอธิบายให้ทุกคนฟัง ก่อนหันหน้าไปถามเถ้าแก่หลินถึงชื่ออาหารอีกครั้ง
“สามสหายท่องหล้า”
“ใช่แล้ว สามสหายท่องหล้า ข้าได้กลิ่นหอมตั้งแต่เหล่าคนงานยกออกมาจากข้างในแล้ว ข้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย กลิ่นหอมชวนให้ลิ้มลอง เช่นนี้แล้วพวกเจ้าว่ารสชาติจะดีหรือไม่เล่า” ชายคนแรกกล่าวต่อจนจบ
“อาหารก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว จะรอช้าไปใย เพียงพวกเราชิมก็รู้แล้ว” ชายอีกคนในวงสนทนาเอ่ยแนะนำ
“ใช่ ๆ พวกเราลองชิมกันเถอะ”
ผู้แพ้ประมูลนิลเง็กเซียนทั้งแปดคนคว้าตะเกียบลงมือชิมสามสหายท่องหล้ากันอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สองอึดลมหายใจ เสียงเซ็งแซ่ก็ดังอื้ออึง จนทำให้เฉินเจียและฉีหมิงที่กำลังเพลิดเพลินกับนิลเง็กเซียนเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้แพ้ด้วยความสนใจ
“เหตุใดหูหลัวโปถึงได้กรอบและหวานเช่นนี้”
“ข้าชอบเห็ดยิ่งนัก”
“ข้าว่าผักกาดขาวอร่อยยิ่ง”
“....”
“....”
“....”
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา
“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม
“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน
“ข้าไม่เคย”
“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ
“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจานเนื้อ แต่ตนเองต้องจ่ายเงินถึงห้าสิบตำลึง
ทว่าพวกนั้นที่แพ้การประมูลกลับได้ชิมอาหารชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีการปรุงมาก่อนโดยไม่เสียอะไร เช่นนี้เขามิใช่ผู้พ่ายแพ้ที่แท้จริงหรอกหรือ
“ท่านเฉินเจีย ท่านฉีหมิง อย่าได้เป็นกังวล นิลเง็กเซียนก็เป็นวิธีการปรุงอาหารชนิดใหม่เช่นกัน ข้าก็เพิ่งทราบถึงวิธีการปรุงอาหารชนิดนี้ ดังนั้นท่านมิต้องรู้สึกเสียใจไป” หลินไห่รีบบอกให้ผู้ชนะการประมูลทั้งสองคนใจเย็นลง
“ทั้งนิลเง็กเซียน ทั้งสามสหายท่องหล้า ต่างเป็นอาหารชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีใครปรุงอาหารแบบนี้มาก่อน สำหรับสูตรการปรุงนั้น ข้าไม่สามารถบอกได้ แต่พวกท่านทั้งหลายคงได้ลิ้มลองและยอมรับแล้วว่ามันช่างอร่อยยิ่งนัก ใช่หรือไม่”
“ใช่ ใช่ ใช่” หลายคนส่งเสียงตอบรับ
“เถ้าแถ่หลินไห่ ข้ารู้สึกว่าพวกข้าสองคนถูกหลอกจากเหลาซิ่งฝู พวกข้าต้องจ่ายเงินถึงห้าสิบตำลึงถึงได้ชิมนิลเง็กเซียน แต่พวกนั้นมิต้องจ่ายแม้แต่ตำลึงเดียวก็ได้ชิมอาหารชนิดใหม่เช่นเดียวกันกับพวกข้า ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารจานผักก็เถอะ”
เฉินเจียและฉีหมิงรู้สึกไม่ยิมยอม เช่นนี้พวกเขาจะเอาไปกล่าวอ้างได้เช่นใดว่าตนเองเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลองอาหารชนิดใหม่และยังปรุงขึ้นด้วยวิธีการใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยปรุงมาก่อน
“ท่านเฉินเจีย ท่านฉีหมิง ท่านยอมรับข้อตกลงเองและเป็นพวกท่านทั้งสองคนที่มิเปิดโอกาสให้พวกข้าได้ประมูล เหตุใดความผิดจึงตกเป็นของพวกข้าเล่า” ชายคนหนึ่งผู้แพ้ประมูลกล่าวแก้ต่างให้กับตนเอง
“ข้าไม่ยินยอม ในวันนี้ข้าต้องได้ชิมสามสหายท่องนภา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย” ฉีหมิงถึงกับเอาตำแหน่งมาข่มขู่ เขารู้สึกว่าตนเองถูกวางกับดักในเรื่องนี้ไม่น้อย
ตรองดูเถิด เขาเสียเงินตั้งห้าสิบตำลึงเพื่อลิ้มลองนิลเง็กเซียน แต่คนพวกนั้นกลับได้ชิมโดยไม่เสียอะไร อาหารก็เป็นจานใหม่เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นขั้นตอนการปรุงที่มิเคยมีผู้ใดทำมาก่อนอีก
จางอี้หมิงที่ยืนดูอยู่ถึงกับส่ายหน้าให้บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลาย
เฮ้อ เหตุใดพวกท่านถึงชอบทำตัวเป็นเด็กสามขวบแย่งขนมกันไปได้ ทำไมถึงชอบทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้
“ขออภัยที่ขัดการสนทนาขอรับ”
จางอี้หมิงเดินออกมาข้างหน้าแล้วยกมือคารวะขึ้น เขาสะกิดให้ท่านลุงอู๋เจ๋ออุ้มเขาขึ้นไป แล้วทำการมองดูอาหารที่เหลือในจานทั้งสิบก่อนจะพบว่ามีอาหารเหลืออยู่กว่าครึ่งจานทุกจาน ในส่วนของนิลเง็กเซียนคงเป็นเพราะทั้งสองคนต่างก็ค่อยบรรจงละเลียดชิมอาหารเป็นแน่ ถึงได้เหลืออยู่มากมายทั้งที่เริ่มชิมก่อนหน้าไปนานโข
“เด็กน้อยเจ้ามีอันใดหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามขึ้น
“ท่านลุงเฉินเจีย ท่านลุงฉีหมิง ถึงอย่างไรท่านก็ต้องการชิมสามสหายท่องหล้าใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่/ใช่”
“ท่านลุง ท่านตา ทั้งหลายอยากชิมนิลเง็กเซียนไหมขอรับ” คราวนี้จางอี้หมิงหันไปถามผู้แพ้การประมูลบ้าง
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะเข้าร่วมการประมูลทำไม”
“ข้ามีทางออกให้พวกท่านแล้วขอรับ”
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ
“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”
“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”
“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย
“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่
“เถ้าแก่หลิน หลานชายของท่านช่างเก่งกาจยิ่ง แก้ไขปัญหาได้ดีนัก ข้าเห็นด้วย แล้วพวกเจ้าเล่าเห็นด้วยหรือไม่”
ฉีหมิงถึงแม้ว่าจะไม่พอใจที่ตนเองไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแรกในการชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแปลกตา แต่อย่างน้อย เฉินเจียผู้ซึ่งห่วงหน้าตาตนเองมากกว่าเขาก็ไม่ใช่คนแรกเช่นเดียวกัน และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้แพ้ให้กับเจ้าหมูอ้วนนั่นด้วย
ในส่วนของเฉินเจีย การได้เป็นคนแรกที่จะได้ลิ้มลองอาหารที่ทำด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่เป็นเรื่องที่เขาคาดหวังไม่น้อย ถ้าหากครั้งนี้เขาไม่ยินยอม แล้วทำความลำบากให้กับเถ้าแก่หลิน เกรงว่าในอนาคต ถ้ามีรายการอาหารชนิดใหม่อีก เขาคงไม่ได้รับเชิญให้มาลิ้มลองเป็นคนแรกแน่ สำหรับคนที่หลงใหลในอาหารแปลกใหม่เช่นเขา นั่นคือหายนะซึ่งเขาจะไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
ถ้าฟังไม่ผิด เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาอีกทุกเดือนใช่หรือไม่ เขาตื่นเต้นรอแล้ว
สำหรับอีกแปดคนที่แพ้การประมูล พวกเขายิ่งกว่ายอมรับ ความจริงพวกเขาหมดสิทธิ์ในการลิ้มลองนิลเง็กเซียนไปแล้วในตอนแรก ไม่นึกว่าโชคจะหล่นทับ นอกจากจะได้ชิมสามสหายท่องหล้าซึ่งเป็นอาหารชนิดใหม่โดยไม่ต้องเสียเงินสักตำลึงแล้ว พวกเขายังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ชิมอาหารทั้งสองชนิด ถึงแม้ครั้งนี้จะต้องจ่ายเงินถึงสิบตำลึง แต่การที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ก็ถือว่าคุ้มค่า ไหนจะยังได้รับสิทธิ์พิเศษชิมอาหารชนิดใหม่ในอนาคตอีก
ไม่มีอะไรเสียสักอย่าง คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
เมื่อลูกค้าทั้งสิบคนเห็นด้วยกับความคิดของเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ พวกเขาจึงแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนและสามสหายท่องหล้ากันด้วยความเรียบร้อย จากที่เป็นคู่แข่งกันในตอนแรก กลับกลายเป็นเหมือนสหายร่วมวิจารณ์งานศิลป์ เพียงแต่ครั้งนี้ พวกเขากำลังวิจารณ์อาหารทั้งสองชนิดและออกความเห็นถึงวิธีการปรุงต่าง ๆ
ดูเหมือนว่าเฉินเจียผู้ที่มีประสบการณ์ในการชิมอาหารมาหลากหลายจะกลายเป็นคนที่เดาได้ใกล้เคียงที่สุด แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งสิบคนคิดเช่นไรก็คิดไม่ออกคือ สามสหายท่องหล้า หากเป็นน้ำแกงเช่นใดถึงไม่มีน้ำ หากเป็นการต้ม เหตุใดอาหารถึงได้มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมถึงเพียงนี้ ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ชิมผักต้มมาก่อน แต่อาหารจานนี้นับว่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน
ในส่วนของนิลเง็กเซียน ถึงแม้จะมีกลิ่นเครื่องเทศคล้ายพะโล้ แต่กลับไม่มีน้ำจำนวนมาก เนื้อที่ได้ลองกินก็ไม่แข็งและแห้งเช่นพะโล้ทั่วไป ไหนจะความหวานกรอบและเย็นของแตงกวาที่ช่วยลดอาการเลี่ยนได้เป็นอย่างดี
นึกไม่ถึงว่าคำพูดของเด็กน้อยเพียงครั้งเดียวจะแก้ปัญหาได้ดีถึงเพียงนี้ ทุกคนในเมืองไห่ถังต่างรู้ถึงความสัมพันธ์ของเฉินเจียและฉีหมิงได้เป็นอย่างดี ไม่นึกว่าหลานชายของเขาจะสามารถทำให้ทั้งสองคนเป็นมิตรกันได้
หลินไห่ จางอี้หมิง อู๋เจ๋อและอู๋หมิน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว พวกเขาจึงค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปในครัวด้วยความโล่งอก หลินไห่ได้แต่จูงมือเด็กชายและคิดในใจด้วยความปลื้มปริ่ม ดูท่าว่าเขาจะได้เพชรเม็ดงามมาไว้ในมือเสียแล้ว ขอบคุณสวรรค์ยิ่งนัก เห็นทีปีนี้เหลาอาหารซิ่งฝูอาจมีโอกาสได้เป็นเหลาอันดับหนึ่งบ้างแล้วก็ได้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?