ตอนที่ 19 หญ้าสายรุ้ง

จางอี้หมิงยกยิ้มตื่นตาตื่นใจ เขามองไปด้านหน้าที่เต็มไปด้วยต้นวัชพืชหลากสีสัน ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม สีน้ำตาล พวกมันมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร สลับสูงต่ำลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นว่าสิ้นสุดตรงไหน ตามแหล่งทุ่งหญ้านั้นมีน้ำทะเลกว้างราวไม่เกินสองเมตรพาดผ่าน สวยสะดุดตาจนทำให้จางอี้หมิงถึงกับเกือบลืมหายใจ เขาไม่รอช้า วิ่งเข้าไปในดงทุ่งวัชพืชนั่น เด็ดใบที่มีลักษณะอวบน้ำและสีเขียวสดออกมาชิม แต่เมื่อขอบใบแค่สัมผัสปลายลิ้น เด็กน้อยก็ถ่มทิ้งอย่างรวดเร็ว

“อี้ เค็มอิ๊บอ๊าย” จางอี้หมิงลืมตัวอุทานออกมาเป็นภาษาโลกเดิม

ซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เมื่อเห็นจางอี้หมิงวิ่งเข้าไปที่ทุ่งหญ้าสายรุ้งก็แปลกใจ ทั้งสองตัดสินใจวิ่งตามเข้ามาด้วยและพอมาทันก็ได้ยินน้องชายคนใหม่อุทานภาษาประหลาดออกมา

“หมิงหมิงน้อย เกิดอะไรขึ้น เหตุใจเจ้าจึงวิ่งเข้าทุ่งหญ้าสายรุ้งเช่นนี้” ซุนซูลี่เอ่ยถาม

“ทุ่งหญ้าสายรุ้งหรือขอรับพี่ซูลี่”

“ก็ใช่นะสิ หญ้าสายรุ้งสวยใช่ไหมล่ะ มันเป็นหญ้าที่ขึ้นเอง ไม่มีใครปลูก ชาวบ้านเห็นว่ามันสวยดี มีหลายสีคล้ายสายรุ้ง จึงเรียกกันว่าหญ้าสายรุ้ง ชาวบ้านกำจัดไม่หมด ตัดทิ้งมันก็ขึ้นมาใหม่ ดูสิ มันทั้งทนแดด ทนฝน ทนหนาว แม้แต่หิมะยังทำอันใดไม่ได้เสียจนมีเป็นทุ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครมันจะไปกำจัดได้หมด”

โอ้ ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ทำให้ชาวบ้านตัดไปจนหมด สมบัติทั้งนั้น ไอ้นนท์จะรวยแล้ว

“สวยมากเลยขอรับ ขากลับเราต้องผ่านทุ่งหญ้าสายรุ้งไหมขอรับ”

“ผ่านสิ เส้นทางไปและกลับมีเส้นทางเดียว หมิงหมิงน้อยถามทำไมหรือ” ซูลี่สงสัย นางเห็นน้องชายตื่นตาตื่นใจนักหนา

อี้หมิงไม่เคยเห็นหญ้าสายรุ้งหรืออย่างไรกันนะ

“ข้าเห็นมันสวยดีจึงจะเก็บกลับบ้านขอรับ ข้าจะเอาไปฝากท่านแม่”

“ได้สิ ขากลับพวกเรามาเด็ดไปก็ได้ แต่ตอนนี้พวกเราไปหาปูก่อนดีไหม ตะวันใกล้ตรงหัวแล้ว เดี๋ยวจะร้อนเกินไป”

“ไป ๆ ไปขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้ารัวและออกเดินตาม

ทั้งสามเดินจากทุ่งหญ้าสายรุ้งอีกหนึ่งเค่อจึงพบกับบริเวณทะเลที่ตอนนี้จางอี้หมิงเห็นมีเด็กเกือบสิบคนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในบริเวณน้ำตื้นนั่นแล้ว บางครั้งก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นเป็นระยะๆ ทั้งเสียงหัวเราะ เสียงตื่นเต้นปะปนกันไปทำให้ดูครื้นเครงยิ่งนัก

บริเวณที่ซุนซูลี่พาจางอี้หมิงมานั้น ถ้าในยุคปัจจุบันก็เปรียบได้กับบริเวณริมทะเลตอนน้ำลง ทำให้มีดินทราย ดินโคลน และโขดหิน  ไม่ใช่ชายหาดสำหรับท่องเที่ยวที่มีแต่ชายหาดสีขาว น้ำตรงนี้สูงประมาณหน้าแข้งผู้ใหญ่ ไม่เกินหัวเข่า ดังนั้นเด็ก ๆ จึงไม่เป็นอันตรายในการมาเล่นแถวนี้ เพราะโอกาสที่จะเกิดการจมน้ำนั้นน้อยมาก

“ซูลี่ หมิงเย่ เจ้าก็มาหาปูเช่นเดียวกันหรือ” เด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบเอ่ยถามขึ้น เมื่อทั้งสามคนเดินลุยน้ำลงทะเลไปรวมกลุ่มด้วย

“ชิงชิงนั่นเอง ข้าพาอาเย่กับหมิงหมิงน้อย น้องชายคนใหม่ของข้ามาให้รู้จักกับพวกเจ้า น้องชายหมิงยังไม่เคยเห็นทะเลน่ะสิ” ซุนซูลี่เอ่ยตอบก่อนหันมาแนะนำจางอี้หมิงให้รู้จักกับเด็กคนอื่น ๆ

“หมิงหมิงน้อย นี่คือพี่ชิงชิง เพื่อนของข้าเอง และนั่นก็...”

“สวัสดีทุกคนขอรับ ข้าชื่อจางอี้หมิง เรียกข้าว่าอาหมิงก็ได้ขอรับ ยินดีที่ได้รู้จักพี่ ๆ ทุกท่าน” อี้หมิงค้อมศีรษะทักทายหลังซูลี่กล่าวแนะนำจนเสร็จ

“ยินดีรู้จักอาหมิงเช่นกัน” 

เด็กน้อยพูดคุยกันสักระยะ ชิงชิงก็คิดการแข่งขันขึ้นมา นางรีบเสนอและอธิบายวิธีการ

“เช่นนั้นพวกเรามาแข่งกันจับปูดีหรือไม่ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายไหนจับปูได้มากกว่า ต้องหิ้วตะกร้าให้อีกฝ่ายเดินกลับบ้านเป็นเวลาหนึ่งเค่อ” 

“ข้าเห็นด้วย เอาล่ะ พวกเจ้ามาอยู่กับพวกข้าอีกสี่คน แล้วพวกเราก็เริ่มกันได้เลย” ซุนซูลี่เอ่ยกับเด็กชายหญิงที่อยู่ก่อนหน้าให้มาเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับตนเอง ดังนั้นตอนนี้ทั้งสองฝ่ายจึงมีฝั่งละเจ็ดคน

“อาเย่ ไหนลองสอนหมิงหมิงน้อยจับปูหน่อยสิ ว่าต้องทำเช่นใดบ้าง” ซุนซูลี่หันไปบอกน้องชายที่ยังคงยืนเงียบ

จะรอดไหมล่ะคราวนี้...

“รบกวนพี่หมิงเย่แล้วขอรับ” อี้หมิงยิ้มแป้น เขาเริ่มเข้าหาก่อน ไม่อย่างนั้นยืนยิ้มจนเหงือกแห้งก็คงยังไม่ได้รู้วิธีเป็นแน่

“หมิงหมิงน้อย พวกเราต้องเดินเรียงหน้ากระดานไปพร้อมกันเพื่อป้องกันน้ำขุ่น เมื่อเห็นปูก็ใช้ไม้คีบขึ้นมา อย่าใช้มือจับ เพราะปูจะหนีบมือ เพียงเท่านี้ คีบได้แล้วก็ใส่ตะกร้าไว้” ซุน หมิงเย่อธิบายให้กับจางอี้หมิงฟัง นั่นนับเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่จางอี้หมิงได้เคยฟังมา

ห๊ะ ความจริงก็พูดยาว ๆ ได้ แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก ประหลาดคนจริง

“พี่หมิงเย่เก่งจังเลยขอรับ ป่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ ง่าย แค่นี้ข้าจำได้แล้วขอรับ พวกเราต้องไม่แพ้กลุ่มของพี่ชิงชิงนะขอรับ ลุยยยยย” จางอี้หมิงเอ่ยเสียงสดใสหลังจากรู้วิธีจับปูแล้ว เขาเห็นว่าไม่ได้ยากอันใด ลางชนะลอยมาเห็น ๆ

เมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้ว ปฏิบัติการล่าปูหินจึงได้เริ่มขึ้น เด็ก ๆ ทั้งสองกลุ่มต่างส่งเสียงเล่นกันอย่างสนุกสนาน จากที่เดินจับปูกันอย่างเป็นระเบียบในตอนแรก กลายเป็นว่าจางอี้หมิงเริ่มลืมตัว

“หมิงหมิงน้อยอย่าวิ่ง เจ้าจะล้ม” ซุนหมิงเย่เอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าน้องชายคนใหม่เริ่มวิ่งไล่ตามจับปูที่เห็นอยู่ในน้ำ และยังวิ่งไวมากด้วย

“พี่หมิงเย่ ปูตัวใหญ่มาก มันวิ่งหนีข้าขอรับ ข้าต้องจับมันให้ได้” จางอี้หมิงไม่ยอมแพ้ วิ่งดุ๊กดิ๊กไล่ตามเจ้าปูตัวใหญ่ไปอย่างไม่ลดละ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ตัวผอมแห้งเล็กนิดเดียว แรงฝืดจากน้ำก็มีมาก เดินทีก็ลำบาก แต่เด็กน้อยไม่ยอมแพ้

ซุนหมิงเย่เริ่มมีความกล้าที่จะพูดมากขึ้นหลังจากบอกวิธีจับปูแก่จางอี้หมิง เด็กชายอาจจะรู้สึกเริ่มสนิทเพราะรู้จักกันมาพอสมควร อายุใกล้เคียงกันและที่สำคัญเป็นเด็กชายเหมือนกันด้วย

“หมิงหมิงน้อย” สองพี่น้องบ้านซุนอุทานเรียกชื่อจางอี้ หมิงพร้อมกันเสียงดัง เมื่อเห็นน้องชายคนใหม่ล้มลงไปในน้ำทั้งตัวเสียจนน้ำแตกกระจายออกเป็นวงกว้าง หน้าของจางอี้ หมิงจมลึกลงไป ซุนซูลี่รีบเดินไว ๆ ไปให้ถึงตัวเด็กชายก่อนที่จะยกลำตัวเขาขึ้นมา เด็กคนอื่นในกลุ่มก็กรูกันเข้าไปช่วยด้วย

“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ดูนี่สิขอรับ ข้าจับปูตัวใหญ่ได้ด้วย” 

เมื่อจางอี้หมิงถูกดึงลำตัวขึ้นมาจากน้ำและซุนซูลี่ประคองเด็กชายตัวน้อยให้ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ชูปูตัวใหญ่ที่จับได้ยื่นส่งไปข้างหน้าให้ท่านพี่ทั้งสองดูด้วยใบหน้าดีใจ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะใช้มือทั้งสองข้างจับปูไว้จึงลุกขึ้นยืนเองไม่ได้

“หมิงหมิงน้อย เจ้าทำให้พวกข้าตกใจรู้หรือไม่ อาเย่บอกแล้วว่าห้ามวิ่ง เหตุใดถึงได้ซนนัก แล้วตอนนี้ล้มลงไปทั้งตัว เสื้อผ้าเจ้าเปียกน้ำหมดแล้ว เกิดไม่สบายขึ้นมาอีกครั้ง ข้าคงไม่มีหน้าไปบอกท่านอาอี้เทาเป็นแน่ คิดบ้างหรือไม่” ซุนซูลี่เอ่ยสั่งสอนออกมาด้วยความเป็นห่วง นางรู้ว่าน้องชายคนนี้เพิ่งหายป่วยไข้ไม่นาน ดูสิ ร่างกายหรือก็ผอมแห้ง ตัวเล็กเช่นนี้ อาเย่ว่าตัวเล็กแล้ว น้องชายหมิงตัวเล็กยิ่งกว่าอีก

จางอี้หมิงเมื่อได้ยินซุนซูลี่ดุตนเองเช่นนั้นจึงตระหนักได้ว่าตนเองวู่วามไปจริง ๆ ติดเผลอตัวเล่นมากเกินไป ด้วยตัวเขาในชีวิตก่อน สมัยตอนเป็นเด็กนั้นไม่ได้มีโอกาสได้เล่นซนแบบนี้ เพราะเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า ไหนเลยจะได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเล พอมีโอกาสได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เขาจึงได้เผลอตัวไปจริง ๆ 

“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ข้าขอโทษขอรับที่ไม่ฟังคำเตือน ข้าผิดไปแล้ว พี่ ๆ ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงหน้าสลด ลดมือที่ถือปูตัวใหญ่ลง น้ำเสียงสำนึกผิดอย่างจริงใจทำให้ซุนซูลี่ถึงกับโกรธไม่ลง ว่าไปแล้วหมิงหมิงน้อยอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น จะเล่นซนไปบ้างก็ตามประสาเด็ก แต่คงต้องเตือนให้ระวังไว้จะดีที่สุด

“ช่างมันเถอะ ต่อไปหมิงหมิงน้อยต้องสัญญาว่าจะเชื่อฟังพี่สาว ตกลงไหม หาไม่แล้วต่อไปพี่สาวจะไม่พามาเล่นที่นี่อีก”

“ข้าสัญญาขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นรับปากด้วยรอยยิ้มกว้าง

เฮ้อ! ทำหน้าเช่นนี้แล้วพวกข้าจะโกรธลงได้อย่างไร

ซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ได้แต่คิดในใจ ด้วยดวงตาใส รอยยิ้มน่ารัก พวกเขาจะโกรธเคืองเด็กคนนี้ได้อย่างไรเล่า

“อาเย่ ไปบอกพี่ชิงชิงให้พี่สาวที พวกเราจะกลับบ้านกัน หมิงหมิงน้อยตัวเปียกทั้งตัว ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่เช่นนั้นจะไม่สบาย การแข่งขันให้ยุติไปก่อน ครั้งหน้าค่อยว่ากันอีกที” ซุนหมิงเย่พยักหน้ารับ เดินปลีกตัวออกไปเพื่อบอกกลุ่มของชิงชิงตามที่พี่สาวบอกมา

“ข้ากับน้องชายต้องขอโทษด้วยนะ ยังแข่งขันไม่เสร็จจำเป็นต้องกลับบ้านก่อน ข้าสัญญาว่าครั้งหน้าพวกข้าจะระวังและทำให้ดีกว่านี้ ต้องขอโทษจริง ๆ” ซุนซูลี่หันหน้าไปเอ่ยขอโทษสมาชิกในกลุ่มอีกสี่คน

“ไม่เป็นไร พวกข้าเข้าใจ ครั้งหน้ามาเล่นกันอีกนะ กลุ่มของพวกเราต้องชนะเป็นแน่ พวกเจ้ารีบกลับบ้านเถอะ อาหมิงตัวเล็กเกินไปจริง ๆ” เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น

เมื่อซุนหมิงเย่กลับมารวมกลุ่มตนเองหลังจากที่ไปแจ้งกลุ่มของชิงชิงแล้ว พวกเขาจึงขอตัวกลับบ้าน ชิงชิงไม่มีปัญหาอันใด ทั้งยังฝากบอกให้ดูแลจางอี้หมิง ระหว่างทาง เด็กน้อยไม่ลืมที่จะเก็บกิ่งหญ้าสายรุ้งไปเต็มตระกร้าสะพายหลังของซุนซูลี่ เด็กน้อยบ่นเสียดายที่เก็บได้แค่ตะกร้าเดียว เพราะตะกร้าของซุนหมิงเย่ใส่ปูไว้เกือบเต็มแล้ว

“ฮัดชิ่ว” เสียงจามของจางอี้หมิงทำให้ทั้งสามคนต้องรีบเดินกลับบ้านให้ไวขึ้น

อาจจะเป็นเพราะตัวเปียกบวกกับโดนลม ผสมกับร่างกายที่เพิ่งฟื้นไข้มาไม่นาน ทำให้ร่างกายของจางอี้หมิงไม่แข็งแรง

เมื่อมาถึงบ้านซุน ซุนซูลี่รีบเดินเข้าบ้านและอธิบายให้จางอี้เทาฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวจบลงแล้ว จางอี้เทาจึงรีบขอตัวกลับบ้าน ชายหนุ่มแบกบุตรชายขึ้นหลัง ไม่ยอมให้จางอี้หมิงได้เดินเองเพราะทำให้การเดินทางช้าลงไปอีก

เมื่อสองพ่อลูกบ้านจางกลับมาถึง ก็เห็นนางหูกำลังสอนหลี่อ้ายลูกสะใภ้ให้ทำอาหารสำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้พอดี หลี่อ้ายรีบลุกเดินไปหาสามีเมื่อเห็นจางอี้เทาแบกลูกชายไว้บนหลัง พร้อมกับได้ยินจางอี้หมิงจามอยู่ตลอดเวลา

“น้องหญิง ตั้งน้ำร้อนให้พี่ด้วย หมิงเอ๋อร์ล้มลงในน้ำทะเล พี่จะไปตักน้ำที่ลำธารมาให้ลูกอาบที่บ้าน อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หมิงเอ๋อร์ด้วย”

“ดะ ได้ เจ้าค่ะ ท่านแม่เจ้าค่ะ รบกวนตั้งน้ำร้อนด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะพาหมิงเอ๋อร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” หลี่อ้ายหันไปเอ่ยขอความช่วยเหลือจากมารดาของสามี แล้วหันหลังจะอุ้มเอาบุตรชายขึ้นมา แต่จางอี้หมิงขืนตัวเองไว้

“ท่านแม่ ข้าเดินเองได้ขอรับ”

“ได้ หมิงเอ๋อร์โตแล้วเดินเองได้” นางพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปจะถอดเสื้อผ้าให้บุตรชายตามความเคยชิน “มาทางนี้เร็ว ต้องรีบเปลี่ยนชุดที่เปียกออก” 

 แต่จางอี้หมิงก็ยังขืนตัวออกเช่นเดิม 

อยู่ ๆ จะให้มีผู้หญิงมาถอดเสื้อผ้าให้มันก็... แบบว่ายังไงดีล่ะ

“ท่านแม่ ข้าเปลี่ยนชุดเองได้ขอรับ ข้าโตแล้ว” อี้หมิงบอกมารดาเสร็จก็เอาแต่ก้มหน้า อายหน้าแดงจนหลี่อ้ายสังเกตเห็น นางเอ่ยเย้าบุตรชายด้วยความมันเขี้ยว

“หมิงเอ๋อร์ ลูกอายุเพียงห้าขวบ มารดาคนนี้ยังถือว่าเจ้ายังไม่โต เหตุใดถึงได้อายมารดาเช่นนี้ ได้ แม่จะหันหลังให้ หมิงเอ๋อร์รีบถอดชุดออก แล้วเอาผ้าผืนนี้คลุมไว้นะ ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นไว้เสมอ เข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” 

โล่งใจ นึกว่าจะต้องถอดชุดต่อหน้าสาวเสียแล้ว ถึงแม้ร่างกายนี้จะเพียงแค่ห้าขวบ แต่เขาชาติก่อนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะให้หญิงสาวงามแบบนี้มาถอดเสื้อผ้าให้ เขาทำใจไม่ได้จริง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีศักดิ์เป็นมารดาของร่างนี้ก็เถอะ

“เสร็จแล้วขอรับ” จางอี้หมิงร้องบอกมารดาหลังจากที่เปลี่ยนชุดและคลุมผ้าเสร็จเรียบร้อย

“หมิงเอ๋อร์รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ แม่จะเอาพวกผ้าที่เปียกไปซักที่ริมธาร น้ำทะเลมีความเค็มและมีขี้เกลือต้องรีบซักล้างทันที เมื่อบิดาของเจ้ามาถึง ให้เขาอาบน้ำและสระผมให้เจ้าด้วย เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจขอรับ” 

“ดีมาก อาบน้ำเสร็จแล้วพวกเราจะได้กินข้าว หมิงเอ๋อร์ต้องพักผ่อน แม่ไม่อยากให้เจ้าล้มป่วยไปอีกครั้ง” 

เมื่อจางอี้เทาหาบน้ำมาจากลำธารแล้ว นางหูต้มน้ำร้อนเสร็จพอดี ชายหนุ่มจึงพาบุตรชายไปอาบน้ำ สระผม เขาเช็ดผมให้บุตรชายจนแห้ง หลังจากนั้นไม่นานหลี่อ้ายจึงกลับมาจากการซักผ้าที่ลำธาร ครอบครัวจางจึงนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยอาหารสวรรค์ที่อร่อยเหมือนเช่นทุกวัน

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ จางอี้เทาจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้มารดาและภรรยาฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบรรลุข้อตกลงการแลกเปลี่ยนแรงงาน ผลตอบรับเรื่องพะโล้ รวมทั้งความซนของบุตรชายตัวน้อยด้วยที่ไปเล่นซนจนตัวเปียกโชกกลับบ้าน ส่วนจางอี้หมิงถูกบังคับในนอนพักบนแคร่ อาจจะอ่อนเพลียและเดินมากไปหน่อยทำให้ที่คิดว่าจะนอนเล่น ๆ ก็หลับไปจริง ๆ ในช่วงขณะที่เขากำลังเคลิ้มหลับไปนั้น จางอี้หมิงก็รู้สึกเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง นอนคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออกเสียด้วย

เหมือนเขาจะลืมบางสิ่งที่สำคัญมาก ๆ 

แต่ว่ามันคืออะไรกันนะ เหตุใดจึงนึกไม่ออก

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ