ตอนที่ 94 เจ้าของงานเลี้ยงตัวจริง

ในตอนนี้กลุ่มของซุนซูลี่ ซุนหมิงเย่ จางอี้หมิง จินจินและอาซาน ต่างก็เดินตรงมายังทางเข้าเหลาอาหารซิ่งฝู ทั้งหมดกำลังจะเดินเข้าไป แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงแหลมของหญิงสาวนางหนึ่ง

“คุณหนูเจ้าคะ ดูสิว่าคุณหนูเจอกับผู้ใด นี่มิใช่คุณหนูบ้านนอกที่ร้านเครื่องประดับเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” อาจู สาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่จางอี้เหลียนเอ่ยบอกเจ้านายของตนเองเสียงดัง

“อาจู เหตุใดเจ้าจึงไปเรียกคุณหนูนางนั้นว่าคุณหนูบ้านนอกเล่า มิสมกับเป็นสาวใช้ประจำตัวของข้าเอาเสียเลย” จางอี้เหลียนเอ่ยเตือนสาวใช้ แต่น้ำเสียงที่แสดงออกช่างไม่เหมาะกันยิ่งนัก

“คุณหนูเจ้าคะ ข้ากำลังทำความดีต่างหากเล่าเจ้าคะ ข้านึกสงสารคุณหนูท่านนั้น นางอาจจะไม่รู้ว่าการที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงต้องจับจองล่วงหน้าหลายเดือน เมื่อได้มาแล้วก็มิสามารถเข้าร่วมในเดือนถัดไปได้อีก ข้าเห็นว่าคุณหนูท่านนี้เพิ่งมาถึงอาจจะยังไม่รู้กฎ ข้าจึงคิดจะไปเตือนสักหน่อยเจ้าค่ะ” อาจูจีบปากจีบคออธิบายให้เจ้านายสาวได้ฟัง

“เช่นนั้น เจ้าก็ไปเถอะ ถือว่าสงเคราะห์ลูกนกลูกกา”

ทางด้านกลุ่มของซุนซูลี่หลังจากที่หยุดฟังสาวใช้นางนั่นเอ่ยออกมาแล้ว ก็หาได้สนใจไม่ ซุนซูลี่จึงเอ่ยบอกน้องชายทั้งสองคนให้เดินเข้าไปข้างในงานโดยมิต้องสนใจเสียงใครอื่น

“หมิงเอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ พี่สาวหิวข้าวแล้ว”

“เดี๋ยว เจ้ามิได้ยินที่ข้าบอกเช่นนั้นหรือ” อาจูรีบตะโกนเรียกกลุ่มของซุนซูลี่เอาไว้ เมื่อเห็นว่าคุณหนูบ้านนอกคนที่นางได้ตั้งชื่อให้หาได้สนใจตนเองไม่

“แม่นาง เจ้าพูดกับพวกข้าหรือ” เป็นจางอี้หมิงที่ทนหิวไม่ไหวเอ่ยถามออกไป

“หากข้าไม่พูดกับพวกเจ้า แล้วข้าจะพูดกับผู้ใดเล่า แถวนี้มีคนอื่นเช่นนั้นหรือ” อาจูเอ่ยตอบเสียงดัง

“พี่สาว มีอันใดจะพูดกับพวกข้าเช่นนั้นหรือ” จางอี้หมิงเอ่ยถามอีกครั้ง

“พวกเจ้าคงกำลังจะเข้าไปร่วมงานเลี้ยงใช่หรือไม่ เจ้ามิรู้หรือว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงต้องจับจองเทียบเชิญล่วงหน้าหลายเดือน และราคาเทียบเชิญยังแพงมาก คุณหนูที่มาจากชายแดนเช่นพวกเจ้ามีตำลึงจ่ายเช่นนั้นหรือ ข้าว่าพวกเจ้ากลับไปเถอะ ถือเสียว่าข้าเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี”

“ขอบใจพี่สาวที่เอ่ยเตือน แต่ว่าข้าหาต้องใช้เทียบเชิญไม่ หากมิมีอันใดแล้วพวกข้าขอตัวก่อน” จางอี้หมิงไม่สนใจ เมื่อเอ่ยเสร็จแล้ว เขาก็เตรียมตัวเดินจากไป แต่ยังมิทันจะได้ก้าวขาออกไปก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

“หยุดก่อน คุณหนูของข้าต้องได้เข้าไปเป็นคนแรก” อาจูเอ่ยขึ้น

หลังจากที่อาซานได้ยินเช่นนั้นจึงทำท่าจะก้าวออกมา แต่จางอี้หมิงก็ส่ายหน้าเสียก่อน

“เช่นนั้น เชิญพี่สาวและคุณหนูท่านนี้ก่อนก็มิเป็นไร พวกเราตามเข้าไปทีหลังได้” ซุนซูลี่กล่าวออกมา ทุกคนในกลุ่มของนางจึงหยุดรอให้คุณหนูจางกับสาวใช้นามอาจูเดินเข้าไปในงานเลี้ยงก่อนที่ทุกคนจะเดินตามเข้าไปทีหลัง

“นี่เป็นใบจองของคุณหนูข้า”

เมื่อไปถึง อาจูจึงยื่นใบจองของเหลาซิ่งฝูให้กับเสี่ยวเอ้อร์ หลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์ตรวจดูใบจองเสร็จแล้วจึงจะพาไปยังโต๊ะที่ระบุไว้ในใบจองนั้น

“เหลียนเอ๋อร์ เหตุใดถึงได้มาช้าเล่า เจ้ามามิทันคุณชายปินเล่นพิณเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” หม่าซินหยาน บุตรสาวเจ้ากรมโยธาเอ่ยขึ้น

“พี่สาวหม่า ข้าต้องขออภัยเจ้าค่ะ เนื่องจากข้าต้องไปทำธุระให้กับท่านย่าและบังเอิญมีเรื่องเกิดขึ้นเลยทำให้ล่าช้าไปเล็กน้อย แต่พี่สาวหม่าอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ เพียงคุณหนูบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

จางอี้เหลียนอธิบายให้หม่าซินหยานได้ฟัง

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว นั่นคุณชายสวีจะวาดภาพแล้ว พวกเจ้าก็ตั้งใจรับชมเถอะ” หม่าซินหยานเอ่ยเตือนคุณหนูรุ่นน้องอีกสามคนบนโต๊ะไม่ให้เสียมารยาทพูดคุยระหว่างที่คุณชายสวีกำลังรังสรรค์งานศิลป์

จางอี้เหลียนและคุณหนูอีกสองคนจึงเงียบเสียงลงและหันไปตั้งใจดูคุณชายสวีวาดรูปด้วยความหลงใหล

ทางด้านกลุ่มของจางอี้หมิงก็กำลังยื่นรอเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินนำคุณหนูใหญ่สกุลจางไปยังโต๊ะนั่ง จินจินจึงใช้โอกาสนี้เอ่ยถามคุณหนูของนางเสียงแผ่วเบา

“คุณหนู คุณชายเจ้าคะ บ่าวว่าพวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ พวกเรามิมีใบจองคงยากที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ ข้ามิอยากให้คุณหนูและคุณชายขายหน้าเจ้าค่ะ” จินจินคะยั้นคะยอคุณหนูคุณชายของตน

“พี่จินจิน มิมีสิ่งใดต้องกลัว เพียงทำตามหมิงเอ๋อร์เท่านั้น แล้วทุกอย่างจะดีเอง พี่จินจินเชื่อข้าเถอะ” ซุนซูลี่เอ่ยปลอบใจสาวใช้ของตนเองเบา ๆ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักและมาทำงานรับใช้เพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่ซุนซูลี่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่สาวใช้คนนี้มอบให้

“คุณหนูคุณชายท่านนี้ ข้าขอตรวจดูใบจองด้วยขอรับ” เสี่ยวเอ๋อร์ที่กลับมาจากไปส่งคุณใหญ่สกุลจางถามหาใบจองตามหน้าที่จากกลุ่มของจางอี้หมิง

“พี่เสี่ยวเอ้อร์ รบกวนนำหยกชิ้นนี้ไปมอบให้กับเถ้าแก่เจ้าของเหลาซิ่งฝูด้วย พวกข้าจะรออยู่ตรงนี้ขอรับ” เป็นจางอี้หมิงที่ยื่นหยกสีขาวสลักคำว่าหมิง ส่งไปให้กับเสี่ยวเอ้อร์พลางยิ้มสดใส เสี่ยวเอ้อร์รับแล้วเดินผละจากไปทันที

“คุณชายน้อย ท่านมีป้ายผ่านทางหรือเจ้าคะ” จินจินเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่เพิ่มเป็นเท่าตัว

“พี่จินจิน เดี๋ยวก็รู้ว่าหมิงเอ๋อร์มีป้ายผ่านทางหรือไม่” ซุนซูลี่เอ่ยตอบ พลางส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดูกับความไม่รู้ของสาวใช้

รอเพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ เถ้าแก่จวงเต๋อก็รีบเดินแกมวิ่งกระหืดกระหอบมาที่กลุ่มของจางอี้หมิงและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ผู้ใด ผู้ใดเป็นเจ้าของหยกนี้”

“ข้าเอง” จางอี้หมิงเอ่ยตอบ

“คุณชายน้อย ข้าจวงเต๋อ คุณชายน้อยเรียกข้าว่า เถ้าแก่จวงได้ขอรับ” จวงเต๋อรีบยกมือคารวะเจ้านายของตนเองด้วยความนอบน้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคุณชายน้อยเจ้าของเหลาอาหารตัวจริง จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร

“เถ้าแก่จวง มิต้องมากพิธีไปขอรับ ข้ามาเมืองหลวงในครานี้ เห็นว่าที่เหลาซิ่งฝูมีการจัดงานเลี้ยงจึงอยากจะเข้าร่วมด้วย มิทราบว่าข้าพอจะเข้าร่วมงานเลี้ยงได้หรือไม่”

“คุณชายน้อย ย่อมได้ขอรับ หากคุณชายน้อยมิมีสิทธิ์แล้วผู้ใดจะมีสิทธิ์เล่าขอรับ เชิญคุณชายน้อยเดินตามข้ามาทางนี้เลยขอรับ” เถ้าแก่จวงรีบผายมือนำทางกลุ่มของจางอี้หมิงไปทางด้านหนึ่ง ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับแขกผู้สูงศักดิ์หรือแขกคนสำคัญ

“นะ นั่น คุณหนูบ้านนอกคนนั้นนี่” จางอี้เหลียนละสายตาจากคุณชายสวีที่กำลังวาดภาพและอุทานขึ้นเบา ๆ จนทำให้คุณหนูทั้งหลายที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกันมองนางด้วยความสงสัย

“มีอันใดหรือเหลียนเอ๋อร์” หม่าซินหยานเอ่ยถาม

“พี่สาวหม่า ดูนั่นสิเจ้าคะ นั่นมันคุณหนูบ้านนอกที่เป็นปัญหาระหว่างทางที่ข้าจะมาที่นี่ยังไงเล่าเจ้าคะ เหตุใดจึงไปนั่งที่โต๊ะตรงพื้นที่นั่นได้” จางอี้เหลียนอธิบาย

“นั่นมิใช่โต๊ะสำหรับผู้ที่มีบัตรจินหลงหรือเจ้าคะ” คุณหนูนางหนึ่งเอ่ยถามบ้าง

“นั่นสิ นางเป็นใครถึงสามารถไปนั่งตรงพื้นที่บัตรจินหลงได้” หม่าซินหยานถามขึ้นอีกคน

“ข้าก็อยากรู้เช่นกันเจ้าค่ะพี่สาวหม่า” จางอี้เหลียนมองไปยังกลุ่มของจางอี้หมิงด้วยสายตาอาฆาต ที่ตรงนั้นสมควรจะเป็นนางมากกว่าที่ได้นั่ง เหตุใดถึงกลับตรงกันข้ามไปเสียได้

ทางด้านโต๊ะของจางอี้หมิงที่นั่งอยู่กับเถ้าแก่จวง เด็กน้อยกำลังเอ่ยแนะนำพี่สาวพี่ชายให้กับเถ้าแก่จวงได้รู้จัก ทำให้เหล่าคุณชายที่นั่งโต๊ะข้างๆ หันมาให้ความสนใจกับกลุ่มของจางอี้หมิงไม่น้อย เพราะใคร ๆ ต่างก็ทราบถึงความหยิ่งยะโสของเถ้าแก่จวง ถึงแม้ว่าจะเป็นพ่อค้าแต่ก็มีอิทธิพล เพราะเขาเป็นเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝู ที่ใคร ๆ ต่างก็มิกล้าขัดใจ เนื่องจากมีกลุ่มการค้าหลัวถงหนุนหลัง

ตั้งแต่มีการส่งเครื่องบรรณาการในปีนี้ ข่าวคราวของกลุ่มการค้าหลัวถงก็กระจายโด่งดังชั่วข้ามคืน เนื่องจากมีทั้งแคว้นเหลียงเป็นกองกำลัง และยังเป็นผู้กุมเส้นทางการค้าของแคว้นฉิน กลุ่มการค้าหลัวถังใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ในการสร้างความยิ่งใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้

“คุณหนู เหตุใดมิบอกจินจินเล่าเจ้าคะ ว่าคุณชายน้อยเป็นเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝู ปล่อยให้ข้ากลัวขายหน้าอยู่ได้คนเดียว” จินจินเอ่ยตัดพ้อคุณหนูของตนเอง

“พี่จินจิน ข้ามิได้บอกพี่แล้วหรอกหรือว่ามิต้องกลัว ช่างเถอะ นั่นคุณชายท่านนั้นวาดรูปเสร็จแล้ว พวกเรารอชมการวิจารณ์เถิด” ซุนซูลี่เอ่ยแกล้งสาวใช้แล้วจึงหันไปถามน้องชาย

“เย่เอ๋อร์ เจ้าเห็นว่าภาพวาดนั้นเป็นเช่นไร”

“ท่านพี่ซูลี่ ท่านจะฆ่าข้าหรือขอรับ ท่านพี่ก็รู้ข้ามิชอบเรื่องวาดรูป” ซุนหมิงเย่โอดครวญ

“เย่เอ๋อร์ นี่เป็นเพียงสิ่งเบื้องต้นที่ต้องศึกษาไว้ หากท่านพ่ออี้เทาถามแล้วเจ้าตอบมิได้ ขาเจ้าได้ลายเป็นแน่”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จางอี้หมิงหัวเราะชอบใจ

“หมิงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ คงตอบพี่สาวได้ใช่หรือไม่ว่าภาพวาดที่คุณชายท่านนั้นวาดหมายความเช่นไร” ซุนซูลี่เอ่ยดุน้องชายคนเล็กเสียงแข็งก่อนจะถามคำถามกลับมา

จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบหุบปากโดยพลัน เพราะตนเองก็ตอบมิได้

โธ่ก็นะ สมัยเป็นอานนท์วิชาวาดรูปเขาก็มิเคยได้เกินเกรด 2 สักที หัวขี้เลื่อยแบบเขาอย่างว่าแต่ศิลปะเลย ให้วาดมังกรก็กลายเป็นมังกือได้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ซุนหมิงเย่ได้ยินพี่สาวถามน้องชายเช่นนั้นก็หัวเราะกลับบ้าง แต่ก็ต้องรีบหยุดแทบมิทัน เมื่อเห็นสายตาดุของพี่สาวส่งมา

“ขออภัยที่มารบกวน ข้าเสียมารยาทแล้วที่แอบฟังการสนทนาของพวกเจ้า ข้าปินจางหมิ่น ขอตอบแทนน้องชายทั้งสองคนได้หรือไม่” ปินจางหมิ่น คุณชายที่บรรเลงพิณจบไปก่อนที่จางอี้เหลียนและกลุ่มของจางอี้หมิงจะได้ทันได้รับชมเอ่ยถามขึ้น

“พี่ชาย ข้าจางอี้หมิง นั่นพี่สาวข้า ซุนซูลี่ และพี่ชายซุนหมิงเย่ ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ พวกเราเพิ่งมาจากชายแดนเมื่อวานนี้ วันนี้ทราบข่าวว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจัดงานเลี้ยงวิจารณ์ศิลป์ จึงมาร่วมรับชมขอรับ” เป็นจางอี้หมิงที่เอ่ยตอบ

“โอ้ มิใช่ว่าพวกเจ้าคือคนของตระกูลที่ซื้อจวนหลังใหญ่ตรงพื้นที่เหลียนฮวาใช่หรือไม่” คุณชายปินถามต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ใช่แล้ว มีปัญหาอันใดหรือไม่ที่พวกข้าพักที่นั่น แล้วเหตุใดท่านจึงรู้ว่าพวกข้าพักที่นั่น” จางอี้หมิงถามกลับ

“ไม่ ไม่มีปัญหาอันใด ข้าเพียงโชคดีที่ได้เจอเจ้าของจวนวันนี้นี่เอง ข้าเดาเอาจากความสัมพันธ์ของพวกเจ้าที่มีกับเถ้าแก่จวงเพียงเท่านั้นเอง พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าชาวเมืองหลวงต่างเล่าลือและสงสัยว่าผู้ใดคือเจ้าของจวนหลังใหญ่นั่น”

“เหตุใดจึงอยากรู้เล่า”

“เป็นเพราะจวนหลังใหญ่นั้นเป็นจวนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดีที่สุดของเมืองหลวงรองลงมาจากวังหลวง บริเวณนั้นทั้งมีขนาดใหญ่ มีแม่น้ำไหลผ่าน มีสระบัวที่สวยงาม ผ่านมาตั้งนานแล้วก็มิมีผู้ใดมาอาศัยอยู่ ชาวบ้านจึงสงสัยว่าเหตุใดเจ้าของจวนจึงมิอยากอาศัยในจวนที่สวยงามเช่นนี้” ปินจางหมิ่นอธิบาย

“ชาวบ้านที่คุณชายปินว่านั่น รวมถึงคุณชายปินด้วยหรือไม่เจ้าคะ” ซุนซูลี่เอ่ยถามบ้าง

“คุณหนูซุน ข้ายอมรับว่าข้าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านนั้นจริงขอรับ”

“พี่ชาย แล้วภาพที่คุณชายท่านนั้นวาดมีความหมายว่าเช่นใดขอรับ” จางอี้หมิงเห็นว่าเริ่มมีคุณชายทั้งหลายมาเกาะแกะพี่สาวของตนเองแล้วก็เกิดอาการหวงจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“ข้าขอเป็นผู้ตอบแทนสหายปินได้หรือไม่ ข้ามีชื่อว่าสวีจง ในเมื่อข้าเป็นผู้วาดภาพ ข้าย่อมรู้ความหมายดีที่สุด”

สวีจง คุณชายที่วาดภาพเสร็จสิ้นแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ จึงได้เห็นปินจางหมิ่นพูดคุยกับกลุ่มของคุณหนูคุณชายตัวน้อยอยู่ เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าบุคคลเหล่านี้ต้องมิธรรมดา ดังนั้นจึงต้องการเอาตนเองเข้ามาอยู่ในวงสนทนานี้ด้วยอย่างแนบเนียน

“อาปิน นี่คือคุณหนูซุนซูลี่ คุณชายหมิงเย่ และคุณชายจางอี้หมิง พวกเขาพักที่จวนในพื้นที่เหลียนฮวา” ปินจางหมิ่นเอ่ยแนะนำกลุ่มของจางอี้หมิงให้กับสหายได้รู้จัก

“ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงของแคว้นฉินขอรับ” สวีจงเอ่ยต้อนรับพลางยกพัดขึ้นมาพัดเบา ๆ คุณชายสวียังมิทันได้ตอบความหมายของภาพที่วาด ก็ต้องปิดปากลงไปเมื่อมีเสียงทักมาทางด้านหลัง

“คารวะคุณชายสวี คุณชายปินเจ้าค่ะ ข้ายินดียิ่งนักที่ได้รับชมฝีมือการวาดภาพของคุณชายสวีในวันนี้ เสียดายที่ข้ามามิทันได้รับฟังการบรรเลงพิณของคุณชายปิน” จางอี้เหลียนพร้อมกับกลุ่มเพื่อนสามคนเอ่ยทักคุณชายทั้งสองพลางย่อตัวคารวะอย่างอ่อนช้อย

“แม่นาง พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือไม่ ว่าพื้นที่ส่วนนี้มีไว้เพียงแค่แขกที่ถือบัตรจินหลงเท่านั้น ข้าจำได้ว่าวันนี้บัตรจินหลงมิมีแขกเป็นหญิงสาวนะ” เถ้าแก่จวงตระหนักได้ว่ามีคนกำลังทำผิดกฎของตนที่ได้ตั้งไว้ จึงรีบเอ่ยทักไปโดยไม่สนใจว่าตนเองจะไปขัดผู้ใด

“เถ้าแก่จวงท่านกล่าวเช่นนี้มิถูกต้องนัก แม่นางและเด็กน้อยสองคนนั้นก็หาได้มีบัตรจองจินหลงไม่ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้มีสิทธิ์นั่งตรงนี้ได้เล่า” หม่าซินหยานเอ่ยถาม

“ใช่เจ้าค่ะพี่สาวหม่า เป็นคุณหนูบ้านนอกเพียงเท่านั้น ริอาจหาญกล้ามาเทียบชั้นกับเหล่าคุณหนูคุณชายเมืองหลวง ช่างมิเจียมตน” จางอี้เหลียนย้ำคำว่าคุณหนูบ้านนอกเสียงดังฟังชัดเพื่อเป็นการบอกใบ้ให้กับคุณชายทั้งหลาย โดยลืมไปว่าหากผู้ที่มานั่งตรงนี้ไม่ได้รับการอนุญาตจากเถ้าแก่จวง ผู้ใดจะสามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้

“ในเมื่อนางก็มิมีบัตรจินหลงเช่นกัน ดังนั้นนางก็มิสมควรนั่งอยู่ตรงพื้นที่บัตรจินหลง ข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะเถ้าแก่จวง” จางอี้เหลียนเอ่ยถามเถ้าแก่จวงด้วยรอยยิ้มมุมปาก หากนางมิสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้ คุณหนูบ้านนอกผู้นั้นจะเอาความสามารถจากไหนมาทำอันใดเกินหน้าตนเองได้

“พี่สาว คำก็คุณหนูบ้านนอก สองคำก็คุณหนูบ้านนอก เป็นคุณหนูบ้านนอกแล้วทำพี่สาวเดือดร้อนเช่นนั้นหรือขอรับ หากพี่สาวข้ามิมีสิทธิ์นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วผู้ใดจะมีสิทธิ์เล่า อย่าบอกข้านะขอรับว่าเป็นตัวคุณหนูเอง” จางอี้หมิงเริ่มรู้สึกหมั่นไส้คุณหนูคนนี้มาก เขายอมมาหลายครั้งแล้ว ความอดทนมันก็มีจำกัดเหมือนกันนะ

“เจ้าเด็กเหลือขอ มิรู้จักเด็ก มิรู้จักผู้ใหญ่ ก็นะ ที่ชายแดนคงมิได้รับการอบรมมาเป็นแน่” จางอี้เหลียนถลึงตาใส่จางอี้หมิง

“ถึงแม้ว่าข้าจะมาจากชายแดน แต่ข้าก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ท่านอาจารย์สอนข้าว่าคนเราล้วนมีความเป็นคนเหมือนกัน อย่างน้อยให้รู้จักมารยาท หากต้องเป็นดั่งเช่นคุณหนูท่านนี้ ข้ายินดีเป็นคุณหนูบ้านนอกตามที่คุณหนูในเมืองหลวงเช่นท่านกล่าวหาแล้ว” ซุนซูลี่ค้านจางอี้เหลียนเสียงเข้ม

“คุณหนูท่านนี้ คุณหนูซุนมีสิทธิ์นั่งในพื้นที่จินหลงเพราะว่าคุณหนูซุนคือคุณหนูของเหลาอาหารซิ่งฝู คงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เจ้าของเหลาจะมานั่งกินข้าวในเหลาตนเองไม่ได้ ใช่หรือไม่แม่นาง” เถ้าแก่จวงเอ่ยถามจางอี้เหลียนกลับไปเสียงเรียบ

“จะ เจ้า” จางอี้เหลียนได้แต่ชี้หน้าไปทางซุนซูลี่

“พี่สาวของข้ามีสิทธิ์อยู่ตรงนี้ หากแต่เป็นพี่สาวเองที่มิมีบัตรจินหลง เช่นนั้นขอเชิญพี่สาวกลับไปนั่งในเขตพื้นที่ของพี่สาวด้วยเถิด” ซุนหมิงเย่เอ่ยไล่พวกแมลงขี้อิจฉาให้ออกไปไกล ๆ จนจางอี้หมิงแอบยกนิ้วโป้งให้พี่ชายของตนเอง ปกติซุนหมิงเย่เป็นคนขี้อาย มิใคร่ชอบคุยกับผู้ใด แต่หากซุนหมิงเย่ได้เอ่ยขึ้นมา ผู้ถูกพาดพิงมักทำอันใดมิได้

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” จางอี้เหลียนพูดเสร็จแล้วจึงพากลุ่มเพื่อนเดินจากไป จางอี้หมิงกับซุนหมิงเย่ถึงกับหันมายิ้มและหัวเราะพร้อมกัน

“หมิงเอ๋ เย่เอ๋อร์ เจ้ายังมิตอบความหมายของภาพให้พี่สาวคนนี้ฟัง คิดว่าพี่สาวลืมเช่นนั่นหรือ” ซุนซูลี่เอ่ยถามอีกครั้ง

“พี่สาว ข้าหิวแล้ว หิวมาก หิวจนไส้จะขาดแล้ว ขอกินข้าวก่อนได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงกล่าวเสียงอ้อนพลางเอามือลูบท้องตนเองโอดโอยขึ้นมา

“คุณชายน้อยหิวมากหรือไม่ขอรับ รอสักครู่ข้าจะให้ห้องครัวทำอาหารมาโดยเร็วที่สุด” เถ้าแก่จวงเห็นอาการของเจ้านายตัวน้อยก็ได้แต่ตกใจ มีเพียงซุนซูลี่ที่รู้ทันมารยาน้องชาย นางจึงได้แต่ถลึงตาดุไปหนึ่งที

แต่ทว่าในสายตาของคุณชายปินและคุณชายสวี กลับมองว่าการกระทำของซุนซูลี่นั้นน่ารัก นางช่างงดงามยิ่งนัก เมื่อถึงวัยปักปิ่นคงมีแต่แม่สื่อมาสู่ขอหัวบันไดไม่แห้งเป็นแน่

คุณชายทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างรู้ความนัย ด้วยเพราะเป็นสหายกันมานาน เพียงมองตาก็รู้ใจว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร แต่หารู้ไม่ว่าต่อให้หาญกล้าเพียงไหนก็ได้แต่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น เพราะเด็กหญิงตรงหน้าตนเองนั่น มีดวงชะตาเป็นหงส์คู่บัลลังก์

แต่กว่าจะรู้ตัวก็แก้ไขอันใดมิได้แล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ