เช้าวันต่อมา สมาชิกบ้านจางลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ นางหูตื่นมาเตรียมอาหารไว้ตั้งแต่เช้า ส่วนสองสามีภรรยาขึ้นเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า มีเพียงเด็กน้อยอย่างจางอี้หมิงที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันลงความเห็นว่าควรให้เขาได้นอนหลับพักผ่อนต่อไป
เมื่อวานนับว่าเป็นวันที่หนักพอสมควรสำหรับเด็กอายุเพียงห้าขวบ ทั้งวิ่งวุ่นสอนทำอาหาร ทั้งเจรจาการค้า ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเสียตั้งมากมาย วันนี้ได้หยุดอยู่บ้านทั้งที ควรให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
นางหูตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงคิดจะเอาเสื้อผ้าไปซักที่ลำธารต่อ นางหันไปหยิบกะละมังซักผ้า ทว่าหลานชายก็ดันตื่นขึ้นมาเสียก่อน
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดไม่นอนพักต่ออีกสักหน่อย เมื่อบิดามารดาเจ้ากลับมาจากภูเขาค่อยลุกมากินข้าวด้วยกัน เจ้ายังเป็นเด็ก นอนพักผ่อนให้มากหน่อยถึงจะดี รู้หรือไม่” นางเอ่ยทักหลานชายที่กำลังลุกนั่งอยู่บนฟูกนอน เตรียมตัวเดินออกไปนอกบ้านเพื่อล้างหน้าล้างตา
“ท่านย่า นี่ก็ไม่เช้าแล้วขอรับ ข้ามีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ข้าไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์” จางอี้หมิงตอบท่านย่าเสียงงัวเงีย ร่างเล็ก ๆ ชันตัวลุกจากที่นอน เก็บผ้าห่มให้เรียบร้อยด้วยความทุลักทุเล
โธ่...ก็ดูตัวเขาสิ เล็กนิดเดียว ผ้าห่มก็ผืนตั้งใหญ่
สุดท้ายนางหูก็ทนมองไม่ไหว เดินเข้ามาช่วยจัดการจนเรียบร้อย
“ตัวเล็กนิดเดียวจะมีสิ่งที่ต้องทำอะไรกันนักหนา เด็กควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ จะได้โตเร็ว ๆ รู้หรือไม่” นางหูพับผ้าห่มไป สั่งสอนหลานชายไปด้วย
เมื่อพับผ้าห่มเรียบร้อยดีแล้ว นางหูจึงผละไปถือกะละมังซักผ้าขึ้นมาไว้แนบเอว จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“ท่านย่า ท่านกำลังจะไปซักผ้าที่ลำธารหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ย่าจะไปซักผ้าเสียหน่อย คงเสร็จทันบิดามารดาเจ้ากลับมาจากภูเขา ว่าแต่หมิงเอ๋อร์ถามย่าทำไมหรือ” นางหูหยุดมือที่กำลังหยิบผ้ามาใส่กะละมัง
“ข้าขอไปกับท่านย่าด้วย ลืมไปแล้วหรือขอรับ ข้ายังไม่ได้สอนท่านทำอาหารจากไข่น้ำนั่นเลย ท่านย่ารอข้าสักครู่เดียวเพียงเท่านั้น” อี้หมิงตอบคำถามของนางหูเสร็จแล้วจึงรีบไปล้างหน้า รอเพียงไม่นาน สองย่าหลานจึงเริ่มเดินไปที่ริมลำธาร นางหูลงมือซักผ้าจนแล้วเสร็จ นางเดินตามหลังเด็กน้อยไปยังบึงที่มีไข่น้ำขึ้นมากมาย
เห็นหลานชายบอกว่าพวกมันคืออาหารชนิดหนึ่ง ดูหน้าตาพิลึกเสียจริงแต่คงรสดีไม่เบา ไม่เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์คงไม่รอคอยจะสอนนางถึงเพียงนี้
“ท่านย่า เราจะเอาไข่น้ำขึ้นมาได้อย่างไรขอรับ ข้าว่าน้ำคงลึกมาก” จางอี้หมิงหันไปถามนางหูด้วยความไม่แน่ใจ
“หมิงเอ๋อร์รอย่าสักครู่”
นางหูเดินไปหยิบกิ่งไม้แห้งมาแล้วเอาไปจุ่มลงในบึง ปรากฎว่าน้ำค่อนข้างลึก หากต้องการจะเก็บพืชสีเขียวเล็ก ๆ นั่น นางคงต้องลุยน้ำลงไปทั้งตัว
“ท่านย่า มันลึกมากเลย ครั้งที่แล้วข้าเอาจากขอบตลิ่งใกล้ ๆ เป็นเพียงตัวอย่าง หากจะเก็บเอาเพื่อทำอาหาร ท่านย่าคงต้องลงไปในน้ำ ท่านย่าว่ายน้ำเป็นหรือไม่ขอรับ” อี้หมิงเอ่ยถามนางหูด้วยความกังวล เนื่องจากท่านย่าของตนคงไม่สะดวกเก็บไข่น้ำด้วยตนเองเป็นแน่
“ย่าว่ายน้ำไม่เป็นหมิงเอ๋อร์” นางหูเงยหน้าตอบหลานชายในขณะที่ใช้ไม้หยั่งความลึกของบึง
“ท่านย่าขอรับ ข้าว่าเราล้มเลิกการเก็บไข่น้ำเถอะขอรับ ตอนนี้บ้านเราหาได้ขาดแคลนอาหารไม่ หากท่านย่าตกน้ำเป็นอันใดไป ข้าคงเสียใจเป็นที่สุดขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยสรุปให้ท่านย่าฟัง
มันไม่คุ้มเอาเสียเลยถ้าจะเจ็บไข้ได้ป่วยจากการลงไปเก็บไข่น้ำ หรือหากร้ายแรงก็อาจถึงแก่ชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ อี้หมิงไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขาต้องมาเสี่ยง
“ย่าเห็นด้วยกับหมิงเอ๋อร์ แค่ผักบุ้งที่ขึ้นตามริมบึงก็เพียงพอแล้ว ผ่านฤดูหนาวไปแล้วย่าค่อยปลูกผักไว้กินเองดีหรือไม่” นางหูเห็นด้วยกับความคิดของหลานชาย นางก็ไม่อยากเสี่ยงเช่นกัน
เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว สองย่าหลานจึงกลับไปเอากะละมังที่ซักผ้าไว้และเดินกลับบ้าน นางหูและเด็กชายคุยกันมาตลอดทาง
“อ้าว อี้เทา ลูกสะใภ้ พวกเจ้ากลับมาแล้ว” หูไป๋หงเอ่ยทักบุตรชายและลูกสะใภ้
เมื่อสองย่าหลานเดินไปได้เพียงครึ่งทางก็เห็นสองสามีภรรยาเดินตรงมายังพวกตน คาดว่าคงเอาต้นหญ้าหวานมาล้างให้สะอาดก่อนนำไปตากแดดเป็นแน่
“ขอรับท่านแม่ ข้ากำลังจะเอาต้นหญ้าหวานไปล้างน่ะขอรับ” อี้เทาเป็นคนตอบคำถาม
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ แม่เองก็จะเอาผ้าไปตากแดด เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน” นางหูเอ่ยบอกลูกชายแล้วจึงเดินกลับบ้านพร้อมจางอี้หมิง ส่วนจางอี้เทาและหลี่อ้ายแยกตัวไปล้างหญ้าหวานที่ลำธาร
.
หลังจากช่วงเวลามื้อกลางวันจบสิ้นลง สมาชิกบ้านจางต่างก็พากันว่าง นางหูขอตัวไปเอนหลังพักผ่อน ส่วนอี้หมิงที่เบื่อหน่ายเต็มทนจึงเอ่ยชวนบิดาไปเก็บหญ้าสายรุ้งมาตากแดดไว้เพื่อนำมาทำเกลือผัก เขาบอกเถ้าแก่หวังเอาไว้ว่าหากพี่อาคุนมารับผักครั้งหน้า เขาจะฝากเกลือผักไปให้เถ้าแก่หวังได้ลองพิจารณาดู
“ท่านพ่อขอรับ ตอนบ่ายนี้ท่านพ่อว่างหรือไม่”
“พ่อมิได้มีกิจอันใดนะ เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงถามพ่อเล่า”
“ข้าอยากชวนท่านพ่อไปเก็บหญ้าสายรุ้งมาตากแดดไว้ขอรับ ข้าจะมอบให้ชาวบ้านที่มาช่วยเราสร้างบ้าน อีกอย่าง ข้าอยากไปชวนพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ไปจับปูอีกขอรับ”
“ไปเก็บหญ้าสายรุ้งเป็นความคิดที่ดี แต่หมิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่จำ ครั้งที่แล้วเจ้าก็ป่วยไปหลายวัน ยังอยากจะไปเล่นซนอีกเช่นนั้นหรือ”
จางอี้เทาถึงกับเคาะไปบนหน้าผากน้อย ๆ ไม่แรงมากนัก เขาประหลาดใจกับความคิดที่อยู่ในหัวเล็ก ๆ นั่นเหลือเกิน แต่จะทำเช่นไรได้ บุตรชายของเขายังเป็นเด็กอยู่มาก หากไม่เล่นซน เขาก็คงจะทุกข์ใจอีกเช่นกัน
เฮ้อ! ถ้าดื้อ ถ้าซนก็ทุกข์ ไม่ดื้อ ไม่ซนก็ทุกข์ หาได้มีทางสายกลางไม่
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ขอรับท่านพ่อ ครั้งนี้ท่านพ่อไปกับข้าสิขอรับ พวกเราไปชวนพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ก่อน แล้วจึงค่อยไปจับปู เสร็จแล้วท่านพ่อเก็บหญ้าสายรุ้งตอนขากลับบ้าน เช่นนี้ข้าก็ได้ไปจับปู ท่านพ่อก็ได้เก็บหญ้าสายรุ้ง และยังได้ดูแลข้าอีกด้วย ดีหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงลงทุนอ้อนบิดาเสียงหวาน แล้วก็เป็นไปตามคาด จางอี้เทาตกหลุมที่บุตรชายขุดไว้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปกันเลยหรือไม่” สุดท้ายจึงยินยอมไปกับความน่ารักของบุตรชาย
จางอี้หมิงยกยิ้มน่ารัก เขาร้องดีใจออกมาก่อนจะจูงมือบิดาออกจากกระท่อมหลังเล็ก ทั้งสองมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที
สองพ่อลูกบ้านจางเดินเข้าไปชวนบุตรบ้านซุน อี้หมิงยิ้มอ้อนท่านลุงซูเย่ด้วยดวงตาทอประกาย ซุนซูเย่จึงเอ่ยอนุญาตให้บุตรชายและบุตรสาวไปเล่นได้ ซูหมิงเย่จากที่เคยเป็นเด็กเงียบ ๆ เมื่อรู้สึกสนิทสนมกับอี้หมิงแล้วเขากลายเป็นเด็กที่พูดมากไปทันที
“อ่ะ พี่ซูลี่ดูนั่นสิขอรับ พี่ชิงชิงอยู่ตรงนั้นด้วย” จางอี้ หมิงรีบบอกพี่สาวเสียงดังเมื่อเห็นชิงชิงกำลังจะก้าวเดินลงไปในทะเล เด็กน้อยรีบตะโกนเรียกเด็กสาวไว้ทันที
“พี่ชิงชิง พี่ชิงชิงขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนหลายครั้ง เด็กสาวจึงได้หันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นจางอี้หมิง ซูลี่และหมิงเย่ นางจึงโบกมือพร้อมขานรับเสียงดัง
“อาเย่ ซูลี่ หมิงหมิงน้อย พวกเจ้าก็มาจับปูเช่นกันหรือ”
“ใช่แล้วชิงชิง รอข้าด้วย” ซูลี่ตะโกนและยกมือโบกตอบกลับ
“ท่านอาอี้เทา พวกข้าขอตัวไปจับปูก่อนนะเจ้าคะ ไปเร็ว อาเย่ หมิงหมิงน้อย” ซูลี่เอ่ยเร่งเด็กชายทั้งสองคน
“ลี่เอ๋อร์ ดูแลน้องให้ดีนะ หมิงเอ๋อร์ จำได้หรือไม่ว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน หากครั้งนี้เจ้าไม่สบายอีก ครั้งต่อไปพ่อไม่อนุญาตให้เจ้ามาเล่นที่นี่อีกแล้วนะ” จางอี้เทารีบเตือนบุตรชาย
“ข้าจำได้แล้วขอรับท่านพ่อ ข้าสัญญา” จางอี้หมิงเอ่ยสัญญากับบิดา เขาเร่งฝีเท้าให้ทันซูลี่และหมิงเย่
“ข้าจะดูแลหมิงหมิงน้อยให้เองเจ้าค่ะ” ซูลี่ให้คำมั่น พลางเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพื่อเดินไปสมทบกับเพื่อนสนิทที่ยืนรออยู่ริมฝั่ง เด็กน้อยยังไม่ได้เดินลงไปในทะเล
จางอี้เทามองดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ เดินลุยน้ำลงไปในทะเลแล้วจึงเดินไปหาก้อนหินที่ใหญ่พอจะนั่งพักได้ อีกทั้งยังเป็นมุมที่มองเห็นเด็ก ๆ ได้อย่างชัดเจน หากเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทัน
หากครั้งนี้อี้หมิงเจ็บป่วยอีก เห็นทีคนที่จะโดนหลี่อ้ายจัดการก่อนเป็นอันดับแรกคือเขา อย่าเข้าใจผิดเล่า เขามิได้กลัวภรรยา เพียงแต่เกรงใจเท่านั้น บ้านอื่นเขาไม่สนใจว่าสามีต้องเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง สำหรับจางอี้เทาแล้ว หลี่อ้ายเป็นหญิงเพียงคนเดียวที่เขาจะรักตลอดไป
///
“ฮัดชิ่ว”
ในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน เสียงจามที่ดังติด ๆ กันทำให้นางหูถึงกับลืมตาขึ้นมา
“สะใภ้ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” นางหูที่นอนเอนหลังอยู่บนแคร่เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เพียงแค่อยากจะจามเท่านั้น”
“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เจ้าเย็บผ้าต่อไปเถอะ”
///
ทางด้านจางอี้หมิง ซูลี่ หมิงเย่ และชิงชิง เมื่อพากันเดินลงไปในทะเล ก็พบกับกลุ่มของเด็ก ๆ ในครั้งก่อน พวกเขาจึงได้ทำการแข่งขันกันอีกครั้ง จางอี้หมิงไม่ยอมให้ตนเองต้องล้มไปอีกรอบ ครั้งนี้เขาระมัดระวังตนเองพอสมควร เสียงร้องดังสนั่นเมื่อจางอี้หมิงคีบปูตัวใหญ่มากกว่าฝ่ามือของตนเองชูอวดเพื่อน ๆ
“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างโชคดียิ่ง ปูตัวใหญ่มาก” หมิงเย่เอ่ยขึ้นพร้อมตาโตเป็นประกาย
“ใช่แล้วหมิงหมิงน้อย เจ้าช่างโชคดี เจอแต่ปูตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น” ชิงชิงเอ่ยสมทบอีกคน
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าแบ่งให้พี่ซูลี่ พี่ชิงชิงได้นะขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างเป็นเด็กดี รู้จักแบ่งปัน” ซูลี่เอ่ยชมน้องชายคนใหม่
พวกเด็ก ๆ เล่นจับปูกันนานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะพัก จางอี้เทาเห็นว่าเหมาะสมแก่เวลาแล้วจึงได้ตะโกนเรียกเด็ก ๆ ขึ้นจากน้ำทะเล
“หมิงเอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ กลับบ้านได้แล้ว”
“ขอรับท่านพ่อ/เจ้าค่ะท่านอา” เมื่อเอ่ยตอบรับแล้ว เด็กๆ จึงพากันขึ้นมาบนชายฝั่ง พวกเขาทำการประเมินจำนวนปูของแต่ละฝ่าย ปรากฏว่าฝ่ายของซูลี่แพ้เพราะถึงแม้จางอี้หมิงจะได้ปูตัวใหญ่มาหลายตัว แต่เมื่อเอาตะกร้าของทุกคนมาชั่งน้ำหนักรวมกันแล้ว ยังได้น้อยกว่าฝ่ายของชิงชิง
กลุ่มของซูลี่จึงต้องเป็นฝ่ายหิ้วตะกร้าให้กับฝ่ายของซิงซิงเดินกลับบ้านไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อตามที่ตกลงกันไว้ครั้งที่แล้ว ซึ่งพอดีกับที่เดินมาถึงทุ่งหญ้าสายรุ้งที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
จางอี้เทาได้โอกาสแวะเก็บหญ้าสายรุ้งไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ซูลี่มองตามด้วยความสงสัย เหตุใดท่านอาอี้เทาถึงเก็บเจ้าหญ้าพวกนี้กลับบ้านกัน
เมื่อมาส่งสองพี่น้องบ้านซุนแล้ว อี้หมิงจึงหยิบปูตัวใหญ่ส่วนหนึ่งส่งให้กับซูลี่ ในคราแรกเด็กสาวจะไม่รับไว้ แต่พอเจอลูกอ้อนของน้องชายคนใหม่ นางก็ใจละลาย ยอมรับปูแต่โดยดี
“ท่านพ่อ นั่นมิใช่รถม้าของเถ้าแก่หวังหรือขอรับ เหตุใดจึงมาจอดอยู่หน้าบ้านเราได้ในเวลานี้” จางอี้หมิงขมวดคิ้วและถามบิดา เมื่อพวกเขาสองคนพ่อลูกเดินกลับบ้านมาแล้วก็เจอเข้ากับรถม้าคันใหญ่จอดอยู่หน้าบ้านของตนเอง
“นั่นสิ พ่อว่านั่นคือรถม้าของเถ้าแก่หวังนะ เหตุใดถึงมาบ้านเราเวลานี้” จางอี้เทารำพึงกับตนเอง
“อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงกำหนดส่งน้ำตาลผัก เหตุใดพี่ชายอาคุนถึงมาบ้านเราวันนี้ล่ะท่านพ่อ” จางอี้หมิงถึงกับเกาหัวด้วยความสงสัย
“ในที่สุดพวกเจ้าสองคนพ่อลูกก็กลับบ้าน เถ้าแก่หวังมารอพวกเจ้าตั้งหนึ่งชั่วยามแล้ว” คนขับรถม้ารีบกระโดดลงจากที่นั่ง เขาแทบถลามาหาสองพ่อลูกสกุลจางด้วยท่าทางตื่นตกใจและลนลาน
“พี่ชายอาคุน เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ เถ้าแก่หวังฝากข้อความมาให้บ้านจางหรือ” จางอี้หมิงเอ่ยถามเมื่อเห็นอาหารลุกลี้ลุกลนเช่นนั้น
“หมิงเอ๋อร์ อาคุนบอกว่าเถ้าแก่หวังมารอพวกเราอยู่หนึ่งชั่วยามแล้ว ใช่เถ้าแก่หวังเดินทางมาบ้านสกุลจางด้วยตนเองหรือน้องชาย” จางอี้เทาเอ่ยถามคนขับรถม้าบ้าง
“ใช่แล้วพี่อี้เทา ตอนนี้เถ้าแก่หวังนั่งคุยอยู่กับมารดาและภรรยาของพี่ชายอยู่” อาคุนรีบตอบคำถาม
“ท่านพ่อ พวกเรารีบเข้าไปในบ้านเถอะขอรับ จะได้รู้ว่าเพราะเหตุใดเถ้าแก่หวังถึงมาที่บ้านเราวันนี้” อี้หมิงกระตุกแขนเสื้อบิดาพร้อมแสดงความคิดเห็น
จางอี้เทาวางตะกร้าหญ้าสายรุ้งไว้นอกบ้านก่อนที่จะเดินผ่านประตูบ้านซึ่งเปิดไว้อยู่ก่อนแล้วเข้าไป เขาเห็นว่ามารดาและภรรยากำลังนั่งคุยกับเถ้าแก่หวังจริงดังที่อาคุนบอก
“อาเทา หมิงเอ๋อร์เจ้ากลับมาแล้ว” นางหูผู้ซึ่งนั่งหันหน้าออกไปทางประตูบ้านเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าชายต่างอายุสองคนเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา
“ขอรับท่านแม่ เถ้าแก่หวัง วันนี้มิใช่วันกำหนดส่งน้ำตาลผักนี่ เหตุใดท่านถึงมาหาพวกเราถึงที่บ้านในวันเวลานี้เล่าขอรับ”
จางอี้เทาเดินไปนั่งข้างภรรยาส่วนอี้หมิงเดินไปนั่งข้างท่านย่าของตนเอง
“ข้ารู้ว่าวันนี้มิใช่วันกำหนดส่งน้ำตาลผัก แต่เพราะมันมีเหตุเกิดขึ้นน่ะสิข้าถึงรอไม่ได้ รีบมาหาพวกเจ้าในวันเวลานี้” เถ้าแก่หวังตอบคำถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ เถ้าแก่หวังถึงดูเป็นกังวลเช่นนี้” จางอี้หมิงเอ่ยถามบ้าง
“หมิงหมิงน้อย มันเป็นเรื่องของบ้านเจ้าโดยตรง ข้าถึงต้องรีบมาหาเจ้าเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“เป็นเรื่องของบ้านสกุลจางเช่นนั้นหรือขอรับ/เป็นเรื่องของบ้านสกุลจางเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” สมาชิกบ้านจางทั้งสี่คนต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพร้อมเพรียงกัน
จางอี้เทาหน้าเครียดขึ้นมาทันทีไม่ต่างกับคนอื่น ๆ ในบ้าน หากว่ามีเรื่องแบบนี้แล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ท่าทางทั้งเถ้าแก่หวังและอาคุนก็ดูเป็นกังวล ในขณะที่จางอี้หมิงขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นปมอยู่รอมร่อ
อะไรกัน หรือว่าน้ำตาลผักของบ้านจางมีปัญหาเช่นนั้นหรือ
เถ้าแก่หวังไล่สายตามองสมาชิกบ้านสกุลจางทีคนละแล้วก็ได้แต่นึกกังวล จะว่าไปเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับน้ำตาลผักโดยตรง และคนที่จะจัดการได้มีแค่สกุลจางเท่านั้น ชายชราสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงหนักแน่น
“ใช่” เขาว่า “ดูท่าว่างานนี้พวกเจ้าจะเจอปัญหาใหญ่เสียแล้วล่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?