วันเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันจางอี้หมิงยังมิเคยได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย เรื่องการเล่าเรียนเขียนอ่านหนังสือนั้นอย่าได้พูดถึง เด็กน้อยเลือกที่จะละเลยการเรียนเกี่ยวกับกาพย์ โคลง เพลง พิณ และหมาก ทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า สิ่งพวกนี้ขอเรียนหลังจากที่นำพากลุ่มการค้าหลัวถงให้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งสามแคว้นก่อน เขาจึงจะมาสนใจของพวกนี้ในภายหลัง
จางอี้เทาในฐานะที่เป็นบัณฑิต ไม่ชอบการค้าขาย ก็ได้แต่ทำใจในเมื่อบิดาของเขาที่ทำการค้ามิเคยห้ามปรามเขาในการมุ่งเป็นบัณฑิต ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะฝืนใจจางอี้หมิง ขอเพียงบุตรชายมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
“คุณชายน้อยขอรับ มีสารจากเถ้าแก่หวังและท่านเจ้าเมืองขอรับ” อาชี (7) องครักษ์เหลียงไป๋เดินแกมวิ่งเข้ามายังห้องทำงานของจางอี้หมิงก่อนจะยื่นสารให้เจ้านายตัวน้อย ห้องนี้อยู่ในอาคารที่สร้างขึ้นมาใหม่พร้อมกับบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งจะแล้วเสร็จไปไม่นาน
จางอี้หมิงเปิดสารที่เถ้าแก่หวังส่งมาให้ เขาอ่านดูอย่างละเอียดก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ
“ข่าวดีเช่นนั้นหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว เถ้าแก่หวังต้องการเกลือจำนวน10 เกวียนเพื่อส่งไปยังแคว้นหลิน พี่อาชีรบกวนไปแจ้งให้ท่านพี่อาห้าวเตรียมสินค้าด้วย” จางอี้หมิงตอบองครักษ์และสั่งงานต่อ หลังจากนั้นจึงเปิดจดหมายของเจ้าเมืองไห่ถังออกอ่าน แล้วเขาก็ต้องฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“คุณชายน้อยยิ้มกว้างเช่นนี้คงเป็นข่าวดียิ่งกว่าสารจากเถ้าแก่หวังเป็นแน่ ใช่หรือไม่ขอรับ”
“พี่อาชีเดาถูก ท่านเจ้าเมืองส่งสารมาบอกให้เราเตรียมเกลือทั้งหมดเพื่อส่งไปขายให้กับราชสำนักในราคาที่เพิ่มเป็นสองเท่า เพราะเกลือที่ชาวบ้านผลิตขึ้นมานั้นไม่ได้คุณภาพ ท่านเจ้าเมืองบอกว่าฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก ท่านเจ้าเมืองจึงได้นำเกลือตัวอย่างของเราให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรและพระองค์ก็พอพระทัยเป็นที่สุด”
“ราคาเพิ่มเป็นสองเท่า เช่นนี้ทางวังหลวงจะเอาตำลึงที่ไหนมาจ่ายมากมายเพียงนั้นขอรับ” อาชีเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากราชสำนักจ่ายค่าเกลือให้กับชาวบ้านไปแล้วรอบหนึ่ง หากต้องมาจ่ายให้กับเถ้าแก่หวังในราคาสองเท่า คาดว่าท้องพระคลังคงจะเหลือไม่ถึงครึ่งเสียแล้ว
“ให้พี่อาชีเดาขอรับ”
“โธ่ คุณชายน้อย ข้าเดาไม่ถูกหรอกขอรับ” อาชีได้แค่โอดโอยที่จางอี้หมิงแกล้งตนเองเช่นนี้
“ฮ่องเต้ก็ให้ทางราชสำนักที่รับผิดชอบการซื้อเกลือจากชาวบ้านที่ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อนรับผิดชอบน่ะสิขอรับ ไม่รู้ว่าจะต้องควักเนื้อไปมากน้อยเพียงไหน สมควรนำเงินที่โกงกินมาหลายชั่วอายุคนกลับคืนให้แผ่นดินเสียบ้างก็ดีไม่น้อย” จางอี้หมิงเล่าด้วยความชอบใจ จะโทษเขาก็ไม่ได้นะ เขาไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้ทางราชสำนักต้องซื้อของเขาเสียหน่อย
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่องเต้แคว้นฉินช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไม่ยอมควักเนื้อแต่กลับหาแพะมาตายแทน” อาชีถึงกับหัวเราะเสียงดัง เขาชอบใจนักในการตัดสินใจของฮ่องเต้ฉินหลง
“พี่อาชีอย่าลืมไปแจ้งท่านปู่ถงให้ทราบด้วยนะขอรับ เมื่อถึงเวลาที่เถ้าแก่หวังมารับสินค้าจะได้ไม่มีปัญหา”
“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะทำตามทันที คุณชายน้อยมีอันใดจะทำในตอนบ่ายนี้หรือไม่ขอรับ” อาชีรับคำและเอ่ยถามขึ้น
“มีสิพี่อาชี เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ข้าได้นัดหมายกับท่านพ่อท่านแม่ไว้แล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนนะขอรับ”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยขอตัวเพื่อไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมาให้เรียบร้อย เขามิลืมแจ้งเรื่องกับอาซานให้มาติดตามคุณชายน้อยในระหว่างที่เขาไม่อยู่ด้วย
อาชีและอาซานเป็นองครักษ์ที่ติดตามรับใช้จางอี้หมิงตั้งแต่กลับมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ทั้งสองคนต้องอยู่ข้างกายคุณชายน้อยตลอดเวลา หากว่าคนใดคนหนึ่งมิอยู่ก็ต้องแจ้งให้อีกคนมาประจำการแทนเพื่อความปลอดภัยของเด็กน้อยผู้มีฐานะเป็นถึงบุตรบุญธรรมของหนิงอ๋องแห่งแค้วนเหลียง
ในส่วนขององครักษ์เงานั้นก็สมชื่อ พวกเขามิปรากฎกายให้เห็นเลยหากว่าไม่มีเหตุจำเป็น
เมื่อถึงเวลาตามที่จางอี้หมิงได้นัดหมายกับบิดามารดาและท่านย่า เขาจึงออกจากอาคารสำนักงานหลัวถงกลับไปยังบ้านของตนเอง ที่นั่นทุกคนได้เตรียมตัวพร้อมกันอยู่แล้ว เมื่อมากันพร้อมหน้าแล้ว ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังบ้านหัวหน้าหมู่บ้านซุนถงเพื่อทำเรื่องสำคัญที่สมควรทำมาตั้งนานแล้ว แต่ก็จนใจเพราะยุ่งทั้งเรื่องการค้าและความเจ็บป่วยของจางอี้หมิงเอง
“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ พี่สะใภ้เจียวเม่ย ข้าจางอี้เทาและครอบครัว มาในวันนี้เพื่อต้องการทำการคารวะขอโทษต่อสิ่งที่จางอี้หมิง บุตรชายของข้าได้ประมาททำสิ่งที่ผิดพลาดจนเกือบทำให้เด็กน้อยบ้านซุนเกิดอันตราย
เพราะจนใจที่หมิงเอ๋อร์บาดเจ็บกว่าจะรักษาหายก็กินเวลามาเป็นเดือนและยังมีเรื่องของการทำการค้าอีก วันนี้ข้าและครอบครัวจึงอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเราบ้านจางจึงได้มาขอทำพิธีขอโทษอย่างเป็นทางการอีกครั้งขอรับ”
จางอี้เทาเป็นตัวแทนบ้านจางเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนเข้ามานั่งในเรือนของหัวหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว
“อาเทา พวกเราบ้านซุนมิได้ติดใจอันใดแล้ว เรื่องก็ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ” ซุนถงเอ่ย
“มิได้หรอกขอรับท่านลุงถง จางอี้หมิงสมควรได้เรียนรู้ว่าความซนของตนอาจจะนำภัยมาสู่ทั้งตนเองและคนใกล้ชิด หมิงเอ๋อร์มาทำการคารวะขออภัยบ้านซุนเสีย” จางอี้เทามิยินยอมพลางสั่งให้บุตรชายทำการขอโทษด้วยตนเองอีกครั้ง
“ข้าจางอี้หมิง ขออภัยที่ทำให้พี่ซุนลี่กับพี่หมิงเย่ต้องประสบกับอันตรายขอรับ ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้ ขอท่านพี่ทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนโค้งทำการขอโทษอย่างเต็มพิธีการ จนซุนถงถึงกับต้องรีบมารับการคารวะโดยพลัน หากเทียบระดับชั้นกันแล้ว จางอี้หมิงมิจำเป็นต้องทำก็ได้ พวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ไหนเลยจะอาจหาญเทียบชั้นกับเชื้อพระวงศ์ได้
“ได้ ๆ บ้านซุนรับการขอโทษแล้ว” ซุนถงรีบเอ่ยออกไป จางอี้หมิงจึงกลับไปนั่งที่เดิม
“เมื่อเสร็จสิ้นการขอโทษแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องที่บ้านจางได้ปรึกษาหารือกันมาแล้วเรียบร้อย ทางบ้านจางอยากจะรับลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรมของข้ากับภรรยา มิทราบว่าทางบ้านซุนมีความเห็นเช่นไรบ้าง
เรื่องนี้เป็นความต้องการของหมิงเอ๋อร์ อย่างที่พวกท่านรู้ว่าพวกเรากำลังขยายกลุ่มการค้าให้ใหญ่ขึ้น บุตรชายข้าต้องการพี่น้องที่จะสามารถช่วยดูแลกิจการในอนาคตได้อย่างทั่วถึง หากเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบใหญ่หากลี่เอ๋อร์แต่งงานออกไป ครอบครัวสามีต้องดูให้ดีว่าดูแลลี่เอ๋อร์ได้หรือไม่ เย่เอ๋อร์เองก็สามารถเป็นคุณชายน้อยได้อย่างสง่างาม การจะหาภรรยาที่เพียบพร้อมก็มิใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แต่ท่านพี่เย่กับพี่สะใภ้มิต้องกังวลไป ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ยังเป็นบุตรของพวกท่านมิเปลี่ยนแปลง เพียงแต่พวกเขาอาจจะต้องได้เข้าไปศึกษาในเมืองหลวง เรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ต่าง ๆ รวมทั้งต้องเรียนรู้เรื่องการค้าขายด้วย
ข้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จึงได้มาปรึกษาครอบครัวซุนก่อน พวกท่านคิดเห็นเช่นไรยังมิต้องให้คำตอบในวันนี้ หากปฏิเสธข้าก็มิได้โกรธเคือง ความสัมพันธ์ของเราสองครอบครัวยังคงเหมือนเดิมขอรับ” จางอี้เทาอธิบายยืดยาวทีเดียวเพื่อให้ครอบครัวซุนได้เข้าใจถึงจุดประสงค์ในการมาเจรจาในครั้งนี้
“ข้าในฐานะปู่ของลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ ต้องขอขอบคุณบ้านจางที่เมตตาพวกเขาทั้งสองคน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ดั่งที่เจ้าว่า เช่นไรพวกข้าบ้านซุนขอปรึกษากันก่อน อีกสามวันข้าจะไปให้คำตอบที่บ้านของเจ้า” ซุนถงเอ่ยให้คำตอบบ้านจางในฐานะผู้นำตระกูลซุน ซึ่งก็เป็นไปตามที่บ้านจางคาดการณ์ไว้ หากมีใครมาขอจางอี้หมิงเป็นบุตรบุญธรรม พวกเขาก็ต้องคิดมากเป็นเรื่องปกติ
หลังจากจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว บ้านจางจึงขอตัวกลับ บ้านซุนจึงได้ปรึกษาหารือกันถึงความต้องการของเด็กทั้งสองคน รวมถึงผลดีผลเสียด้วย คำตอบจะเป็นเช่นไรคงต้องรอในอีกสามวัน
เมื่อใกล้ครบกำหนดสามเดือนตามที่แคว้นจ้าวให้เวลามา ทางราชสำนักแคว้นฉินรีบประกาศหาเกลือที่มีคุณภาพ ท่านเจ้าเมืองจึงให้เถ้าแก่หวังนำเกลือจากกลุ่มการค้าหลัวถงไปส่งให้กับราชสำนักและได้รับเงินมาเป็นจำนวนมหาศาล จนชาวบ้านหลัวถงถึงกับจัดงานฉลองความร่ำรวยเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้ามิคิดมิฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่หมู่บ้านหลัวถงของพวกเราร่ำรวยขึ้นมา มิต้องกังวลว่าวันนี้จะกินอะไร หรือ จะมีเงินซื้ออาหารกินหรือไม่ ข้าดีใจจริง ๆ หรือว่าข้ากำลังฝันไปเช่นนั้นหรอกหรือ” ชายคนหนึ่งเอ่ยในวงสนทนาก่อนที่ชายหนุ่มข้างตัวของเขาจะร้องออกมาเสียงหลง
“อาเถา เจ้าหยิกข้าด้วยเหตุอันใด” ชายคนเดิมถามเพื่อนร่วมวงสนทนา
“ข้าก็กำลังพิสูจน์เจ้าอยู่เช่นไร แต่เจ้าร้องเสียงดังเพียงนี้ มันคงมิใช่ความฝันเป็นแน่” เมื่ออาเถาเอ่ยจบก็ปรากฏเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งวงสนทนานั้น
“จำเอาไว้เลยนะอาเถา อย่าให้ถึงคราวข้าบ้างนะ” ชายคนเดิมกล่าวคาดโทษเพื่อนพลางลูบแขนตนเองป้อย ๆ หวังให้ความเจ็บทุเลาลง
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าก็อย่าเถียงกันเลย วันนี้มีแต่เรื่องที่ดี พวกเจ้าจงจำไว้ว่าพวกเราลืมตาอ้าปากได้ในวันนี้เพราะความสามารถของบ้านจางทั้งนั้น
ต่อไปหากต้องการอยู่อย่างสุขสบายบ้านจางบอกอันใดก็ขอเพียงทำตามเท่านั้น เช่นนี้เศรษฐีในอนาคตก็ไม่ไปไหนแล้ว”
ซุนถงเอ่ยเตือนและให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงในบุญคุณบ้านจาง เขาอยากให้ชาวบ้านสำนึกอยู่เสมอ ความกตัญญูเป็นสิ่งที่พวกเราเหล่าชาวบ้านหลัวถงควรมีไม่ขาด
“ถึงท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่บอก พวกข้าก็พร้อมจะยอมทำตามอยู่แล้วขอรับ ตั้งแต่บ้านจางเข้ามาอาศัยอยู่ ในหมู่บ้านก็มีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น ใช่หรือไม่พวกเรา” อาเถาพูดขึ้นพลางเอ่ยถามเหล่าพวกพ้อง
“ใช่แล้ว”
“ใช่แล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าบ้านจางรับเด็กบ้านซุนเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนั้นหรือขอรับท่านหัวหน้า”
“ใช่แล้ว เด็ก ๆ เพิ่งทำพิธีกราบไหว้ไปเมื่อสามวันก่อน” ซุนถงพยักหน้ารับเบาๆและเอ่ยตอบ
“เป็นวาสนาของเด็กบ้านซุน ที่บ้านจางเมตตาเอ็นดูนัก”
“ใช่ เป็นวาสนาของหลานข้ายิ่ง พวกเจ้ามิไปเต้นรำกันหรือ โน่น พวกเจ้าดูสิมีแต่คนออกไปเต้นรำกันทั้งนั้น พวกเจ้ามิสนใจเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามพวกชาวบ้านที่นั่งตั้งวงร่วมดื่มสุราด้วยกัน
“ไม่ล่ะท่านหัวหน้า ปล่อยให้หนุ่มสาวได้สนุกสนานกันเถอะ พวกข้าแก่แล้ว ขอร่ำสุรา ฟังดนตรี สนทนากับเจ้าขี้เมาพวกนี้ก็มีความสุขแล้ว”
“เจ้านี้ช่างมักน้อยนะอาเถา” มีคนบางคนเอ่ยล้อเลียนอาเถา ทำให้วงสนทนาเต็มไปด้วยความรื่นเริง
เมื่อมองผ่านไปทางกองไฟก็มีหนุ่มสาวและเด็ก ๆ รวมทั้งจางอี้หมิง ซุนซูลี่ ซุนหมิงเย่ และ ชิงชิง สหายที่ไปร่วมจับปูจับหอยด้วยกันเต้นรำด้วยความสนุกสนาน บรรยากาศช่างเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม
จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ เขาได้แต่เก็บภาพความทรงจำนี้ไว้ พลางหวนนึกไปถึงพี่น้องบ้านอุ่นไอรัก มิรู้ว่าพวกเขาจะเป็นเช่นไรบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรพี่ชายคนนี้ขอให้น้อง ๆ จงมีความสุขเสมอนะ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?