ตอนที่ 52 จุดจบของหลวนซาน

วันเวลาผ่านไปหลังจากคลี่คลายปัญหาได้ไม่นาน นายช่างเหอก็เร่งมือสร้างบ้านของอาจารย์เทียนอี้และสองพี่น้องสกุลหมิงเสร็จตามกำหนดเวลา หมิงจูและหมิงจินเข้ามาอาศัยที่บ้านใหม่หลังนี้แล้ว พวกเขาคอยดูแลเรื่องการใช้รถม้าและจิปาถะ ครอบครัวจางจึงเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนครบทุกมื้อ

บ้านหลักของครอบครัวจางเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ในขณะที่บ้านซุนต่างเร่งมือทำหัวเชื้อน้ำตาลผักออกมาให้ได้ตามกำหนดส่งให้ หนิงอ๋องภายในสองเดือน เนื่องจากสกุลซุนมีคนทำงานหลักถึงสามคน ทำให้คาดว่าจะสามารถส่งหัวเชื้อน้ำตาลผักได้ก่อนกำหนด

ทุกสามถึงสี่วัน หลี่อ้ายจะนั่งตรวจคุณภาพของเกลือผักก่อนที่จะบรรจุลงไห ชาวบ้านทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจกันผลิตเกลือผักออกมาได้ตามกำลังของแต่ละครอบครัว พวกเขานำมาขายให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงที่มีจางอี้เทาเป็นคนจัดการทุกอย่าง เนื่องจากบัณฑิตหนุ่มว่าง ไม่ต้องทำอันใด

หลี่อ้ายปักผ้าได้หลายผืนแล้ว ในการประชุมกันของกลุ่มการค้าหลัวถงคราวก่อนตกลงกันว่าหลังจากทำเกลือผักส่งท่านอ๋องแล้ว หลี่อ้ายจะสอนเหล่าฮูหยินทั้งหลายปักผ้า เนื่องจากยังมีเวลาเดือนกว่าก่อนที่จะถึงฤดูหนาว ในช่วงเหมันต์อากาศเย็นมาก ไม่สามารถทำอันใดได้อยู่แล้ว ทว่ายังปักผ้าได้ เมื่อขึ้นปีใหม่ ทุกอย่างดีขึ้น ชาวบ้านก็จะมีรายได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับจางอี้หมิง เด็กน้อยเป็นคนเดียวที่ว่างงานมากที่สุด ดังนั้นจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับซุนลี่กับหมิงเย่ อย่างเช่นในวันนี้

“หมิงหมิงน้อย ข้าบอกแล้วเช่นไรว่าห้ามวิ่ง เหตุใดถึงได้ดื้อดึงเช่นนี้” ซุนซูลี่ตะโกนบอกน้องชายต่างสกุลให้หยุดวิ่ง เนื่องจากวันนี้เด็กน้อยทั้งสามคนเบื่อการไปจับปูแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะเดินลัดชายหาดที่มีแต่โขดหินและกรวดเพื่อไปยังท่าเรือของหมู่บ้าน จางอี้หมิงเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าท่าเรือของชาวบ้านอยู่อีกฟากหนึ่งของชายหาด

เด็กน้อยคิดจะไปดูที่ท่าเรือของชาวประมงว่ามีอันใดที่น่าสนใจหรือไม่ และด้วยความที่อยากไปถึงเร็ว ๆ จางอี้หมิงจึงวิ่งแทนที่จะเดินไปตามปกติ

“โอ้ย! เจ็บ” จางอี้หมิงร้องออกมาเมื่อล้มลงไปบนกรวดหินตรงชายฝั่ง

“หมิงหมิงน้อย เจ้าเป็นอันใดบ้าง” ซุนหมิงเย่มาถึงร่างเด็กชายก่อนเป็นคนแรก เขานั่งยอง ๆ ข้างน้องชายตัวน้อยพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“พี่หมิงเย่ ข้าเจ็บ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้า

“เจ้าเจ็บตรงไหน” ซุนซูลี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินมาถึงเป็นคนสุดท้ายพลางนั่งลงตรงหน้าเด็กชาย

“ตรงนี้ขอรับพี่ซูลี่” จางอี้หมิงชี้มือตรงไปยังหัวเข่าของตนเอง

ซุนซูลี่เลิกขากางเกงของน้องชายขึ้น ทำให้เห็นว่าหัวเข่าของอี้ หมิงมีแผลถลอกและมีเลือดสีแดงสดซึมออกมา

“หมิงหมิงน้อย เพราะเจ้าดื้อไม่ฟังพี่สาวคนนี้ เห็นแล้วใช่หรือไม่ นี่ถ้าท่านอาอี้เทาเห็น เจ้าจะโดนดุมากกว่านี้อีก” ซุนซูลี่เอ่ยสั่งสอน

“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ อย่าบอกท่านพ่อนะขอรับ หากท่านพ่อรู้ว่าข้าดื้อ คงไม่ได้ออกมาเล่นอีกเป็นแน่ ข้าสัญญา สัญญาจริง ๆ นะพี่ซูลี่ พี่หมิงเย่” จางอี้หมิงเอ่ยออดอ้อน

ขืนซูลี่ไปบอกบิดาของเขาขึ้นมา มีหวังโดนสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ออกมาเที่ยวเล่นแน่

“แล้วนี่พื้นหินก็เรียบ เหตุใดถึงได้ล้มไปได้” ซุนซูลี่มองไปรอบ ๆ ตัวของจางอี้หมิงและเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“นั่นสิพี่ซูลี่ ข้าก็สงสัยเช่นกัน” หมิงเย่เห็นด้วย

จางอี้หมิงหันมองไปรอบ ๆ ว่ามีสิ่งใดที่ทำให้เขาสะดุดล้มลง ก่อนที่จะตาโตเมื่อมองไปเห็นก้อนหินที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก แล้วลืมตัวลุกขึ้นไปจ้องมองใกล้ ๆ จนลืมไปว่าตนเองกำลังอ้อนพี่ ๆ ว่าเจ็บอยู่

“หมิงหมิงน้อย เจ้าเป็นอันใด” ซุนหมิงเย่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปนั่งลงตรงข้าง ๆ น้องชาย ซุนซูลี่เองก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ ด้วย กลายเป็นว่าเด็กสามคนกำลังนั่งมองดูหินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกลางอย่างงงงวย 

หมิงหมิงน้อยให้พวกเรามองดูอันใดกัน มันก็เพียงก้อนหินเท่านั้นมิใช่หรือ 

สองพี่น้องสกุลซุนได้แต่คิดในใจ ยิ่งท่าทางตาโตดีอกดีใจของจางอี้หมิงก็ยิ่งทำให้งงเป็นไก่ตาแตก ก้อนหินก้อนนี้มันมีดีอะไร

“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ไม่เห็นหอยที่ติดอยู่ในก้อนหินนี้หรือขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้น ชี้มือไปที่หอยตัวใหญ่ที่หากมองไม่ดีก็จะเห็นเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของก้อนหิน เขาเอ่ยถามสองพี่น้องทันทีด้วยความตื่นเต้น

“ก็แค่หอยหิน มีอันใดให้น่าตื่นเต้น” ซุนซูลี่ตอบแบบมึนงง นางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“หอยหินหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทวนคำตอบ 

นี่ไม่ใช่หอยนางรมหรอกหรือ เหตุใดคนที่นี่ถึงเรียกว่าหอยหิน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่แปลกใจเท่าไร เพราะต้นชะครามยังเป็นหญ้าสายรุ้งได้เลย

“ใช่ หอยหิน ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้น เพราะมันเหมือนหินที่อยู่ตามชายหาดทั่วไป ไม่มีประโยชน์ เปลือกก็แข็ง แกะออกก็ยาก เอาไปทำอันใดกินก็ไม่ได้ ชาวบ้านจึงไม่ได้สนใจมัน แต่ทำไมหมิงหมิงน้อยถึงทำท่าทางดีใจถึงเพียงนั้นเล่า” ซุนซูลี่อธิบายและถามไปพร้อมกัน

“พี่ซูลี่ มันกินได้ขอรับ มันอาจจะแกะยากหน่อย แต่เนื้อหอยข้างในอร่อยมาก เอามาทำเครื่องปรุงยิ่งอร่อยขอรับ” จางอี้หมิงบอกพร้อมดวงตาทอประกาย

ซุนซูลี่และซุนหมิงเย่มองหน้ากัน เชื่อเถอะว่าตอนนี้ราวกับมีคำพูดมากมายผ่านออกมาทางสายตา ตีความออกมาได้ว่า

‘เจ้าเห็นมันเป็นอย่างอื่นหรือไม่’

‘ไม่’

สองพี่น้องสกุลซุนกระพริบตาปริบ ๆ พวกเขาหันกลับมามองเด็กชายตรงหน้าที่ทำตาใสซื่อแล้วก็ใจอ่อนยวบ สุดท้ายก็ยินยอมไปตามเรื่อง

“หมิงหมิงน้อยอยากได้เยอะ ๆ ไหม หอยหินนี่นะ” หมิงเย่เอ่ยถามขึ้น

“พี่หมิงเย่รู้หรือขอรับว่าจะหาหอยหินเยอะ ๆ ได้ที่ไหน”

“ก็ชายหาดที่อยู่ตรงท่าเรือที่พวกเรากำลังจะไปนั่นไง มีเยอะแยะมากมาย มากพอ ๆ กับหินบนหาดนั่นแหละ” ซุนหมิงเย่ตอบ

“เช่นนั้นหรือขอรับ งั้นไปกัน พี่ซูเย่ พวกเราไปกัน” จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นก็ขนลุกซู่ รีบลุกขึ้นก่อนจะเดินไปตามทางที่ซูหมิงเย่บอก

“หมิงหมิงน้อย เจ้าจะไปไหน เจ้าไปไม่ได้นะ” ซุนซูลี่เอ่ยห้ามอย่างรวดเร็ว

“พี่ซูลี่ เหตุใดข้าถึงไปไม่ได้” อี้หมิงหันมาถามด้วยความสงสัย

“เจ้าลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือ หัวเข่าเจ้าเลือดออก พวกเราต้องกลับบ้านไปทำแผลก่อน หอยหินอะไรนั่นค่อยมาดูวันหลัง ท่าเรือไม่หายไปไหน แต่ถ้าเจ้าไม่กลับบ้านทันที เจ้าจะไม่ได้ออกมาเล่นอีก ไหนเจ้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังพี่สาว” ซุนซูลี่เอ่ยอธิบาย

จางอี้หมิงถึงกับเถียงไม่ออก เขาจำใจต้องทำตามที่พี่สาวบอก เขาพยักหน้ายอมให้ซูลี่พากลับบ้าน ซุนหมิงเย่เดินมาช่วยพี่สาวพยุงน้องชายอีกคน

เด็กน้อยทั้งสามคนเดินมายังไม่ทันถึงที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านพวกเขาก็ได้ยินเสียงอื้ออึง เสียงคนถกเถียงกันใหญ่โต มีชาวบ้านของหมู่บ้านหลัวถงรวมทั้งคนกลุ่มหนึ่งที่จางอี้หมิงไม่คิดว่าเป็นชาวบ้านหลัวถงรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย การแต่งกายของพวกเขาดีกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน ดังนั้นจึงต้องเป็นคนนอกอย่างแน่นอน

ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแต่งชุดมือปราบ ถือดาบเล่มใหญ่ ยืนอยู่สี่คน และมีอีกหนึ่งคนที่แต่งชุดคล้ายกันเพียงแต่แตกต่างกันเล็กน้อย

“พี่ซุนลี่ เกิดอะไรขึ้นขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยถามพี่สาวคนสวยด้วยความสงสัย

“หมิงหมิงน้อย ข้ากับเจ้าเดินมาพร้อมกัน เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใครกันเล่า อาเย่หรือเจ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่” ซุนซูลี่ว่าก่อนจะหันไปถามน้องชายตนเอง

ซุนหมิงเย่ได้แต่ส่ายหน้าพลางคิดในใจ 

พวกท่านแก่กว่าข้า ฉลาดกว่าข้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ไหม

“มันหาใช่ความผิดของข้า สินค้ามีตำหนิเช่นนี้ กลุ่มการค้าหลัวถงต้องรับผิดชอบ” ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวดูดีแต่ก็ไม่ถึงกับสวมใส่เสื้อผ้ามีราคาแพงเอ่ยเสียงดัง

“น้องชาย เจ้าคงกล่าวหาผิดคนแล้ว กลุ่มการค้าหลัวถงยังไม่มีสินค้าออกมาขาย เหตุใดต้องรับผิดชอบ” ซุนซูเย่เอ่ยถามขึ้น

“เหตุใดจะไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า เกลือผักที่ขายให้กับพวกข้า เพียงไม่กี่วันก็ขมเสียแล้ว ทั้งยังกลิ่นที่แปลกไปกว่าเดิมมาก พวกข้าไม่ยอม กลุ่มการค้าหลัวถงต้องรับผิดชอบและจ่ายเงินชดเชยให้พวกข้าด้วย” ชายคนดังกล่าวยังกล่าวหาไม่หยุด

“น้องชาย ข้าได้แจ้งพวกเจ้าไปแล้วว่ากลุ่มการค้าหลัวถงทำเกลือผักจริง แต่เรามิได้ขายให้กับพวกเจ้า พวกเราขายให้กับกองกำลังเหลียงอันเพียงที่เดียว แล้วพวกเจ้าไปเอาเกลือผักมาจากที่ไหนกัน” ซุนถงเอ่ยถามขึ้นด้วยความใจเย็น

“เหอะ พวกเจ้าเห็นว่าทำการค้ากับกองกำลังเหลียงอันแล้วจะรังแกพวกข้าเช่นไรก็ได้เช่นนั้นหรือ ในฐานะที่เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเช่นนั้นให้เจ้าหน้าที่มือปราบจับกุมตัวไปลงโทษที่ว่าการในเมืองก็แล้วกัน” ชายคนนั้นหันไปยกมือคารวะชายอีกคนคล้ายกำลังขอความช่วยเหลือให้ทำตามที่ร้องขอ

เด็กทั้งสามคนเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาหากลุ่มผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกันอยู่ด้วยความตึงเครียด ประจวบเหมาะกับจางอี้เทาและหลี่อ้ายเดินมาถึงบ้านหัวหน้าหมู่บ้านพอดี สองคนพ่อลูกจึงได้สบตากันและเดินไปที่หัวหน้าหมู่บ้านพร้อมกัน

“เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ” เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยถาม

“ข้าเป็นตัวแทนของผู้เสียหายที่ซื้อเกลือผักจากหมู่บ้านของพวกเจ้า ในคราวแรกสินค้าก็ดีอยู่ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เกลือผักของเจ้าถึงได้ขมเช่นนี้ และยังมีกลิ่นเหม็นอีกด้วย พวกข้าจึงต้องการเอาสินค้ามาคืนและขอเงินคืนด้วย หากไม่ยินยอม พวกข้าจะแจ้งให้ท่านมือปราบจับกุมพวกเจ้าไปขังให้หมด” ชายคนเดิมที่คาดว่าเป็นตัวแทนกลุ่มเอ่ยขึ้น

“ช้าก่อนพี่ชาย อย่าเพิ่งใจร้อนหรือวู่วาม ข้าในฐานะผู้ที่รวบรวมชาวบ้านตั้งกลุ่มการค้าหลัวถงขึ้นมาขอสอบถามข้อเท็จจริงสักครู่” จางอี้เทาเอ่ยค้านชายคนนั้นไว้ 

วันนี้เขาเดินดูการก่อสร้างบ้านตามปกติก่อนที่จะมีคนมาแจ้งเรื่องมีคนมากล่าวหาอยู่ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน จึงได้รีบเดินทางมาที่นี่ก่อนจะเห็นบุตรชายเดินเข้ามาด้วยกัน

“นี่มิใช่จางอี้เทา บุตรชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่แห่งเหลาอาหารซิ่งฝูเช่นนั้นหรือ” หัวหน้ามือปราบฉีหมิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเขาได้เห็นหน้าผู้ที่เป็นตัวแทนชาวบ้านอย่างชัดเจน

“ท่านหัวหน้ามือปราบ เป็นข้าเองขอรับ” จางอี้เทายกมือคารวะ

“คารวะท่านลุงฉีหมิงขอรับ” จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยทักทายบ้าง

“ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านนี้เองหรอกหรือ” ฉี หมิงถามต่อ

“ขอรับ” สองพ่อลูกบ้านจางขานรับ

“ข้าได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านกลุ่มนี้ว่ากลุ่มการค้าหลัวถงคดโกงและขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพให้พวกเขา ข้าจึงต้องตามมาถึงที่นี่” หัวหน้ามือปราบอธิบาย

“เรียนท่านหัวหน้า คงมีเรื่องเข้าใจผิดกันเป็นแน่ขอรับ ขอข้าสืบสาวราวเรื่องสักครู่นะขอรับ” จางอี้เทาตอบฉีหมิงแล้วจึงได้เชิญทุกคนเข้าไปนั่งตรงลานประชุม

“พี่ชายท่านนี้กล่าวหากลุ่มการค้าหลัวถงว่าขายเกลือผักไม่มีคุณภาพให้ เช่นนั้นพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกท่านซื้อเกลือผักมาจากผู้ใด” จางอี้เทาเอ่ยถามหัวหน้าตัวแทนคนนั้น

“ข้าซื้อมาจากชายคนหนึ่งในเมืองที่มาเร่ขายเกลือผัก ข้าชิมแล้วเห็นว่าราคาถูกกว่าเกลือมากนัก รสชาติยังดีอีกด้วยจึงได้ตัดสินใจซื้อเป็นจำนวนมาก แต่ไม่นึกว่านานไปแล้วเกลือจะมีรสขม ใช้ปรุงอาหารไม่ได้” ชายตัวแทนกลุ่มเล่า

 “ส่วนข้าเอาไปหมักเนื้อ ปรากฏว่าเนื้อที่ใช้เกลือผักหมักกลับเน่าเสียทั้งหมด เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเสียเนื้อไปจำนวนเท่าไร ข้าเสียไปถึงห้าสิบจิน! ข้าต้องเสียค่าปรับให้กับเหลาอาหารไปถึงสองเท่าที่ไม่สามารถส่งเนื้อให้ได้” ชายร้านขายเนื้อเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ

“ข้าด้วย”

“ข้าด้วย”

อีกหลายคนเริ่มบอกเล่าเรื่องราวความเสียหายที่ตนเองได้รับจนเสียงดังปนเปกันไปหมด ทั้งรสชาติที่เสียไป ทั้งอาหารที่เน่าเสีย รวมทั้งคุณภาพที่ย่ำแย่จนไม่สามารถนำไปทำอะไรได้

 เมื่อได้รับฟังทั้งหมดแล้ว จางอี้หมิงถึงกับกระตุกชายแขนเสื้อของบิดาลงมากระซิบเพียงให้ได้ยินกันสองคน

“ต้องเป็นพี่หลวนซานแน่ขอรับท่านพ่อ อีกอย่างข้ามองไม่เห็นท่านพี่หลวนซานอยู่ที่นี่ขอรับ” จางอี้หมิงแสดงความคิดเห็นให้บิดาได้รับฟัง

“พ่อก็คิดเช่นนั้น” จางอี้เทาหันมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นหลวนซานดังเช่นบุตรชายว่า

“พวกท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าชายคนนั้นยืนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถาม

เหล่าผู้ที่เสียหายต่างมองไปยังกลุ่มชาวบ้านจนทั่วแต่ก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“หรือจะเป็นหลวนซาน” ซุนถงเห็นผู้เสียหายส่ายหน้าจึงออกความเห็นขึ้นมา

“ข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นหลวนซาน แต่ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ก็คงให้ผู้เสียหายยืนยันไม่ได้” จางอี้เทาเอ่ย

“ไม่เป็นไร พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ซุนซูเย่เอ่ยขึ้นและหันไปบอกความสองสามคำกับชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ใกล้ตนเอง พวกเขาพยักหน้าและเดินตามซุนซูเย่ออกไป

รอไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซุนซูเย่ก็เดินนำชาวบ้านสองสามคนที่เดินหิ้วปีกหลวนซานเข้ามากลางลานประชุม ก่อนที่จะผลักตัวปัญหาเข้าไปด้านหน้าของกลุ่มผู้เสียหาย

“เจ้า คนนี้แหละที่ข้าซื้อเกลือผักด้วย” ชายหัวหน้ากลุ่มผู้เสียหายชี้หน้าหลวนซานและกล่าวออกมา

“ใช่ คนนี้แหละ”

“คนนี้แหละ”

อีกหลายเสียงเริ่มกล่าวยืนยันถึงผู้ที่ตนซื้อเกลือผักด้วย เมื่อพิจารณาแล้วจึงทราบว่าทุกคนซื้อมาจากชายคนเดียวกันทั้งหมดนั่นก็คือหลวนซาน

“พวกเจ้าพูดถึงเรื่องอันใดกัน ข้าอยู่ที่บ้านของข้าดี ๆ ข้าไม่ได้รู้จักพวกเจ้าแม้แต่คนเดียว” หลวนซานเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าของตนเอง

“เจ้าไม่รู้จักพวกข้าเช่นนั้นหรือ และยังปฏิเสธไม่รู้จักด้วย แล้วเหตุใดพวกข้าถึงชี้ตัวเจ้าได้ถูกต้องเล่า” ชายหัวหน้ากลุ่มกล่าวขึ้นอย่างไม่ยินยอม

“ข้าไม่มีวันลืมหน้าคนที่ทำให้ข้าต้องสูญเสียเงินไปอีกเท่าตัวเป็นแน่” ชายร้านขายเนื้อกล่าวเสริมขึ้นมาก่อนที่จะปรี่เข้าไปทุบตีหลวนซาน เดือดร้อนถึงเจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งต้องรีบเข้าไปดึงร่างเจ้าของร้านขายเนื้อไว้

“อย่าได้ก่อเรื่อง” ฉีหมิงเอ่ยเสียงเข้ม

“ชายคนนี้คือชาวบ้านของหมู่บ้านท่าน คราวนี้พวกท่านจะมาว่าข้ากล่าวหาไม่ได้แล้ว ข้าต้องการเพียงเงินค่าสินค้าคืน แล้วข้าจะไม่เอาเรื่อง” ชายหัวหน้ากลุ่มผู้เสียหายยื่นคำขาด

“อาซาน คืนเงินให้พวกเขาไปเสีย เจ้าจะได้ไม่ต้องติดคุก” ซุนถงเอ่ย

“ข้าไม่ได้ทำ เหตุใดข้าต้องคืนเงินให้พวกเจ้าด้วย” หลวนซานยังดื้อดึงไม่รับผิด

“อาซาน หลักฐานมัดตัวเจ้าแน่นหนาเช่นนี้ เหตุใดยังดื้อดึง ข้าถามชาวบ้านทุกครัวเรือนแล้ว ไม่มีใครขายเกลือผักให้กับคนอื่นแม้แต่คนเดียว พวกเขาเอามาขายให้กลุ่มการค้าหลัวถงทั้งหมด ข้าก็นำส่งเถ้าแก่หวังไปหมดทุกครั้ง เถ้าแก่หวังคงไม่ตัดช่องทางทำมาหากินของตนเอง ด้วยการเอาสินค้าของกองกำลังเหลียงอันมาขายราคาถูกให้ชาวบ้านเช่นพวกเขาเป็นแน่ รีบคืนเงินให้พวกเขาไป” ซุนถงเอ่ยเตือนลูกบ้านเจ้าปัญหา

“ใช่ ขอเพียงคืนเงินให้พวกข้ามาเท่านั้น พวกข้าก็จะไม่เอาเรื่อง พวกข้าก็เข้าใจคนทำมาหากินเหมือนกัน” ชายหัวหน้าคนเดิมบอก

“แต่ข้าต้องการค่าปรับที่ต้องจ่ายให้เหลาอาหารไปด้วย” ชายร้านขายเนื้อไม่ยินยอมรับเพียงแค่ค่าสินค้า เขาต้องการค่าปรับด้วย

“ค่าปรับ ค่าปรับอันใด” หลวนซานเอ่ยถามชายร้านขายเนื้อด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาไม่ยอมเสียค่าปรับพวกนั้นแน่

“ข้าเอาเกลือผักไปหมักเนื้อจนมันเน่าเสีย ส่งเนื้อให้เหลาอาหารไม่ได้ เหลาอาหารปรับค่าเนื้อร้านข้ามาสองเท่า ดังนั้นเจ้าต้องจ่ายค่าปรับมาให้ข้าด้วย” ชายร้านขายเนื้ออธิบาย

“เหอะ! เจ้าซื้อเกลือผักจากข้าไปไม่ถึงหนึ่งร้อยอีแปะ เป็นความผิดของข้าเช่นนั้นหรือ และยังจะให้ข้าจ่ายค่าปรับตั้งสองเท่า มันไม่มากไปหน่อยหรือ” หลวนซานเห็นว่าคงหลบไม่ได้แล้วจึงหาทางออกให้ตนเองจ่ายน้อยที่สุด

“มันคือความผิดของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่ามันใช้หมักเนื้อไม่ได้”

“ข้าไม่คืนเงินใด ๆ ทั้งนั้น ซื้อแล้วซื้อเลย ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว หลีกทาง ข้าจะกลับบ้าน” หลวนซานเอ่ยเสร็จแล้วจึงผลักชายร้านชายเนื้อให้ล้มลงไปกองกับพื้น พลางใช้มือผลักชาวบ้านให้หลีกทาง

“เห็นทีจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเงินจ่ายก็ต้องไปกับข้า” ฉีหมิงได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นและพยักหน้าให้ลูกน้องของตนเข้าจับกุมหลวนซาน

“ปล่อย ปล่อยข้า มาจับข้าทำไม ข้าไม่ผิด คนผิดคือพวกสกุลจางต่างหากเล่า” หลวนซานดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่มือปราบ

“เจ้าคนหน้าด้าน เหตุใดถึงโยนความผิดให้กับสกุลจาง” ซุนซูเย่เอ่ยดักขึ้นด้วยความโกรธ

“เพราะมัน เพราะพวกมันทำให้ข้าเป็นแบบนี้” หลวนซานยังไม่สำนึก เขาไม่คิดว่าเป็นความผิดของตนเองและกล่าวโทษคนอื่นแทน

เพราะพวกคนสกุลจางต่างหาก! เพราะพวกมันหวงวิชาและหน้าเงินจึงทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้

“อาซาน หากไม่มีเงินคืน เจ้าก็ตามไปรับโทษในคุกเถอะ ข้าก็คงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้” ซุนซูเย่เอ่ยออกไปด้วยความเหนื่อยใจ

“ไม่ ข้าไม่อยากติดคุก หัวหน้า ท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากติดคุก” หลวนซานเมื่อสุดท้ายแล้วไม่มีใครเข้าข้างเขาแม้แต่คนเดียวจึงได้ร้องตะโกนให้ซุนถงช่วยเหลือ เขารู้ว่าซุนถงเป็นคนจิตใจดี ดูอย่างสกุลจางสิ...ยังช่วยเป็นอย่างดีเลย

“อาซาน เจ้าเพียงคืนเงินเขาไปเท่านั้น เจ้าก็ไม่ต้องติดคุกแล้ว” ซุนถงเอ่ยเตือน

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าใช้เงินหมดไปแล้ว” หลวนซานดิ้นจนหลุดจากการจับกุมของเหล่ามือปราบก่อนจะวิ่งไปกอดขาซุนถงไว้พลางร้องไห้ออกมาโดยไม่สนใจน้ำตาที่ไหลออกมาเต็มหน้าแม้แต่น้อย

“อาซาน ดูจากคนที่เสียหายก็มีหลายคน เงินมากเช่นนั้นเจ้าเอาไปทำอะไรจนหมด” ซุนถงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้า... ข้า...”

“ว่าอย่างไร”

“ข้าเอาไปเข้าบ่อนมา” หลวนซานตอบเสียงเบา

“นี่เจ้าถึงกับไปเล่นการพนันเชียวหรือ มันผิดกฎหมาย รู้หรือไม่ ดีเหลือเกิน เช่นนั้นก็จับไปให้หมด จะได้สืบว่าใครเป็นเจ้าของบ่อน” ฉีหมิงถึงกับตวาดออกมา นั่นยิ่งทำให้หลวนซานกลัวจนฉี่ราดรดกางเกงตนเอง

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านคงช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หลวนซานจึงคลานเข่ากระเสือกกระสนไปหาจางอี้เทาแล้วกอดเข่าชายหนุ่มร้องไห้เสียงดัง

“อาเทา เจ้าบอกพวกเขาทีว่าอย่าจับข้าเข้าคุกเลยนะ เจ้าจะให้ข้าทำอันใดก็ย่อมได้ ข้ายอมแล้ว ข้ายอมทุกอย่าง ข้าไม่อยากติดคุก” หลวนซานร่ำไห้ออกมาเสียงดังโดยไม่กลัวว่าจะต้องเสียหน้า 

จางอี้เทายังไม่ทันได้ตอบอันใด ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อคนที่กำลังกอดขาตนเองไว้เสียก่อน

“ท่านพ่อ”

“พี่หลวนซาน”

“ซูซู อาเฟย เจ้าออกไป อย่ามาใกล้ข้า” หลวนซานไม่อยากให้เมียและลูกต้องมาพลอยติดร่างแหไปด้วยจึงได้รีบกล่าวเช่นนั้นออกไป

หญิงชาวบ้านที่จูงมือบุตรชายอายุน่าจะเท่ากันกับจางอี้หมิงเข้ามา เด็กชายตัวน้อยเร่งรีบมากอดหลวนซานไว้ ทำให้จางอี้เทาคิดถึงครอบครัวตนเอง นั่นสินะ ต่อให้เลวร้ายยังไงก็ยังทำเพื่อครอบครัว เพราะไม่อยากให้ครอบครัว ไม่อยากให้คนที่ตนเองรักต้องมาติดร่างแหถึงกับต้องเอ่ยทำร้ายจิตใจออกมาเช่นนั้น

“ท่านลุงฉีหมิงขอรับ ท่านสามารถอะลุ่มอล่วยให้กับท่านพี่ หลวนซานได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเห็นภาพนั้นก็ทำใจร้ายไม่ลง เขาเอ่ยถามหัวหน้ามือปราบออกไป

“หมิงหมิงน้อย ข้าเพียงทำตามหน้าที่ ขอแค่ผู้เสียหายไม่เอาความ ข้าก็ทำอันใดไม่ได้” ฉีหมิงหันมาอธิบาย

“เช่นนั้นหากว่าพี่หลวนซานไม่สามารถคืนเงินให้พวกท่านได้ แต่ว่ากลุ่มการค้าหลัวถงจะชดใช้สินค้าเป็นจำนวนสองเท่าของที่พี่หลวนซานขายให้กับพวกท่านแทน เช่นนี้พวกท่านพอรับคำขอโทษและเลิกแล้วกันไปได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงหันไปถามหัวหน้ากลุ่มผู้เสียหาย

“พวกข้ารับคำขอโทษเป็นสินค้าจำนวนสองเท่าของเจ้า แต่ข้าจะเชื่อได้เช่นใดว่าสินค้าจะดีมีคุณภาพ” 

“ท่านลุง คิดว่ากองกำลังเหลียงอันจะซื้อสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือขอรับ หรือท่านคิดว่ากลุ่มการค้าหลัวถงมีความกล้าพอที่จะหลอกลวงหนิงอ๋องกันขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามอีกครั้ง

“ก็จริงของเจ้า” หัวหน้ากลุ่มผู้เสียหายเอ่ยออกมา

“แต่ข้าต้องการข้าปรับด้วย” ชายร้านขายเนื้อไม่ยินยอม

“เช่นนั้นบ้านจางขอจ่ายค่าปรับแทนท่านพี่หลวนซาน แต่ข้าขอเนื้อหมูที่เน่านั้นเป็นสิ่งตอบแทนจะได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้น

“หมูเน่าแบบนั้นข้ายกให้เจ้า ข้าก็ไม่อยากขนกลับไปในเมืองเช่นกัน” ชายร้านขายเนื้อตอบ

“เช่นนั้นก็ตกลงกันได้แล้ว คงหมดธุระข้าแล้วใช่หรือไม่” ฉีหมิงเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่เห็นการตกลงชดใช้ค่าเสียหายเสร็จสิ้นลงแล้ว

“อีกสามวันพวกท่านไปรับเกลือผักได้ที่ร้านเถ้าแก่หวัง รวมทั้งท่านที่จะได้รับเงินค่าปรับด้วย พวกท่านคงรู้จักร้านเถ้าแก่หวังใช่หรือไม่” จางอี้หมิงเอ่ยถามทุกคน

เมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้เสียหายพยักหน้ารับแล้ว เด็กน้อยจึงหันไปกล่าวขอบคุณหัวหน้ามือปราบอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านลุงฉีหมิง ขอบคุณสำหรับวันนี้ขอรับ ข้าขอตอบแทนท่านด้วยของฝากที่ข้าจะฝากไว้ที่ร้านเถ้าแก่หมิงเช่นกัน แต่จะเป็นอันใดนั้นท่านก็ไปลุ้นเอานะขอรับ รับรองว่าท่านต้องชอบอาหารนั้นเป็นแน่” จางอี้หมิงถึงกับเอ่ยเย้าฉีหมิงด้วยความชอบใจ เขาทราบดีถึงความคลั่งไคล้ในอาหารของหัวหน้ามือปราบ

เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง มือปราบและกลุ่มผู้เสียหายจึงเดินทางกลับเข้าไปในเมือง ชาวบ้านต่างแยกย้ายกลับบ้านของตนเอง ทว่าหลวนซานยังนั่งอยู่บนพื้นกับเมียและลูกของเขา ซุนถงเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปหาและเอ่ยสั่งสอนอยู่ในที

“อาซาน เจ้าสำนึกแล้วหรือไม่” เพียงคำสั้น ๆ ของหัวหน้าหมู่บ้านถึงกับทำให้หลวนซานร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง หันไปมองภรรยากับลูกชายตนเองด้วยความรู้สึกผิด

“ท่านหัวหน้า ข้าสำนึกผิดแล้ว” เขาเอ่ยตอบตะกุกตะกักเพราะยังไม่สามารถปรับอารมณ์ให้พ้นความกลัวไปได้

“ดี เช่นนั้นเจ้าควรไปขอโทษสกุลจาง หากไม่มีพวกเขา เจ้าก็ไม่ได้อยู่เห็นเมียกับลูกชายเจ้าแล้ว” ซุนถงบอก

“ข้าขอโทษ ข้าสำนึกผิดแล้ว” หลวนซานหันหน้าไปทางคนสกุลจางก่อนกล่าวขอโทษออกมา 

เมื่อจางอี้เทาเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยด้วยความจริงใจ เขาจึงเป็นตัวแทนของครอบครัวหยิบยื่นไมตรีออกไปให้

“พี่หลวนชาน ไม่เป็นไร เราคนหมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน เช่นเดียวกับครอบครัวข้าที่มาอยู่ใหม่ หากไม่ได้ชาวบ้านช่วยเหลือในตอนแรกก็คงลำบากไม่น้อย ต่อไปพี่หลวนซานก็เพียงมาเข้าร่วมกลุ่มการค้าให้ถูกต้อง เริ่มต้นกันใหม่” จางอี้เทาก้มลงไปพยุงให้ หลวนซานและครอบครัวลุกขึ้น

“ข้าขอบใจพวกเจ้ามาก ข้าทำความเดือนร้อนให้ถึงเพียงนี้แล้วยังไม่โกรธและยังช่วยข้าอีก ข้าสัญญา ต่อไปเจ้าจะได้เห็นหลวนซานคนใหม่ ขอบใจเจ้าจริง ๆ” 

เมื่อทุกอย่างลงเอยด้วยดี หลวนซานจึงพาครอบครัวกลับบ้านและสัญญากับตนเองว่าจะไม่ให้อคติมาบังตาอีกแล้ว เขาจะเป็นคนใหม่นับจากวันนี้

 ทางด้านของครอบครัวจางก็กำลังจะขอตัวกลับเช่นกัน

“ท่านอาอี้เทา หมิงหมิงน้อยเลือดออกหัวเข่าเพราะไม่ฟังคำเตือนของข้าและวิ่งไปบนชายหาด ท่านอาอี้เทาอย่าลืมทำแผลให้หมิงหมิงน้อยนะเจ้าคะ” 

จางอี้หมิงถึงกับสะดุ้งสุดตัว เด็กชายหันไปจ้องหน้าพี่สาวซูลี่ด้วยสายตาตัดพ้อ

พี่ซูลี่ ท่านจะบอกท่านพ่อทำไม จางอี้หมิงถึงกับบ่นพี่สาวในใจ

“หมิงเอ๋อร์”

“ท่านพ่อ ข้า....”

หลังจากนั้นจางอี้หมิงไม่อยากนึกเลยว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นในวันนี้ อีกไม่นานบ้านของเขาก็จะสร้างเสร็จเรียบร้อย พี่หลวนซานก็กลับตัวไม่เป็นปัญหาแล้ว ได้แต่หวังว่าฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้คงไม่มีอะไรให้เขาต้องคอยตามแก้อีก

รึเปล่า...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ