ตอนที่ 73 ข้ามิอยากได้

“น้องชายหมิง น้องชายหมิง เจ้ารอข้าด้วย”

อ๋องน้อยรีบเดินเเกมวิ่งเพื่อให้ทันกับจางอี้หมิง ปากก็ตะโกนบอกให้เด็กชายหยุดรอตนเอง

“ท่านอ๋องน้อย อย่าเรียกข้าว่าน้องชายเลยขอรับ ข้ามิอาจเอื้อมรับเกียรติเป็นน้องชายของท่านอ๋องน้อยขอรับ” จางอี้หมิงหยุดรอแล้วหันหน้ากลับไปบอก

“ได้ ๆ เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าหมิงหมิงน้อยเช่นท่านอาจารย์เทียนคงได้ใช่หรือไม่”

“ได้ขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย ตัวเจ้าเล็กถึงเพียงนี้เหตุใดถึงทำอาหารได้กันเล่า”

อ๋องน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย สองเท้าเริ่มชะลอเมื่อเข้าใกล้คนที่ตนวิ่งตามแล้ว

“ผิดแล้วขอรับ ข้าตัวเล็กเพียงนี้ไม่สามารถปรุงอาหารได้หรอกขอรับ เพียงแต่่ว่าข้าสามารถบอกให้พ่อครัวของจวนอ๋องทำตามที่ข้าบอกได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยอธิบาย ก่อนจะเริ่มก้าวเดินต่อไปตามทางเดิน ซึ่งเขายังจำได้ว่าห้องครัวต้องไปทางไหนจากการมาที่จวนอ๋องครั้งที่แล้ว

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเด็กที่เก่งมาก เก่งกว่าเด็กทุกคนที่ข้าเคยรู้จักมา”

“ท่านอ๋องน้อย ข้าก็มิได้เก่งกาจมากไปกว่าเด็กทั่วไปหรอกขอรับ เพียงแต่ข้าอ่านหนังสือมามากว่าเด็กคนอื่นเพียงเท่านั้น” จางอี้หมิงเอ่ยตอบโดยที่มิได้หยุดเดินไปแม้แต่น้อย

“พวกเรามาเป็นสหายกันเถอะ”

จางอี้หมิงถึงกับหยุดเดินและหันไปมองอ๋องน้อยที่เดินเคียงข้างมากับตนเอง อ๋องน้อยเห็นเด็กน้อยหยุดเดินตนเองจึงหยุดเดินด้วย เมื่อผู้ที่ตนเองเพิ่งขอเป็นเพื่อนมองมาก็ส่งยิ้มไปให้

จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงตอบปฏิเสธไม่ลง นี่อย่างไรเล่าคือเหตุผลที่เขาไม่อยากเข้ามาพัวพันกับเชื้อพระวงศ์ จะปฏิเสธอันใดก็ไม่ได้ เขามองเห็นความวุ่นวายที่จะต้องตามมาอีกแน่ ๆ ในอนาคตหากตนเองต้องเป็นสหายกับเด็กชายตรงหน้า มองก็รู้ว่าคงได้รับคำสั่งมาจากหนิงอ๋องให้มาสนิทสนมกับเขา จะเพื่ออันใดนั้นตัวเขาก็ขี้เกียจจะคิดแล้ว

“ได้ขอรับ เช่นนั้นเรามาเป็นสหายกัน”

จางอี้หมิงเห็นว่าตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจึงตอบตกลงและยื่นนิ้วก้อยส่งไปให้ ส่งผลให้อ๋องน้อยถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จางอี้หมิงเมื่อเห็นเช่นนั้นก็อธิบายออกไป

“การเกี่ยวก้อยสัญญาเป็นสัญลักษณ์คำสัญญาว่าเราทั้งสองจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน ไม่ทรยศกันในอนาคตเช่นไรเล่าขอรับ”

“เป็นเช่นนั้นนั่นเอง”

อ๋องน้อยได้ยินคำอธิบายเช่นนี้แล้วจึงยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเล็ก ๆ นั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“ตอนนี้พวกเราเป็นสหายกันแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยสรุปและเริ่มเดินตรงไปยังห้องครัวอีกครั้งหนึ่ง

อ๋องน้อยก้าวเดินตามโดยไม่พูดอันใดอีกต่อไป อย่างน้อยก็สำเร็จไปขั้นหนึ่ง ได้เป็นสหายกันแล้วต่อไปอะไรก็คงง่ายขึ้น

เมื่อมาถึงในห้องครัว จางอี้หมิงจึงเอ่ยถามถึงอาหยาง ซึ่งคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ยังมิทันได้เริ่มทำอันใด จางอี้หมิงก็ต้องหยุดอธิบายให้พี่ชายหยางฟังเสียก่อนเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองอยู่ทางด้านหลัง

เด็กน้อยหันไปมองจึงเห็นเป็นตี้ปิน พ่อครัวร่างชายใจเป็นหญิงที่ดูเหมือนว่าในครั้งก่อนจะไม่ค่อยชอบหน้าเขากับท่านลุงอู๋เท่าไรนัก

“หมิงหมิงน้อย เจ้ากำลังทำอันใดอยู่เช่นนั้นหรือ”

ตี้ปินเอ่ยถามเสียงสดใส ราวกับว่ามิเคยมีเรื่องที่ไม่ชอบใจเด็กน้อยหรือคนของเหลาอาหารซิ่งฝูมาก่อน

ด้วยก่อนหน้านี้ตี้ปินได้ยินเรื่องเด็กน้อยที่ช่วยทดลองการปลูกผักเพื่อนำไปช่วยแคว้นเหลียง รวมทั้งการที่เจ้าตัวเล็กมีความรู้เรื่องของการทำอาหารเช่นเดียวกันในฐานะพ่อครัวและคนแคว้นเหลียง เขาจึงลดอคติกับเด็กน้อยตรงหน้า ลง จะว่าไปเจ้าตัวเล็กก็มิเคยทำอันใดให้เขาได้ขุ่นเคืองใจแม้เพียงครั้ง เป็นตัวเขาเองที่อคติไปเองโดยแท้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นอคติทั้งหลายก็หมดไป

“คารวะท่านพ่อครัวตี้” จางอี้หมิงในฐานะที่อายุน้อยกว่าจึงยกมือทำความเคารพไปเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตี้ปินเห็นเช่นนั้นจึงรีบย่อตัวรับการคารวะแทบไม่ทัน ก่อนที่จะเอ่ยคารวะอ๋องน้อยตามธรรมเนียม

“ตี้ปินคารวะท่านอ๋องน้อย หมิงหมิงน้อยเจ้าก็อย่าได้มากพิธีไปเลย สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ ตอนนี้หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยทำสิ่งใดขอเพียงให้บอกเพียงเท่านั้น ข้ายินดีทำให้เจ้าได้อย่างเต็มที่” ตี้ปินบอกจางอี้หมิงพลางส่งยิ้มจริงใจไปให้

พี่ท่านจะมาไม้ไหนกันแน่ เป็นมิตรเกินจริงจนน่าสงสัย

จางอี้หมิงได้แต่คิดในใจอย่างไม่ไว้วางใจ ท่าทีของพ่อครัวจวนอ๋องดูแปลกจากครั้งก่อนมากเกินไป

“ข้ากำลังมองหาพ่อครัวที่สามารถปรุงอาหารชนิดใหม่เพื่อนำขึ้นโต๊ะเสวยของท่านอ๋องขอรับ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าสามารถทำให้เจ้าได้เพียงเจ้าบอกมาเท่านั้น” ตี้ปินเสนอตนเอง

“จะเป็นการรบกวนท่านพ่อครัวหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามแบ่งรับแบ่งสู้ ความจริงแล้วจางอี้หมิงก็อยากให้เป็นพ่อครัวใหญ่ เนื่องจากว่าพวกเขารู้งานอยู่แล้ว

“รบกวนอันใดกัน ข้าเป็นพ่อครัว อาหารที่นำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยล้วนเป็นหน้าที่ของข้า ดังที่ข้าบอกเจ้าไปแล้ว สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ขอให้มันผ่านไปเถิด พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้หรือไม่”

จางอี้หมิงเห็นว่าตี้ปินเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้ก่อนก็มิได้ติดใจสงสัยอันใดต่อไป อย่างน้อยเป็นมิตรก็ดีกว่าเป็นศัตรู

“เช่นนั้นรบกวนพี่สาวตี้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อได้รับการเสนอน้ำใจให้ก็ไม่เล่นตัว ยอมรับการเสนอความช่วยเหลือนั้นอย่างเต็มใจ

“หมิงหมิงน้อยเจ้าเรียกข้าว่าอันใดกัน” ตี้ปินเมื่อได้ยินจางอี้หมิงเรียกตนเองว่าพี่สาวก็พาลให้ถูกใจยิ่งนัก เพราะไม่เคยมีใครเรียกตนเองเช่นนี้มาก่อน

“พี่สาวตี้อย่าได้โกรธข้าเลยนะขอรับ ข้าอยากมีพี่สาวมานานแล้ว เช่นนั้นท่านก็มาเป็นพี่สาวข้าได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขอร้องอีกครั้ง ตี้ปินพยักหน้าตอบรับทันทีพร้อมกับยิ้มอย่างยินดี

“ข้ายินดีเป็นพี่สาวของเจ้า แต่ว่าเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเพียงเมื่ออยู่กันตามลำพังได้หรือไม่”

ตี้ปินเอ่ยตอบรับคำขอของเด็กน้อยพร้อมขยิบตาให้อย่างร่าเริง ท่านอ๋องน้อยถึงกับกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว

“เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มทำทำอาหารกันเลยดีหรือไม่”

ตี้ปินหาทางออกให้ตนเองและเริ่มลงมือปรุงอาหารตามที่น้องชายคนใหม่คอยกำกับอย่างมีความสุข เพราะล้วนเป็นรายการอาหารใหม่ ๆ เเละยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อมารู้ว่าอาหารนี้จะถูกนำไปขายที่แคว้นเหลียง

“ขอรับพี่สาวตี้ เริ่มจากด้องแด้งผัดซีอิ๊วขอรับ ข้านำเครื่องปรุงมาด้วย สิ่งนี้เรียกว่าน้ำมัน สิ่งนี้เรียกว่าน้ำปรุงรส ...”

เด็กน้อยชี้นิ้วไปทางวัตถุดิบและเครื่องปรุงเพิ่มเติมในการทำอาหาร โดยจางอี้หมิงเป็นผู้กำกับการทำอาหารให้เหล่าพ่อครัวและแม่ครัวในจวนท่านอ๋องอย่างสนุกสนานไปตลอดหนึ่งชั่วยาม

อ๋องน้อยที่อยู่ด้วยถึงกับตกตะลึงในความสามารถของเด็กน้อยจางอี้หมิง นี่ใช่เด็กห้าขวบจริงหรือ ตัวเขาว่าเป็นอัจฉริยะของแคว้นแล้ว อายุเท่านี้เขายังไม่มีความสามารถเท่าเด็กน้อยตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

ในส่วนของตี้ปินเองก็ตื่นตาตื่นใจไปกับการทำอาหารครั้งแล้วครั้งเล่า เกี่ยวกับขั้นตอนรวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น้องชายคนใหม่ได้บอกเล่าในการทำอาหารหลายอย่าง ซึ่งตัวเขาเป็นพ่อครัวมาหลายปียังไม่มีความรู้เท่านี้ หากยังถืออคติว่าตนเป็นผู้ใหญ่กว่า ตนเองคงเปรียบเสมือนน้ำที่เต็มแก้ว อาจจะไม่ได้ความรู้เพิ่มมากมายถึงเพียงนี้ ช่างดีจริง ๆ ที่วางความคิดด้านลบพวกนั้นไปได้

“พี่สาวตี้ บะหมี่ไก่ได้ที่หรือยังขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามตี้ปินเมื่อเห็นว่าอาหารทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ยังไม่เห็นบะหมี่ไก่จัดในชุดที่ต้องนำออกไปตั้งโต๊ะ

“เสร็จแล้วหมิงหมิงน้อย ข้ามิอยากเชื่อเลยว่าเพียงแค่เส้นด้องแด้งแห้งอย่างเดียว จะสามารถรังสรรค์อาหารได้หลากหลายเช่นนี้” ตี้ปินเปรยออกมาด้วยความแปลกใจ เมื่อมองอาหารที่จัดไว้แล้วพบว่ามีหลากหลายรายการและทั้งหมดล้วนทำมาจากเส้นด้องแด้ง

“พี่สาวตี้ขอรับ เส้นด้องแด้งก็เปรียบเสมือนกับเป็นข้าวนั่นแหละขอรับ” จางอี้หมิงกล่าวสั้นๆแต่ก็ทำให้คนที่เป็นพ่อครัวอย่างตี้ปินเข้าใจได้ดี

...

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทุกคนจึงย้ายไปที่ห้องอาหารของจวนอ๋อง ซึ่งพ่อบ้านได้ไปแจ้งให้ท่านอ๋อง ท่านอาจารย์เทียน รวมทั้งจางอี้เทาและเถ้าแก่หวังไปรอที่ห้องอาหารอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากอี้หมิงเห็นว่าในห้องอาหารจะเหมาะกับการนำเสนอรายการอาหารได้ดีกว่าที่ศาลาริมสระบัว

“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องไม่เชื่อเป็นแน่ อาหารมากมายเหล่านี้ทำมาจากเส้นด้องแด้งทั้งหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องน้อยเดินเร็ว ๆ เข้าไปในห้องอาหารแล้วกล่าวทูลเสียงใส มีจางอี้หมิงเดินเยื้องมาทางด้านหลังเล็กน้อย แล้วจึงตามด้วยขบวนทหารรับใช้ที่ถือถาดอาหารเดินตามกันมา ก่อนพวกเขาจะวางสำรับไว้บนโต๊ะเสวยจนเต็ม เกือบไม่มีพื้นที่วางอีกต่อไป

“เหตุใดพ่อจะไม่เชื่อเล่าอ๋องน้อย ไหนกันเจ้าตัวเล็กมีอันใดมานำเสนอข้าหรือไม่ ปล่อยให้ข้ารอเสียนาน อาหารของเจ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ” หนิงอ๋องหยอกเย้าจางอี้หมิงอย่างอารมณ์ดี

“ต้องขอประทานอภัยด้วยขอรับที่ให้ท่านอ๋องรอนาน แต่ข้ารับรองว่าท่านอ๋องต้องถูกใจรายการอาหารนี้เป็นแน่ขอรับ” จางอี้หมิงเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ บิดาและเถ้าแก่หวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะเสวยเพื่ออธิบายถึงรายการอาหารต่าง ๆ ส่วนอ๋องน้อยเดินไปนั่งประจำที่ของตนเองแล้ว

“วันนี้ข้ามีแต่เรื่องน่ายินดี เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสามคนก็มานั่งกินข้าวด้วยกันกับข้าสักครั้งเถอะ” หนิงอ๋องตรัสชวนอย่างใจดี

“พวกเรามิกล้าร่วมโต๊ะเสวยหรอกพ่ะย่ะค่ะ” จางอี้เทายกมือเอ่ยคัดค้านขึ้น

“เช่นนั้นต่อไปนี้ ในระหว่างที่ข้าอยู่ที่เมืองไห่ถัง ข้ามิใช่หนิงอ๋อง แต่คือพ่อค้าที่เป็นคู่ค้าทำการค้าขายกับพวกเจ้าก็แล้วกัน แบบนี้คงไม่เป็นปัญหาแล้วใช่หรือไม่” หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเข้ม

จางอี้เทาและเถ้าแก่หวังมองหน้ากันจนใจ พวกเขาจำต้องก้าวเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะเสวยอย่างช่วยไม่ได้ ทหารรับใช้ยกเก้าอี้มาเพิ่ม โดยจางอี้หมิงได้นั่งข้างกับอ๋องน้อย

“เอาล่ะ ข้าหิวและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ชิมรสชาติอาหารของเจ้าแล้วเด็กน้อย” หนิงอ๋องกล่าวอีกครั้ง

“ขอรับ” จางอี้หมิงค้อมศีรษะเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มอธิบายอาหารที่วันนี้ตนได้กำกับให้พ่อครัวจวนอ๋องทำขึ้นมา

“ถ้วยนี้เรียกว่า เส้นด้องแด้งตากแห้ง มันเป็นเหมือนเส้นบะหมี่หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำมาจากแป้ง จากนั้นทำให้แห้งเพื่อให้สามารถเก็บไว้ได้นาน หากจะนำมาทำอาหารเพียงแค่นำไปต้มหรือลวกในน้ำร้อน มันจะคืนสภาพเหมือนเส้นสด ๆ ขอรับ เส้นด้องแด้งสามารถกินแทนข้าวได้ขอรับ”

จางอี้หมิงชี้ลงไปยังถ้วยใบเล็กที่เขาเหลือเส้นด้องแด้งตากแห้งไว้เป็นตัวอย่างให้กับท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ดู ทหารรับใช้จึงมาหยิบถ้วยใบนั้นยื่นส่งให้กับหนิงอ๋องได้พิจารณา

“เจ้าจะบอกว่าอาหารบนโต๊ะนี้ทำมาจากเส้นอันใดนะ”

“เรียกว่าเส้นด้องแด้งขอรับ”

“ใช่แล้ว เส้นด้องแด้ง แล้วรายการอาหารมีอันใดบ้างเล่า”

“ถ้วยนี้เรียกว่าด้องแด้งหมูสับขอรับ เป็นสินค้าที่กลุ่มการค้าหลัวถงจะทำขึ้นมาขาย ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการทดลอง แนวคิดเกิดขึ้นจากความต้องการของท่านอ๋อง เช่นในการเดินทางไกลไปค้าขายของกองคาราวาน การทำสงคราม หรือแม้แต่การแจกจ่ายอาหารให้กับคนยากจนในฤดูหนาวหรือพื้นที่ห่างไกลหากเกินน้ำท่วมหรือภัยพิบัติต่าง ๆ

เพียงแค่นำเส้นด้องแด้งไปต้มหรือเติมน้ำร้อนเท่านั้น เส้นที่แห้งจะคืนตัวกลายเป็นเส้นสด จากนั้นนำเครื่องปรุงเติมลงไปเท่านี้ก็กลายเป็นอาหารแล้วขอรับ หากทว่าในภาวะปกติแนะนำให้นำมาปรุงแล้วเติมผัก เนื้อ ลงไปจะดีกว่าทำแบบที่ข้าได้บอกไปเพราะจะดีกับร่างกายมากกว่าขอรับ”

“กินเปล่า ๆ เช่นนี้ได้เลยใช่หรือไม่” ท่านอ๋องถามต่อ

“ถูกแล้วขอรับ ถ้วยนี้คือการแปรรูปเส้นด้องแด้งแห้งโดยการปรุงที่พิถีพิถันขึ้นขอรับ ส่วนถ้วยนี้คือลักษณะการปรุงแบบง่าย ๆ ในการเดินทางขอรับ” จางอี้หมิงชี้มือไปยังถ้วยด้องแด้งหมูสับสองแบบที่มีวิธีการปรุงแตกต่างกัน หน้าตาและรสชาติจึงต่างกันไปด้วย

ทหารรับใช้มาทดสอบพิษ หลังจากที่ชิมเรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักด้องแด้งหมูสับเสวยทั้งสองแบบ โดยชิมแบบธรรมดาก่อน แล้วจึงชิมแบบปรุงรส

“รสชาติต่างกัน แต่ก็ยังบอกได้ว่ามาจากที่เดียวกัน” ท่านอ๋องเปรยออกมา

อาจารย์เทียนเมื่อเห็นท่านอ๋องชิมไปแล้วตนเองก็เริ่มชิมบ้าง หลังจากนั้นจึงกล่าวความคิดออกมา

“สำหรับในสถานการณ์ที่ต้องการความง่าย เร็ว และอิ่มท้อง เพียงเท่านี้ถือว่าดีมากจริง ๆ”

“ข้าว่าสินค้าตัวนี้ต้องขายได้ดีมากเป็นแน่” เถ้าแก่หวังออกความเห็นบ้าง

“ณ ตอนนี้กลุ่มการค้าหลัวถงมีเพียงสินค้าตัวนี้ ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงของการทดลอง แต่จากที่ได้ศึกษากันมา ข้าคิดว่าอีกไม่นานจะสำเร็จและนำออกมาจำหน่ายได้โดยเร็วขอรับ”

“ดี ๆ การมาแคว้นฉินในรอบนี้ช่างมีแต่ข่าวดีจริง ๆ เด็กน้อยเป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าอยากจะให้อ๋องน้อยไปเรียนรู้การทำงานกับเจ้าในช่วงที่พวกเราอยู่ที่แคว้นฉินนี้” หนิงอ๋องตรัสถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ขอรับ สูตรการทำเส้นด้องแด้งเป็นของกลุ่มการค้าหลัวถง หากแคว้นเหลียงรู้วิธีการผลิตแล้ว ไหนเลยจะซื้อขายกับข้าเล่าขอรับ” จางอี้หมิงตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความมั่นใจ หาได้เกรงกลัวต่อผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไม่

“ฮะ ฮะ ฮะ เจ้าช่างตรงไปตรงมายิ่ง แล้วถ้าหากว่าเจ้ามิใช่เป็นเพียงคนแคว้นฉินเท่านั้น แต่เจ้ายังมีตำแหน่งเป็นอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงด้วย เช่นนี้เจ้าคงไม่ปฏิเสธการทำเพื่อแคว้นเหลียงหรอกจริงหรือไม่”

“ท่านอ๋องเหตุใดจึงได้เอ่ยเรื่องที่มันไม่เป็นความจริงด้วยขอรับ ข้าหาได้เป็นอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงไม่ เหตุใดจึงต้องทำเพื่อแคว้นเหลียงด้วยขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท” จางอี้เทาเอ่ยเตือนบุตรชายด้วยความตกใจในสิ่งที่ได้ยินตอนนี้

“ไม่เป็นไร ผิดแล้วเด็กน้อย เจ้ามิรู้หรือว่า เจ้ามีศักดิ์เป็นอ๋องน้อย บุตรชายอีกคนของเราตั้งแต่เจ้ารับป้ายหยกประจำตัวของเราไปแล้ว ป้ายหยกอันนั้นคือสิ่งยืนยันถึงฐานะตำแหน่งของเจ้ามาตั้งนานแล้ว” ท่านอ๋องโบกมือให้จางอี้เทาก่อนตอบคำถามของเด็กน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกลายเป็นเชื้อพระวงศ์ไปเสียแล้ว

“เป็นไปมิได้ ข้ามิเคยรู้มาก่อนดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นความจริงเช่นนั้นข้าขอคืนป้ายหยกนั้นให้ท่านได้หรือไม่” จางอี้หมิงถึงกับเอ่ยด้วยความร้อนรน เขาไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเชื้อพระวงศ์ เขาอยากอยู่อย่างเงียบ ๆ สงบ ๆ ค้าขายไปตามอัธยาศัยของตนเอง

“บังอาจ เรื่องเช่นนี้เอามาล้อเล่นได้เช่นนั้นหรือ ช่างไม่รู้ถึงพระเมตตาเสียแล้ว” อาจารย์เทียนถึงกับแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมา เมื่อนายเหนือหัวของตนเองเหมือนได้รับการลบหลู่

“หมิงหมิงน้อย เจ้ามิอยากมาเป็นน้องชายข้าเช่นนั้นหรือ” อ๋องน้อยหันหน้าไปเอ่ยถามเด็กชายตรงหน้า

“เอ่อ คือ คือว่ามิใช่เช่นนั้นขอรับ ข้าเป็นเพียงเด็กน้อย ชาวบ้านธรรมดา หาได้รู้เรื่องของเชื้อพระวงศ์ไม่ เกรงว่าจะทำตัวได้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อีกอย่างข้าก็อาศัยอยู่ที่แคว้นฉิน ไหนเลยจะกล้ารับตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้น ในเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ไหนเลยจะทำประโยชน์ให้กับแคว้นเหลียงได้กันเล่า” จางอี้หมิงเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงติดกังวล

เหตุใดเหมือนเรื่องมันจะวิ่งเข้ามาหาเขาได้ตลอด จบเรื่องหนึ่ง เรื่องใหม่ก็ตามมาอีก

“เด็กน้อย เจ้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ เพียงแค่การปรับตัวให้เข้ากับเชื้อพระวงศ์เหตุใดจะทำมิได้ การทำประโยชน์ให้กับแคว้นเหลียงนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยที่แคว้นเหลียงก็ทำประโยชน์ให้แคว้นได้ ยกตัวอย่างวิธีการปลูกผักของเจ้า รวมทั้งการแปรรูปอาหารที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนแคว้นเหลียงเป็นอย่างมาก

เอาเป็นว่าข้าไม่บังคับเจ้า เพียงแต่ขอให้นำกลับไปคิดให้ดี เจ้าค่อยให้คำตอบข้าในวันที่ข้าจะเดินทางกลับแคว้นเหลียงก็ได้ การที่ข้าให้ตำแหน่งอ๋องน้อยกับเจ้าก็หวังเพียงแค่ความรู้ของเจ้าจะช่วยประชาชนแคว้นเหลียงได้บ้างเท่านั้น เจ้ามิได้เสียหายอันใด เจ้าก็อยู่อาศัยที่แคว้นฉินต่อไป เพียงแต่ช่วยเหลือทางอ้อมก็เพียงพอแล้ว

ข้านั้นประทับใจในความเป็นเจ้ามากด้วยความจริงใจ ข้าจึงได้ตัดสินใจรับเจ้าเป็นบุตรชาย ข้ายังยืนยันว่าเจ้ามีฐานะเป็นบุตรชายของข้าอย่างแท้จริง เป็นอ๋องน้อยของหนิงอ๋อง เมื่อมีโอกาสข้าอยากพาเจ้าไปเยี่ยมชมแคว้นเหลียง แล้วทำพิธีรับตำแหน่งอ๋องน้อยอย่างเต็มพิธีการอีกครั้ง

ทรัพย์สิน บ่าวไพร่รวมทั้งที่ดินที่เจ้าสมควรได้เจ้าก็จะได้ตามนั้น เจ้าจะได้ทำความรู้จักกับท่านแม่ของเจ้า พระมารดาของอ๋องน้อย นางต้องดีใจเป็นแน่ที่มีบุตรชายเฉลียวฉลาดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน”

“ขอบคุณขอรับที่ไม่บังคับและให้เวลาข้าในการตัดสินใจ หากท่านรับข้าเป็นบุตรชายแล้ว ท่านอ๋องน้อยเล่าขอรับ เขาจะ...”

จางอี้หมิงเอ่ยขอบคุณหนิงอ๋องก่อนที่จะหันหน้าไปทางอ๋องน้อยอีกครั้งหนึ่ง

“หมิงหมิงน้อย ข้าไม่ได้น้อยใจเลย ข้ากลับดีใจยิ่งที่จะมีน้องชายที่เก่งกาจเช่นเจ้า ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็มาเป็นน้องชายของข้าเถอะ” อ๋องน้อยหันหน้าไปตอบด้วยรอยยิ้มจริงใจและวางมือตบลงไปบนขาของจางอี้หมิงเบา ๆ

มื้อกลางวันภายในจวนหนิงอ๋องนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ขณะที่เจ้าของเรือนกำลังเพลินเพลินมีความสุขกับสิ่งหลายอย่างที่ประสบความสำเร็จ พวกเขารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ลิ้มรสกับความแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ชิมมาก่อน ซึ่งช่างแตกต่างจากแขกที่มาร่วมโต๊ะเหลือเกิน อาหารรสเลิศตรงหน้านั้นเหมือนกับกลืนเข็มนับพันเล่ม แสนฝืดเฝือนไม่คล่องคอ การรับรสชาติอาหารที่สมควรตรึงใจกลายเป็นขมปร่าไปเสียได้

จางอี้หมิงเงยหน้าหันไปสบสายตากับบิดาอย่างกังวลใจ เขาเพียงแค่อยากอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น เหตุใดคำขอของเขาถึงได้ยากเย็นยิ่งนัก จางอี้เทาทำได้เพียงส่งสายตาให้กำลังใจบุตรชาย เขาเองก็จนปัญญาจะคัดค้านอันใดได้

เห้อ...จางอี้หมิงหัวจะปวด

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ