ตอนที่ 30 นิลเง็กเซียน

หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม

“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม

“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว 

“ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ

“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” 

อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม พ่อครัวใหญ่เดินถือจานพะโล้และตะเกียบกลับมายังมุมพักผ่อนซึ่งเถ้าแก่หลินนั่งอยู่

“เถ้าแก่ เชิญชิมขอรับ” อู๋เจ๋อยื่นตะเกียบให้ รอบนี้เขาไม่ได้เอาตะเกียบมาเผื่ออี้เทา

เถ้าแก่หลินหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบสามชั้นพะโล้สีน้ำตาลไหม้ฉ่ำน้ำแกงขลุกขลิกขึ้นมา ชายชราสูดกลิ่นเข้าเต็มปอดก่อนที่จะส่งหมูพะโล้นั่นเข้าปากไปอย่างช้า ๆ หลินไห่หลับตาพริ้มซึมซับความหอมและหวานจากน้ำตาลผัก ความนุ่มลิ้นของหมูพะโล้ที่ตุ๋นได้ที่กำลังดีพาให้จิตใจเบิกบาน ส่วนอู๋เจ๋อเมื่อเห็นเถ้าแถ่ชิมไปแล้ว เขาจึงไม่รอช้าคีบหมูสามชั้นทำตามอย่างที่เถ้าแก่หลินทำทุกประการ

หนึ่งเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูและอีกหนึ่งหัวหน้าพ่อครัวกำลังลิ้มลองหมูพะโล้อย่างมีความสุข ใบหน้าทั้งคู่บ่งบอกรสชาติอย่างดีจนหลงลืมไปว่าในห้องครัวแห่งนี้มิได้มีเพียงเขาสองคนเท่านั้น

“อึก”

“อึก”

เสียงกลืนน้ำลายที่ดังจนได้ยินชัดเจนปลุกให้หลินไห่และอู๋เจ๋อออกจากภวังค์ พวกเขาพร้อมใจกันหันหน้าไปหาต้นเสียงที่ปลุกทำลายความอภิรมย์ด้วยสายตาคาดโทษ ส่งผลให้เหล่าพ่อครัวและคนงานได้แต่รีบก้มหน้าลงอย่างเร็ว เป็นอี้หมิงที่ทนสงครามสายตาระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาก่อน

“ท่านปู่ ท่านลุง เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย ข้าไม่มีข้อโต้แย้งในสูตรหมูพะโล้ของเจ้าอีกแล้ว เจ้าเห็นเป็นเช่นไรอู๋เจ๋อ” หลินไห่ตอบกลับหลานชายคนใหม่ด้วยความยินดีก่อนที่จะหันไปขอความเห็นจากหัวหน้าพ่อครัว

“ข้าก็ไม่มีข้อกังขาเช่นกันขอรับเถ้าแก่ ไม่นึกเลยว่าแค่เปลี่ยนจากเนื้อแดงมาเป็นสามชั้น เปลี่ยนวิธีการและขั้นตอนในการปรุง จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมากมายเช่นนี้ ความนุ่มมันคล้ายจะละลายในปากข้า ความหวานความเค็มกลมกล่อมเข้ากันได้ดี เมื่อละเมียดละไมชิมแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไปพบเหล่าเทพเชียวล่ะ ช่างเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งขอรับ” พ่อครัวประจำเหลาอาหารอธิบายความเห็น เขาประหลาดใจมาก รสชาติแบบนี้เพิ่งจะเคยได้ลิ้มลองครั้งแรก

“หมิงหมิงน้อย ลุงขอโทษที่เคยดูถูกเจ้าในการเอาสามชั้นมาปรุงพะโล้นะ” อู๋เจ๋อหันไปบอกจางอี้หมิง พลางก้มหน้าลงเอ่ยขอโทษเด็กน้อยด้วยความเสียใจที่ครั้งหนึ่งเคยปรามาส

“หามิได้ขอรับท่านลุงอู๋ เพราะท่านลุงอู๋ต้องการปกป้องชื่อเสียงของเหลาอาหารซิ่งฝู ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้วขอรับ”

จางอี้หมิงโค้งกายรับคำขอโทษ เด็กน้อยไม่โกรธอันใดเลย 

“เช่นนั้นลุงไปยกหม้อลงจากเตาก่อนนะ”

อู๋เจ๋อเมื่อขอโทษเด็กน้อยเสร็จแล้วจึงเดินแยกตัวออกไปยกกระทะตุ๋นพะโล้ลงจากเตา เมื่อวางพักไว้เรียบร้อยก็เดินกลับมาหาเถ้าแก่หลินและอี้หมิงที่กำลังคุยกันอยู่

“หมิงหมิงน้อย เจ้าลองบอกวิธีการแก้ปัญหาให้ปู่ฟังหน่อยได้หรือไม่เล่า” หลินไห่เอ่ยถามถึงวิธีการแก้ปัญหาของลูกค้าข้างนอกนั้นทันที เขาชิมพะโล้เรียบร้อยแล้วก็ยังไม่เห็นหนทางอันใด

“ท่านปู่ พะโล้แห้งวันนี้ไม่เพียงพอที่จะให้ลูกค้าทุกโต๊ะได้ทดลองชิมเป็นแน่ขอรับ เช่นนั้นทำไมเราไม่ทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาอีกหนึ่งจาน ผักในห้องครัวแห่งนี้มีมากมายหลายชนิด น้ำมันที่ท่านพ่อของข้านำมาก็เพียงพอสำหรับหลายจานผัก พ่อครัวที่เหลาก็มีตั้งหลายคน พวกเขาก็เห็นวิธีการทำเมื่อเช้าแล้ว มันทำได้ไม่ยากเลย ข้าว่าพวกเขาต้องทำได้แน่”

“เสร็จแล้วเราก็แจ้งให้ทุกท่านทราบว่าในเมื่ออาหารมีจำนวนไม่เพียงพอ ถ้าพวกเขาอยากจะทดลองชิม ก็ให้เลือกประมูลราคาจนกว่าจะมีคนได้ไป โดยที่รายได้จากการประมูลอาหารในวันนี้ ท่านปู่อาจจะแจ้งว่าจะนำไปบริจาคหรือทำทานให้คนยากจนก็ได้ ทางเหลาจะหักเพียงค่าวัตถุดิบเท่านั้น”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ดี ดีจริง ๆ เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนักหมิงหมิงน้อย สมแล้วที่เป็นหลานปู่” หลินไห่ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังในวิธีการแก้ไขปัญหาของเด็กน้อยตรงหน้า ช่างฉลาดเฉลียวสมกับเป็นหลานของเขาจริง ๆ

ท่านปู่ ข้าเพิ่งเป็นหลานท่านได้ไม่ถึงหนึ่งวันเองนะ ช่างเป็นคนแก่ที่หลงตนเองจริง ๆ

“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้

“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” 

“รอสักครู่ขอรับ”

อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่

“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที่เบิกบานขึ้น

“ท่านลุงอู๋ เพียงเตรียมวัตถุดิบไว้ก่อนนะขอรับ ยังไม่ต้องปรุง เมื่อท่านปู่ได้ข้อสรุปแล้ว ท่านลุงจึงค่อยทำสามสหายท่องหล้า ไม่เช่นนั้นมันจะเย็นและไม่อร่อยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยสำทับหัวหน้าพ่อครัวไปอีกรอบ

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” 

หลินไห่เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว เขาจึงลุกขึ้นและเตรียมเดินออกไปแจ้งเหล่าคหบดีทั้งหลายถึงเรื่องการประมูล พอดีกับที่จางอี้หมิงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าพะโล้แห้งของเขายังไม่มีชื่อเลย เด็กน้อยจึงเอ่ยเรียกหลินไห่ไว้ก่อนที่ชายชราจะก้าวเท้าออกจากห้องครัวไป

“ท่านปู่ กรุณารอสักครู่ขอรับ” 

“หมิงหมิงน้อย เจ้ามีอันใดอีกหรือ”

“ท่านปู่ลืมเรื่องที่สำคัญไปหนึ่งเรื่องขอรับ”

“เรื่องสำคัญอันใดหรือ” หลินไห่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ก็ไม่เห็นมีเหตุอันใดที่หลงลืมนี่

“ชื่อของอาหารจานนี้อย่างไรเล่าขอรับ ท่านปู่คงจะไม่บอกว่าอาหารจานนี้ชื่อว่าพะโล้แห้งนะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามออกไป

“โอ้ จริงด้วยหมิงหมิงน้อย ปู่ช่างเลอะเลือนจริง ๆ แล้วเราควรตั้งชื่อว่าอันใดดีเล่า”

จางอี้หมิงยกยิ้ม เรื่องนั้นเขาพอได้ความคิดดี ๆ มาจาก อู๋เจ๋อแล้ว ถ้าหากว่าพ่อครัวใหญ่มากประสบการณ์ยังกล่าวว่าอร่อยราวกับได้ขึ้นสวรรค์ไปพบเหล่าเทพ คนอื่นทั่วไปก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

“นิลเง็กเซียนขอรับ” อี้หมิงน้อยตอบแล้วอธิบายต่อว่า “พะโล้มีสีน้ำตาลออกดำ ข้าจึงตั้งชื่อว่านิลเง็กเซียน ให้คล้องจ้องกับสามสหายท่องหล้า อาหารจานผัก ในอนาคตเหลาอาหารซิ่งฝูสามารถนำรายการอาหารนี้ออกขายได้เลยขอรับ มีจานเนื้อกับจานผักบนโต๊ะเดียวกัน ให้คนเลือกกินได้ตามสบาย” 

อาหารของเขามันจะไปซ้ำกับคนโบราณได้ยังไง มันต้องแตกต่างอย่างลงตัวสิ 

“ชื่อดียิ่ง นิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก หมิงหมิงน้อย”

หลินไห่ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้งด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะจูงมือเด็กชายตัวน้อยออกไปหาคหบดีหน้าเหม็นทั้งหลาย จางอี้หมิงในตอนนี้เปรียบเสมือนสิ่งเล็ก ๆ แสนสวยงามและฉลาดล้ำที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของเขาในตอนนี้

ทำอย่างไรได้เล่า เขาแก่แล้ว ลูกหลานก็อยู่ที่เมืองหลวงกันหมด ที่บ้านจึงเหลือเพียงเขาและภรรยาเท่านั้น ไม่มีหลานตัวน้อย ๆ มาให้ออดอ้อนเหมือนกับคนอื่น เมื่อมีโอกาสได้หลานชายคนใหม่ เจ้าตัวเล็กก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ