จางอี้เทาไล่สายตาอ่านหนังสือสัญญาจนถี่ถ้วน เขาลงลายมือชื่อและเก็บหนังสือสัญญาของตนเองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงที่นั่งมองอยู่นานจึงได้เริ่มเอ่ยถามหลินไห่บ้าง
“ท่านปู่ขอรับ ท่านปู่มีการวางแผนการขายไว้เช่นใดบ้างหรือขอรับ”
“ปู่คิดว่าจะขายนิลเง็กเซียนจานละสิบตำลึง สามสหายท่องหล้าห้าตำลึง และข้าวผัดไข่สามตำลึง เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” เถ้าแก่ตอบหลานชาย
“ข้าเห็นด้วยขอรับ แต่ท่านปู่อย่าขายทุกวันนะขอรับ ข้าขอให้ท่านปู่จงขายทุกเจ็ดวัน ครั้งละเพียงสิบจานสำหรับนิลเง็กเซียน ยี่สิบจานสำหรับสามสหายท่องหล้าและดาราเกี้ยวบุหลันขอรับ”
“ดาราเกี้ยวบุหลันเช่นนั้นหรือ” หลินไห่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “หรือว่าเจ้าหมายถึงข้าวผัดไข่”
“ใช่แล้วขอรับ ไข่สีเหลืองเป็นตัวแทนดวงจันทร์ ส่วนข้าวเปรียบเสมือนหมู่ดาวที่เริงระบำสาดส่องแสงช่วยเสริมให้จันทราลอยเด่นในคืนวันเพ็ญขอรับ” เด็กน้อยอธิบาย
“ชื่อดี ความหมายดี แล้วเหตุใดปู่ถึงต้องขายทุกเจ็ดวัน และจำกัดจำนวนที่ขายด้วยเล่า”
“เพราะว่านั่นจะเป็นการสร้างมูลค่าของอาหารชนิดนั้นขอรับ การที่ได้อะไรมายาก ๆ คนมักให้ความสำคัญ และเวลาของการรอคอยเป็นสิ่งที่คนเราเกลียดมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทำความวุ่นวายให้กับเหลาซิ่งฝูในอนาคต ท่านปู่บอกเพียงว่าอาหารเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเตรียมและหมัก ดังนั้นจึงไม่สามารถขายได้ทุกวันขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างเก่งจริง ๆ เถ้าแก่ขอรับ ข้าเห็นด้วยกับวิธีการของบ้านจาง ข้าในฐานะที่เป็นพ่อครัวขอถามเด็กน้อย ว่าข้าจะเอาวัตถุดิบมาจากที่ไหน ทั้งน้ำมันและน้ำตาลผัก”
อู๋เจ๋อเห็นว่าในส่วนของการตกลงการค้านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาสมควรสอบถามเรื่องวัตถุดิบต่อไป
“ท่านลุงอู๋ ท่านมิต้องเป็นกังวลไปขอรับ ในส่วนของน้ำตาลผัก ข้าว่าเหลาซิ่งฝูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ เหตุที่ข้าใช้น้ำตาลผักหมักหมูสามชั้นเนื่องจากบ้านข้ายากจน ไม่มีแม้แต่น้ำตาลจะมาปรุงอาหาร แต่เหลาซิ่งฝูหาได้ยากจนไม่ ดังนั้นใช้น้ำตาลในการหมักหมูได้เลยขอรับ”
“แล้วน้ำมันเล่า” อู๋เจ๋อยังคงถามถึงวัตถุดิบหลักอีกอย่าง ซึ่งเขามั่นใจว่าหากขาดน้ำมันแล้ว อาหารทั้งหมดนี้คงปรุงขึ้นมาไม่ได้
“ท่านปู่ วันนี้เหลาอาหารซิ่งฝูเปิดเพียงครึ่งวันได้หรือไม่ขอรับ” อี้หมิงไม่ตอบคำถามอู๋เจ๋อ แต่หันไปถามหลินไห่แทน
“เหตุใดหมิงหมิงน้อยถึงถามเช่นนั้นเล่า”
“สาเหตุที่ข้าถามเพราะว่าคงอีกนานกว่าที่ท่านพ่อกับข้าจะเข้ามาในเมือง อีกไม่กี่วันพวกข้าจะสร้างบ้านใหม่ขอรับ ระหว่างนั้นคงยุ่งมาก”
“เจ้ากำลังจะสร้างบ้านเช่นนั้นหรือ มีอันใดให้ปู่ช่วยหรือไม่” หลินไห่เอ่ยถามออกไปด้วยความจริงใจ คนอื่นเขายังช่วยมานักต่อนักแล้ว แต่เด็กน้อยตรงหน้านี้เขาเองเพิ่งรับเป็นหลานคนใหม่ การช่วยเหลือก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ท่านหลิน ข้าสองคนพ่อลูกคงไม่รบกวนท่านหลินขอรับ บ้านที่พวกข้าจะสร้างไม่ได้ใช้หลังคามุงกระเบื้อง เราจะสร้างบ้านจากดิน ขอเพียงแค่บ้านที่แข็งแรงทนหิมะก็เพียงพอแล้ว ไม้ก็ไปตัดเอาบนภูเขา แรงงานได้ชาวบ้านมาช่วย แลกกับการที่ข้าจะสอนหนังสือให้กับบุตรหลานของพวกเขาหลังฤดูหนาวเสร็จสิ้นแล้วขอรับ” อี้เทาเป็นคนตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง
“อาเทา เมื่อเจ้าจะสร้างบ้านแล้วเหตุใดไม่สร้างให้มันแข็งแรงและดีไปเลยเล่า อีกหน่อยถ้าเจ้ามีเงินจากการขายสูตรอาหารต่าง ๆ ให้กับเหลาอาหารซิ่งฝูแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องสร้างใหม่อีกรอบ” เถ้าแก่หลินออกความเห็น
“ท่านหลิน พวกข้าอยู่บ้านนอก ในชนบทเช่นนั้น การมีบ้านที่สวยงามและแตกต่างจากคนอื่น ข้าว่ามันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีขอรับ บ้านข้าเพิ่งย้ายไปอยู่ใหม่ได้ไม่ถึงสองเดือน หากร่ำรวยเกินหน้าเกินตาชาวบ้านแถบนั้น เกรงว่าจะเป็นที่อิจฉาของคนอื่น ดังนั้นข้าจึงคิดว่าขอให้มีบ้านที่แข็งแรง ทนหิมะ ป้องกันลมหนาว มีจำนวนห้องเพียงพอต่อสมาชิกในบ้านได้ก็ดีมากแล้วขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยอธิบายให้เถ้าแก่หลินไห่ฟัง
ครอบครัวของเขาได้ปรึกษากันเรื่องนี้มาแล้ว หลังจากที่รู้ว่าน้ำตาลผักขายได้ รวมทั้งคาดว่าจะได้เงินจากการขายสูตรอาหารอีก หลี่อ้ายได้เสนอเรื่องการสร้างบ้านให้ดีและสวยงามเหมือนในเมือง แต่อี้หมิงเอ่ยค้านเอาไว้ บุตรชายบอกเหตุผลที่น่านำเอาไปใครครวญถึงความอิจฉาของชาวบ้านที่จะตามมาได้ในภายหลัง
ทำดีได้ แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย
บุตรชายตัวน้อยของเขาเสนอให้มารดารออีกหน่อย เขาสัญญาว่าจะต้องมีบ้านที่ใหญ่กว่าในเมืองหลวงแน่นอน แค่ต้องรอเวลาให้เหมาะสม หากต้องการสร้างบ้านที่ใหญ่โต ร่ำรวยได้อย่างยั่งยืน ครอบครัวจางไม่ควรร่ำรวยอยู่บ้านเดียว ถ้าบ้านจางหาวิธีทำให้ชาวบ้านร่ำรวยไปด้วยกันได้ นั่นคือการปลูกฝังจิตสำนึกของชาวบ้านไปในตัว นอกจากจะได้บุญคุณจากชาวบ้านแล้ว ในอนาคต ชาวบ้านจะช่วยปกป้องครอบครัวจางและไม่ได้นึกรังเกียจว่ามาอาศัยอยู่ใหม่
นอกจากนี้ หมิงเอ๋อร์ยังอธิบายเรื่องการสร้างกลุ่มการค้าขึ้นมาด้วย ในตอนนั้นจางอี้เทายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่บุตรชายของเขาบอกให้รอ อีกไม่นานหลังจากสร้างบ้านเสร็จแล้ว เด็กน้อยจะเริ่มทำกลุ่มการค้า ลูกชายเขาบอกว่าเมืองสวรรค์ต่างก็ใช้วิธีการนี้กันทั้งนั้น
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่ถ้ามีเรื่องอันใดให้ช่วย อย่าลังเลที่จะแจ้งแก่ข้า” หลินไห่เอ่ยสรุปในที่สุด
“ขอบคุณท่านหลินขอรับ/ขอบคุณท่านปู่ขอรับ” สองพ่อลูกสกุลจางยกมือคารวะขอบคุณในความมากน้ำใจของชายชราตรงหน้า
“ในคราแรกข้าจะเปิดเหลาอาหารตามปกติ แต่เมื่อหมิงหมิงน้อยบอกว่าจะไม่ได้เข้ามาในเมืองอีกนาน ดังนั้นวันนี้ข้ายินดีที่จะปิดทำการเหลาอาหารครึ่งวัน เพื่อให้ว่าที่เถ้าแก่น้อย หมิงสอนการทำอาหารให้กับพ่อครัวของเหลาซิ่งฝู ดีหรือไม่” หลินไห่หันไปถามหัวหน้าพ่อครัวที่อยู่ในบทสนทนา
“ดีขอรับ เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกซีฮันให้ปิดเหลาซิ่งฝูครึ่งวัน และให้พ่อครัวพร้อมด้วยคนงานในครัวเตรียมตัวเรียนการทำอาหารนะขอรับ” อู๋เจ๋อตอบรับเถ้าแก่หลิน เขาเดินออกไปทำตามคำที่ได้แจ้งแก่เจ้านายไว้
“ท่านปู่ ถ้าหากว่าข้าสอนทำอาหาร เกรงว่าจะต้องใช้เวลานาน ข้ากลัวว่าข้ากับท่านพ่อจะไปไม่ทันเกวียนลุงผินกลับบ้านวันนี้เป็นแน่ขอรับ”
“อืม หมิงหมิงน้อยไม่ต้องกลัว ปู่จะให้รถม้าที่เหลาซิ่งฝูไปส่งเจ้าที่บ้านเอง ปู่จะได้รู้ว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ไหนด้วย” เถ้าแก่หลินบอกพลางลูบผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
“ดียิ่งขอรับ เช่นนั้นท่านปู่ให้รถม้าไปรับของที่ข้าซื้อไว้ที่ร้านเถ้าแก่หวังก่อนกลับบ้านได้หรือไม่ขอรับ” อี้หมิงเอ่ยถามเสียงออดอ้อน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีมากเพราะเขาจะได้นั่งรถม้าอย่างสบาย และขากลับยังได้ขนของที่ซื้อกลับบ้านวันนี้ด้วย
“เจ้าเด็กขี้งก เดี๋ยวปู่จัดการให้ เรื่องแค่นี้เอง”
หลินไห่ถึงกับเคาะหน้าผากเด็กน้อยไปหนึ่งครั้งด้วยความเอ็นดูและชื่นชมในความฉลาดแกมโกงของเด็กชายตรงหน้า อี้หมิงถึงกับบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เขาใช้หลังมือลูบหน้าผากตนเองป้อย ๆ
“เอ่อ ท่านปู่ขอรับ คนงานและเหล่าพ่อครัวที่เหลาซิ่งฝูไว้ใจได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงกระซิบถามหลินไห่หลังจากที่เห็นว่าอู๋เจ๋อออกจากห้องไปแล้ว เขาพยายามอ้อนแต่ท่านปู่ก็หาได้สนใจมาง้อตนเองไม่ จึงเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นจริงจังขึ้นทันที
“หมิงหมิงน้อย ปู่มั่นใจว่าคนงานทุกคนที่เหลาซิ่งฝูไว้ใจได้ เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่า”
“เพราะสูตรอาหารต่าง ๆ ที่ข้าสอนไปในวันนี้ มันคือวิธีการทำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หากว่าคนงานไว้ใจไม่ได้ ข้าเกรงว่าจะนำความเดือนร้อนมาให้กับเหลาซิ่งฝูในภายหลังได้น่ะขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยไม่ต้องห่วง คนงานที่เหลาซิ่งฝูเปรียบเสหมือนครอบครัวเดียวกัน ปู่เชื่อใจพวกเขา”
“เช่นนั้นก็ดีมากขอรับ”
เมื่อได้คำมั่นจากเถ้าแก่เหลาอาหารซิ่งฝู พวกเขาทั้งสามคนจึงเดินกลับไปที่ครัวอีกครั้ง ณ ตอนนี้ อู๋เจ๋อ อู๋หมิน พ่อครัวและคนงาน ต่างอยู่ในห้องครัวด้วยความพร้อมเพรียง หลินไห่สั่งให้ซีฮันบอกคนขับรถม้าให้ไปรับสิ่งของที่อี้หมิงซื้อไว้ที่ร้านเถ้าแก่หวังโดยนำใบรับสินค้าไปด้วย
“วันนี้ข้าจะสอนท่านลุงและพี่ชายทั้งหลายทำซอสหรือน้ำปรุงรสมะเขือเทศสำหรับใส่ในผัดผักต่าง ๆ และน้ำมันสำหรับผัดทั่วไปขอรับ ท่านพ่อ ข้าขอมันหมูด้วยขอรับ”
จางอี้หมิงหันไปขอวัตถุดิบจากบิดาซึ่งได้มาจากร้านขายเนื้อในวันนี้
จางอี้เทาหยิบมันหมูส่งให้บุตรชายซึ่งเขานำไปวางไว้บนโต๊ะเตรียมวัตถุดิบเหมือนเช่นเคย
“น้ำมันได้มาจากการรีดน้ำมันออกจากไขมันหมูด้วยความร้อน สิ่งที่ต้องระวังได้แก่.........”
อี้หมิงเริ่มต้นสอนวิธีการเจียวน้ำมัน การทำซอสมะเขือเทศอย่างง่าย รวมถึงวิธีการเก็บรักษาด้วย ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยนี้ เด็กน้อยถ่ายทอดมันให้กับอู๋เจ๋อ อู๋หมิน เหล่าพ่อครัวและคนงานตลอดทั้งบ่าย
เด็กชายตัวน้อยเหนื่อยเป็นที่สุดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างจางอี้หมิงอายุห้าขวบคนนี้ เขาต้องพูดอยู่คนเดียวนานหลายชั่วยาม อู๋เจ๋อดูจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะข้อควรระวังต่าง ๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เด็กน้อยได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเขา มันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่หัวหน้าพ่อครัวไม่เคยได้รู้มาก่อน
สถานะตอนนี้จึงกลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ กลายเป็นเจ้าหนูจำไม ถามจนบางครั้งอี้หมิงถึงกับหาคำตอบให้ไม่ได้ แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเด็กน้อยจึงได้ตอบคำถามอย่างลื่นไหลแม้ว่าจะเป็นการตอบแบบดำน้ำ (แถจนสีข้างถลอก) ก็ตาม
ไม่มีใครรู้ความจริงนี่นา
ส่วนเหล่าคนงานและพ่อครัว อี้หมิงสอนในส่วนของการตกแต่งจาน การเตรียมวัตถุดิบเพื่อส่งต่อให้พ่อครัวได้ลงเตาปรุงอาหาร รวมถึงการกะปริมาณวัตถุดิบแต่ละชนิด ใช้เวลานานกว่าการสอนจะเสร็จสิ้น
“หลานชาย ข้าได้สอนให้พวกเจ้าทำอาหารที่แสนวิเศษนี้ขึ้นมา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่นำความลับนี้ไปขายให้กับที่อื่น ถ้าหากข้ารู้ว่าพวกเจ้าทรยศ ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย” หลินไห่เอ่ยขึ้นเมื่อการสอนต่าง ๆ จบลง
“เถ้าแก่ พวกข้าขอสาบานว่าจะไม่วันทรยศเหลาซิ่งฝูแน่นอนขอรับ พวกข้ามีชีวิตที่ดีเช่นทุกวันนี้เพราะได้รับความเมตตาจากเถ้าแก่ ข้าจะไม่ทุบหม้อข้าวตนเองเป็นแน่ขอรับ” หนึ่งในคนงานได้เป็นตัวแทนเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็ดี”
“ท่านลุงอู๋อย่าลืมนะขอรับ น้ำมันต้องเก็บในที่มิดชิด ถ้าเปิดนาน ๆ จะเหม็นหืน เสีย ใช้ไม่ได้ ส่วนเวลาล้างทำความสะอาดหม้อหรือถ้วยที่ใส่อาหารจากการผัด ต้องใช้น้ำร้อนลวกล้างเอาไขมันออกก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่สะอาด”
“สำหรับซอสมะเขือเทศสามารถใช้ในการจานผัดได้ทุกจานเลยขอรับ ในครั้งถัดไปข้าจะสอนรายการอาหารกินเล่นให้นะขอรับ”
“ขอบใจมากหมิงหมิงน้อย เช่นนั้นข้าต้องไปเอามันหมูจากร้านขายเนื้อมาทำเช่นนี้ใช่หรือไม่” อู๋เจ๋อเอ่ยถาม
“ท่านลุงอู๋ ข้าแนะนำว่าให้ท่านลุงไปทำข้อตกลงกับคนขายเนื้อจะดีที่สุดขอรับ จะซื้อขายหรือได้เปล่า ข้าเชื่อว่าท่านลุงอู๋จัดการได้แน่นอนขอรับ”
“ได้ ๆ เช่นนั้นลุงจะปรึกษาเถ้าแก่อีกที”
“ด้วยความยินดีขอรับ” อี้หมิงตอบพลางหาวออกมา อาจจะเป็นเพราะร่างกายนี้ยังเป็นเด็ก ทั้งยังการที่สองคนพ่อลูกออกบ้านมาตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ก็เกือบยามเซิน (15.00 – 16.59) แล้ว ร่างกายจึงอ่อนล้า ยิ่งต้องใช้พลังงานในการพูดและสอนการทำอาหาร จางอี้หมิงจึงรู้สึกง่วงเป็นที่สุด
“ท่านพ่อ ข้าเหนื่อยและง่วงมากขอรับ” เด็กน้อยเดินไปข้างบิดา เขากางแขนออกทั้งสองข้าง อี้เทาเห็นเช่นนั้นจึงอุ้มบุตรชายมานั่งบนตัก เด็กชายพิงอกจางอี้เทาไม่นานก็ผล็อยหลับไป
“อาเทา พวกเจ้ากลับบ้านได้แล้ว ขอบใจพวกเจ้าสองคนพ่อลูกอีกครั้งที่ทำให้เหลาซิ่งฝูมีโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งในอนาคต รอข้าสักประเดี๋ยว” หลินไห่เอ่ยกับจางอี้เทาที่ตอนนี้ได้อุ้มบุตรชายแนบอกเดินออกไปทางหน้าเหลาซิ่งฝู รถม้าเหลาอาหารได้จอดรอและเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว หลินไห่ยื่นเงินแปดตำลึงให้อี้เทาซึ่งเป็นเงินที่เขาอยากให้ราคาผ้าปักเท่ากับร้านขายผ้า
.
รถม้าคันใหญ่ออกจากเหลาอาหารซิ่งฝูมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหลัวถง ข้างในรถม้า จางอี้เทานั่งจ้องมองใบหน้าเล็กนั่นด้วยความรักท่วมท้น ถึงแม้ว่าร่างกายจะยังผอมแห้ง แต่ในสายตาบิดาเช่นเขา บุตรชายช่างน่ารักยิ่ง เมื่อใกล้จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จางอี้เทาจึงปลุกอี้หมิงให้ตื่น เด็กน้อยลืมตางัวเงียขึ้นมามองไปรอบด้าน ศีรษะเล็ก ๆ นั่นถูกวางไว้บนตักของบิดาอย่างทะนุถนอม
“ท่านพ่อ พวกเราอยู่ที่ไหนขอรับ”
“ใกล้ถึงบ้านแล้วหมิงเอ๋อร์ พ่อปลุกเจ้าให้ตื่นก่อนถึงบ้าน หมิงเอ๋อร์จะได้สดชื่นเมื่อต้องเล่าเรื่องในวันนี้ให้ท่านย่าและมารดาของเจ้าฟัง แล้วอย่าลืมของขวัญที่ซื้อมาฝากพวกเขาด้วยเล่า” จางอี้เทาเอ่ยหยอกเย้า
“ท่านพ่อ ข้ามิใช่คนขี้อวดนะขอรับ ส่วนปิ่นของขวัญข้าจะให้ท่านย่า ท่านพ่อต้องเป็นคนมอบให้ท่านแม่เองสิขอรับ ท่านแม่จะได้ดีใจที่ท่านพ่อมีของขวัญมาให้”
จางอี้หมิงหน้างอเมื่อถูกกล่าวหาว่าตนเองเป็นคนอี้อวดพูดมาก
“ได้ ๆ หมิงเอ๋อร์มอบให้ท่านย่า ส่วนพ่อจะมอบให้ภรรยาสุดที่รักของพ่อเอง ฮะ ฮะ ฮะ” บัณฑิตหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยความยินดี เช่นนี้ภรรยาเขาอาจจะตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉกเช่นสามีภรรยาบ้าง เพราะตั้งแต่พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ก็ห่างหายเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาไปนานหลายเดือน
จางอี้หมิงตื่นนอนได้ไม่นาน รถม้าก็เดินทางมาหยุดลงที่หน้าบ้านของตนเอง จางอี้เทาลงจากรถม้าเป็นคนแรกแล้วหันมาอุ้มบุตรชายตามลงไป คนขับรถม้าเดินตามมาสมทบเพื่อช่วยขนของทุกอย่างเข้าไปในบ้านให้เรียบร้อย หูไป๋หงและหลี่อ้ายรีบออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสามีและบุตรชายจึงเข้ามาช่วยขนของเข้าไปไว้ในบ้านด้วยอีกคน
“อาเทา เหตุใดเจ้าจึงกลับบ้านมาช้านัก แม่กับลูกสะใภ้เป็นห่วงพวกเจ้ายิ่ง” นางหูเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง วันนี้ทั้งวันนางเป็นกังวลนักเมื่อสองพ่อลูกไม่กลับบ้านเสียที
หลังจากที่กล่าวขอบคุณและคนขับรถม้าจากไปแล้ว สองพ่อลูกจึงนั่งลงที่แคร่สำหรับกินข้าวกลางบ้านพร้อมหน้า
“ท่านแม่ วันนี้เกิดเหตุมากมายในตอนที่พวกข้าเข้าไปในเมืองเพื่อขายสูตรอาหารขอรับ จึงทำให้กลับมาช้า” จางอี้เทาตอบมารดา
“เหตุร้ายหรือดีเจ้าคะ” หลี่อ้ายถามด้วยความตกใจ เพียงแค่ได้ยินว่าเกิดเหตุ นางก็หวั่นใจไปก่อนแล้ว
“น้องหญิงมิต้องวิตกไป ไม่มีอันใดร้ายแรง พี่ถือว่าเป็นเรื่องดีมากกว่า เอาเป็นว่าพี่กับหมิงเอ๋อร์จะไปล้างเนื้อล้างตัวให้เรียบร้อย แล้วข้าจะเล่าให้ฟังในตอนหลังกินข้าว ดีหรือไม่ขอรับ” อี้เทาเอ่ยปลอบใจภรรยาและหันไปถามความเห็นมารดา
“ได้ พวกเจ้าสองคนพ่อลูกไปล้างเนื้อล้างตัวเถอะ เข้าเมืองไปทั้งวันคงเหนื่อยไม่น้อย แม่จะทำอาหารไว้รอ อาเทาก็ค่อยเล่าให้ข้ากับเมียเจ้าฟังตอนหลังกินข้าวเสร็จตามที่เจ้าว่ามานั่นแหละ” นางหูสรุปให้แต่ละคนฟัง
อี้เทาคว้ามือพาบุตรชายไปล้างตัว ส่วนหลี่อ้ายและหูไป๋หงแยกตัวไปทำอาหารตามที่ได้ตกลงกันไว้
หลังกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนจึงมานั่งรวมกันที่แคร่ไม้อันเดิม จางอี้เทาเป็นฝ่ายเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่พวกเขาสองคนพ่อลูกถูกเสี่ยวเอ้อร์เหลาอาหารเฟิงฟู่ไล่ด้วยไม้กวาด จนถูกตามตัวไปพบเถ้าแก่หลินผู้เป็นเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝู จางอี้หมิงคารวะน้ำชาเป็นหลานชายเถ้าแก่ร้านซิ่งฝู รวมไปถึงการสอนการทำหมูพะโล้
จางอี้เทามอบเงินทั้งหมดให้กับมารดาเป็นผู้เก็บไว้ รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณหกสิบสี่ตำลึง ซึ่งได้มาจากร้านขายผ้าปักสี่สิบสี่ตำลึง ห้าร้อยอีแปะ ขายชุดผ้าปักให้เถ้าแก่หลินสิบตำลึง และประมูลอาหารสิบตำลึง
“อาเทา เรามีเงินมากเช่นนี้เชียวหรือ” นางหูมือไม้สั่น นางก้มหน้ามองกองเงินมากมายในมือด้วยความตื้นตัน หลังจากที่ออกมาจากเมืองหลวง อย่าว่าแต่เงินตำลึงเลย เงินอีแปะก็หามีไม่
“ขอรับท่านแม่ ต่อไปเมื่อเราได้ค่าสูตรอาหาร บ้านเราจะมีเงินมากกว่านี้ขอรับ”
“สะใภ้ เงินค่าขายผ้าปักให้สะใภ้เก็บไว้ เพราะมันเป็นของส่วนตัวของเจ้า” นางหูพยักหน้ารับ แล้วจึงยื่นเงินให้กับหลี่อ้าย
“ท่านแม่ ข้าบอกท่านพี่ไปแล้วว่าเงินนี้เราต้องใช้ในการซื้อของเข้าบ้านใหม่ เงินของข้าก็คือเงินของครอบครัว ข้าแต่งให้ไก่แล้ว ก็ต้องเป็นไก่ตามสามี อันใดที่ข้าช่วยได้ข้ายินดีเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายยื่นมือผลักเงินคืนกลับไปให้แม่สามีอย่างอ่อนน้อม
“สะใภ้ เจ้าช่างเป็นสะใภ้ที่ดียิ่ง” นางหูยกยิ้ม ตบมือลงไปบนหลังมือของหลี่อ้ายอย่างขอบคุณ
หลังจากที่ซาบซึ้งกันไปแล้ว จางอี้เทาจึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่สุดท้ายคนที่บอกว่าตนเองไม่ใช่คนขี้อวดก็ยึดการเล่าเรื่องไปไว้ที่ตนเอง เสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังแสดงท่าทางประกอบ มือไม้ยกพันกันให้วุ่น ส่งผลให้ผู้ใหญ่ทั้งสามมองด้วยความเอ็นดู
เหตุใดบุตรชาย หลานชายของพวกเขาถึงได้น่ารักน่าชังถึงเพียงนี้
หากทุกอย่างเป็นตามที่เด็กน้อยเล่า บ้านเรามีเงินเก็บหลายตำลึงเงินแล้ว หากไม่ได้เด็กชายตรงหน้า พวกเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านสกุลจางจะผ่านสถานการณ์เลวร้ายไปได้เช่นไร หมิงเอ๋อร์ช่างเป็นบุตรที่สวรรค์ประทานให้จริง ๆ
“โอ้ หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก่งถึงเพียงนี้เชียว อาหารทั้งหมดนั้นก็เป็นอาหารสวรรค์เช่นนั้นหรือ” นางหูเอ่ยปากถาม
“ใช่แล้วขอรับท่านย่า ข้าวผัดไข่อร่อยมากเลยใช่หรือไม่ขอรับ” อี้หมิงตอบก่อนหันไปถามความเห็นบิดา
“ท่านแม่ ข้าวผัดไข่อร่อยมาก จริงดั่งที่หมิงเอ๋อร์ว่าขอรับ”
“เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ต้องสอนท่านย่ากับแม่ให้ทำข้าวผัดไข่เสียแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะกินข้าวผัดไข่ได้เช่นไร” หลี่อ้ายลูบไปบนผมดกดำของบุตรชายด้วยความเอ็นดู
“แน่นอนขอรับ ข้าจะสอนให้ท่านย่ากับท่านแม่ทำอาหารอร่อย ๆ หลาย ๆ อย่างเลยขอรับ ต่อไปข้าจะอ้วนแล้ว ท่านย่าดูสิขอรับ แขนข้าเล็กนิดเดียว มันจะหักหรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงชูแขนของตนเองให้นางหูดู พลางเดินเข้าไปกอดท่านย่าอย่างออดอ้อน ส่งผลให้จางอี้เทากับหลี่อ้ายหันหน้ามาสบตากันอย่างมีความสุข ภาพแห่งความเปรมปรีดิ์แบบนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีเด็กน้อยนามว่า จางอี้หมิง
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าลืมอันใดไปหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยเตือนบุตรชาย
อี้หมิงหันหน้ามามองบิดาพลางยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความมึนงง
เขาลืมอะไรไปเหรอ
จางอี้เทาจึงได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะส่งสัญญาณบุ้ยปากไปบนศีรษะของภรรยา จางอี้หมิงจึงฉุกคิดได้
“ข้าจำได้แล้วขอรับท่านพ่อ” เด็กน้อยตอบคำถามแล้วแบมือออกไปข้างหน้า จางอี้เทาหยิบห่อผ้าอันเล็กจากอกเสื้อส่งไปให้บุตรชาย
“ท่านย่าขอรับ ข้ามีของขวัญให้ท่านย่าด้วย ลองเปิดดูสิขอรับว่าท่านย่าชอบหรือไม่” จางอี้หมิงวางห่อผ้าสีเรียบไร้ลวดลายลงบนมือของท่านย่า
นางหูถึงกับขมวดคิ้ว นางมองดูโดยรอบแล้วจึงค่อยคลี่ห่อผ้าออก ข้างในมีปิ่นเงินอันเล็ก ๆ ที่มองดูแล้วก็ไม่ได้มีราคาแพงมากเช่นเครื่องประดับที่ตนเคยมีเมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลวง แต่นี่เป็นเครื่องประดับชิ้นแรกที่ตนเองได้รับเป็นของขวัญ หลังจากที่มาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงแห่งนี้ แล้วยังมาจากหลานชายที่รักอีกด้วย
นางหูถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ เอ่ยละล่ำละลักบอกหลานชายด้วยความยินดี
“มะ หมิงเอ๋อร์ ให้ย่าเช่นนั้นหรือ มันสวยมาก ย่าชอบมาก ย่าขอบใจหมิงเอ๋อร์”
นางดึงหลานชายคนเดียวเข้ามาสวมกอด หญิงชราไม่ได้ปลื้มใจที่ได้ปิ่น แต่นางดีใจที่หลานชายรู้จักรักและคิดถึงนางมากกว่า
จางอี้เทาเห็นเช่นนั้นแล้วจึงมอบปิ่นให้กับภรรยาบ้าง หลี่อ้ายถึงกับน้ำตาคลอตามนางหูไปอีกคน
“น้องหญิง ของขวัญชิ้นนี้ถึงแม้ว่าจะมีราคาน้อย ไม่ได้มีค่าเทียบเท่ากับเครื่องประดับที่น้องหญิงเคยมี แต่พี่เลือกและมอบให้น้องหญิงด้วยความรักทั้งหมดที่มี พี่สัญญาว่าในอนาคตน้องหญิงจะมีเครื่องประดับที่สวยงามมากกว่านี้แน่นอน”
“ท่านพี่ ข้าดีใจเจ้าค่ะ ข้าดีใจที่ท่านพี่ยังรักข้าเหมือนเดิม ข้าหาสนใจมูลค่าของมันไม่ ข้าสนใจที่มันเป็นสิ่งที่ท่านพี่มอบให้ข้าต่างหากล่ะเจ้าคะ” หลี่อ้ายโผเข้ากอดสามีด้วยความยินดี
“เช่นนั้นให้พี่ปักให้เจ้าดีหรือไม่” จางอี้เทาโอบกอดภรรยาแล้วบรรจงจูบลงไปบนผมของนางด้วยความรักทั้งหมดที่เขามีต่อคนในอ้อมกอด
“รบกวนท่านพี่แล้ว” หลี่อ้ายยื่นปิ่นเงินเล็ก ๆ นั้นให้สามีได้ปักปิ่นให้กับนาง
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ข้าก็รักพวกท่านนะขอรับ กอด กอด”
จางอี้หมิงแกล้งไปนั่งลงบนตักของจางอี้เทาเพื่อขัดขวางคู่สามีภรรยาที่กำลังแสดงความรักกัน ทำให้ชายหนุ่มต้องปล่อยอ้อมกอดภรรยามากอดบุตรชายที่กำลังแกล้งเขาแทน
เมื่อเจ้าแกล้งบิดาเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าบิดาใจร้ายนะ
จางอี้เทายิ้ม เขาใช้มือจิ้มไปตามสีข้างและลำตัวของบุตรชายเป็นการเอาคืน ส่งผลให้จางอี้หมิงถึงกับร้องขอให้ท่านย่าช่วย
“ท่านย่า ฮ่า ๆ ท่านย่า ช่วยข้าด้วย”
จางอี้หมิงดิ้นตัวไปมาภายในอ้อมแขนของบิดา เขาหัวเราะจนน้ำตาไหล ปากก็เรียกหาท่านย่าให้ช่วยไม่หยุด
หูไป๋หงได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มให้กับภาพตรงหน้า คำว่าหมดห่วงและหมดกังวลเป็นเช่นนี้เองสินะ ต่อไปครอบครัวของนางคงมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นแน่
ขอบคุณสวรรค์ที่ประทานหลานชายที่ดีเช่นนี้มาให้นางได้ชื่นใจ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?