เด็กน้อยเริ่มกลับมาสดใสหลังจากนอนป่วยอยู่สองวันเต็ม จางอี้หมิงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมป่วยอีกเด็ดขาด
เขาเกลียดการกินยาต้มเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาลผักมาช่วยแล้วก็ตาม มันก็ยังขมจนเคลือบลิ้นอยู่ดี
เช้าวันใหม่มาเยือน
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบพื้นหญ้า ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นขอบฟ้าในยามเฉิน (07.00
– 08.59) สมาชิกบ้านจางคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นนอนและกินมื้อเช้ากันหมดแล้ว
เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวของบ้านที่ยังคงนอนอุตุอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างสบายใจ
“ท่านพี่อี้เทาขอรับ ท่านพี่อี้เทา...” เสียงเรียกชื่อจางอี้เทาตรงหน้าประตูบ้านดังติดต่อกันหลายครั้ง
ส่งผลให้จางอี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย
เขาใช้หลังมือขยี้ตาอยู่สักพักจึงตื่นเต็มตา แต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น
“ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้าน”
นางหูเอ่ยปากถามออกไป
“นั่นสิเจ้าคะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน”
หลี่อ้ายเองก็สงสัยไม่แพ้กัน ปกติแล้วบ้านสกุลจางของพวกนางมีคนแวะเวียนมาหาบ่อย
ๆ เสียเมื่อไหร่ น่าแปลกใจนัก
“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง” จางอี้เทาเอ่ยบอกมารดาและภรรยา
เขาเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน
“ผู้ใดกันที่มาเยือนแต่เช้าเช่นนี้ อ้าว
อาคุนนั่นเอง มีอันใดหรือ ถึงได้มาเสียตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีเช่นนี้”
“อรุณสวัสดิ์ขอรับพี่อี้เทา
ข้าต้องขออภัยที่มารบกวนตั้งแต่เช้า” อาคุนเอ่ยตอบด้วยความเกรงใจชายหนุ่มตรงหน้า
“เป็นเถ้าแก่หวังเร่งให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่พี่อี้เทาขอรับ
ข้าจึงได้มาแต่เช้า”
“มีข่าวอันใดจากเถ้าแก่หวังเช่นนั้นหรืออาคุน”
“เถ้าแก่หวังให้ข้ามาแจ้งแก่พี่อี้เทาว่าน้ำตาลผักรอบที่แล้วนั้นขายหมดแล้ว
สินค้าไม่พอที่จะจำหน่าย
เถ้าแก่หวังจึงให้ข้านำไหเปล่ามาส่งให้พี่อี้เท่าอีกห้าร้อยไหขอรับ
เถ้าแก่หวังฝากมาถามว่า จะส่งสินค้าภายในสองวันได้หรือไม่”
“โอ้...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง”
อี้เทายิ้มกว้างก่อนจะตอบไปว่า “ถ้าอีกจำนวนห้าร้อยไหเช่นครั้งที่แล้ว
ข้าคงไม่สามารถส่งได้ภายในสองวัน หากเป็นสามวันเช่นครั้งก่อนก็ไม่เป็นปัญหาอันใด”
“ได้ขอรับ ข้าจะนำข่าวไปแจ้งให้เถ้าแก่หวังตามนี้
เช่นนั้นพี่อี้เทาจะให้ข้าขนไหเปล่าเข้าไปไว้ในบ้านได้เลยหรือไม่ขอรับ”
“รบกวนอาคุณแล้ว”
หลังจากแจ้งข่าวเสร็จแล้ว
สองบุรุษจึงช่วยกันขนไหเปล่าทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในบ้าน
อาคุนไม่ลืมมอบเงินสามตำลึงที่เถ้าแก่หวังให้มาเป็นค่ามัดจำ เมื่อเสร็จแล้ว
คนขับรถม้าหนุ่มจึงได้ขอตัวกลับไป
“อาเทา เถ้าแก่หวังให้คนนำไหเปล่ามาให้ใหม่อีกเช่นนี้
คงมิได้หมายความว่าสินค้าอันเก่าขายหมดเกลี้ยงแล้วเช่นนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับท่านแม่ เถ้าแก่หวังขอเวลาสองวัน
แต่ข้าปฏิเสธไป ขอเป็นสามวันเหมือนเช่นเดิม ท่านแม่ขอรับ
นี่เป็นเงินค่ามัดจำน้ำตาลผักรอบนี้ จำนวน 3 ตำลึงขอรับ”
จางอี้เทาตอบกลับและมอบเงินให้มารดาของตนเก็บไว้
“โอ้ ช่างดีจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าน้ำตาลผักจะขายดีเช่นนี้”
นางหูอุทานออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเงินจากบุตรชาย
เพราะนั่นหมายถึงว่าบ้านสกุลจางจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย
อาจจะเพียงพอสำหรับซื้อเสบียงเก็บไว้กินในฤดูหนาวที่จะมาถึงในเร็ววันนี้
“ท่านพี่ ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง หมิงเอ๋อร์หายป่วย
เถ้าแก่หวังมีใบสั่งซื้อมาอีก ข้าดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายน้ำตาซึม
นางไม่คิดว่าจะมีเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกแล้วหลังจากถูกปล้น แต่ในตอนนี้ครอบครัวสามารถหารายได้ได้แล้ว
“ท่านแม่ขอรับ”
จางอี้หมิงที่นอนฟังจนจับใจความได้ทั้งหมดร้องเรียกมารดา
เขาทำทีแสร้งว่าเพิ่งตื่นนอนขึ้นมา
“หมิงเอ๋อร์ รู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง
ยังปวดหัวอยู่หรือไม่”
หลี่อ้ายผละจากวงสนทนาเข้าไปดูบุตรชายซึ่งตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งอยู่กลางฟูกนอน
“ไม่เจ็บแล้วขอรับ ข้าหายดีแล้ว”
“ดี ดียิ่ง หมิงเอ๋อร์
ต่อไปเจ้าอย่าได้ซนเช่นนี้อีกรู้หรือไม่ เวลาเจ้าเจ็บป่วยทุกครั้ง มารดาของเจ้าปวดใจยิ่ง”
“ข้าทราบแล้วขอรับ ข้าสัญญา ต่อไปข้าจะระวังตัวและดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้
ข้าขอโทษนะขอรับ”
“ไม่เป็นไร หมิงเอ๋อร์หิวหรือไม่ แม่ทำโจ๊กเปล่าไว้
เนื้อหมูหมดแล้ว คงได้แต่เติมน้ำตาลผักเท่านั้น”
จางอี้หมิงพยักหน้ารับ
เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเนื้อหมูที่มีคงจะหมดประมาณช่วงนี้ เด็กน้อยขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น
“ข้าขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะลูก เดินระวัง ๆ ด้วย”
หลี่อ้ายตอบรับก่อนที่จะลุกไปตักโจ๊กมาให้จางอี้หมิง
ส่วนจางอี้เทา หลังจากที่ได้รับใบสั่งซื้อน้ำตาลผักมาอีกห้าร้อยไห
เขาก็บอกภรรยากับมารดาว่าจะขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานเพื่อนำมาตากแห้งตอนนี้เลย
เนื่องจากใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็ว ช่วงเวลากลางวันจึงสั้นตามไปด้วย
เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการตากต้นหญ้าหวานมากกว่าหนึ่งวัน
“ท่านพี่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์หายดีแล้ว
ข้าไปช่วยจะได้เสร็จเร็วขึ้น” หลี่อ้ายเมื่อนำโจ๊กมาให้บุตรชายแล้วจึงเอ่ยบอกสามี
“น้องหญิง เจ้ายังไม่แข็งแรง
พี่เกรงว่าจะล้มป่วยไปอีกรอบ” จางอี้เทาปฏิเสธ
ถึงแม้ในตอนนี้อากาศจะไม่ร้อนมากแต่ให้หลี่อ้ายออกไปทำงานในช่วงนี้เลยคงจะไม่ดี
“ท่านพี่ ให้ข้าตามขึ้นไปช่วยท่านพี่เถอะนะเจ้าคะ
อย่างน้อยจะได้ไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้าไม่อยากให้หมิงเอ๋อร์ขึ้นเขาอีก
ลูกเพิ่งหายไข้ น้องอยากให้ลูกได้พักก่อนเจ้าค่ะ”
“พี่ไปคนเดียวได้ ไม่หนักหนาอันใด แต่เอาเถอะ
พี่ขอบใจน้องหญิงที่มีใจอยากช่วยเหลือ เช่นนั้นไปกันเถอะ”
จางอี้เทาเตรียมห้ามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของภรรยาจึงปฏิเสธไม่ลง
เอาเถอะ...ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยระหว่างทาง
เขาจะให้นางแบกตะกร้าที่ไม่หนักมากนักแทน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ช่างรักกันยิ่ง
แต่เหตุใดข้าถึงยังไม่มีน้องชายน้องสาวมาเป็นเพื่อนเล่นเล่าขอรับ”
จางอี้หมิงที่นั่งร่วมวงอยู่เงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาหน้าซื่อตาใส
“มะ หมิงเอ๋อร์ เจ้ากล่าวอันใด แม่ไม่คุยกับเจ้าแล้ว
ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายเขินอายกับคำถามของบุตรชายจนใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ
รีบดึงแขนสามีให้เดินออกจากบ้านไป
นั่นสินะ!
เขาจะมีน้องสาวน้องชายได้อย่างไรเล่าในเมื่อความเป็นอยู่ยังเป็นเช่นนี้
จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ บ้านที่เป็นเหมือนห้องสี่เหลี่ยม
ไม่มีห้องนอนเป็นของตนเอง สี่ชีวิตนอนรวมกัน
ตอนมาคราแรกเขายังไม่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านด้วยซ้ำ
แล้วเช่นนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะมีเวลาส่วนตัวได้เช่นไร
แต่ไม่เป็นไร...อีกไม่ถึงเจ็ดวัน บ้านสกุลจางหลังใหม่จะได้ฤกษ์ก่อสร้างแล้ว
รออีกนิดนะขอรับท่านพ่อท่านแม่
จางอี้หมิงบอกตนเองในใจเงียบ ๆ
หลังจากที่บิดามารดาออกไปจากบ้านแล้ว
กระท่อมปลายนาจึงเหลือเพียงนางหูกับจางอี้หมิง หญิงชราลุกขึ้นยืน
นางบอกกับหลานชายว่าจะไปซักผ้าที่ลำธารและเก็บผักบุ้งมาผัดกับเครื่องเทศสำหรับอาหารกลางวัน
จางอี้หมิงพยักหน้ารับแต่โดยดี พอเริ่มว่างเขาก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรสักอย่างที่สำคัญมาก
ๆ ไป แต่ก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร
สุดท้ายเขาจึงเดินไปรอบ ๆ บ้าน จะกล่าวให้ถูกก็คือเดินไปรอบ ๆ
ห้องสี่เหลี่ยมเผื่อว่าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง หูไป๋หงกลับมาจากซักผ้าแล้ว
นางตากผ้าจนเรียบร้อยแล้วจึงถือผักบุ้งเดินเข้ามา
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังหาสิ่งใดหรือ”
เมื่อเห็นหลานชายเดินวนไปวนมาในบ้านจึงถามด้วยความสงสัย
นางเดินผ่านไปเพื่อวางตะกร้าผักบุ้งไว้ที่ส่วนครัว
“ท่านย่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ
เพียงแต่เหมือนข้าจะลืมอะไรสักอย่างที่มันสำคัญมาก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออันใด
ข้าจึงลองเดินรอบ ๆ บ้านดูขอรับ”
“เช่นนั้นก็ค่อย ๆ คิดดูนะ”
นางหูบอกพลางเดินไปหยิบห่ออะไรสักอย่างขึ้นมาถือเพื่อนำไปทิ้ง
จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม
“ท่านย่า กำลังทำอันใดอยู่หรือขอรับ”
“อ้อ ดอกหญ้าสายรุ้งน่ะ
ซูลี่เอามาให้เจ้าตั้งแต่เมื่อสามวันที่แล้ว
นางบอกว่าหมิงเอ๋อร์เก็บดอกหญ้าสายรุ้งให้สะใภ้ แต่เจ้าเป็นไข้เสียก่อน ดูสิ
มันแห้งหมดแล้ว ย่าจึงคิดว่าจะเอาไปทิ้งน่ะ” นางหูตอบและเตรียมจะนำหญ้าสายรุ้งออกไปทิ้งด้านนอก
“ท่านย่า อย่าเพิ่งทิ้งขอรับ”
จางอี้หมิงรีบตะโกนบอกท่านย่าของตนเองทันที
เขาหูผึ่งตั้งแต่ได้ยินคำว่าดอกหญ้าสายรุ้งแล้ว สุดท้ายเขาก็รู้แล้วว่าเขาลืมอันใดไป โธ่เอ๊ย...ลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?