ตอนที่ 56 ฤดูหนาวมาเยือน

เหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวันจะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่จางอี้หมิงก็ยังหาทางออกของความฝันที่น่ากลัวนั้นไม่ได้สักที ในแต่ละวันที่ผ่านไป เขาจึงมีท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ความสดใสสมวัยที่เคยมีหม่นหมองไป

ในตอนนี้ บ้านสกุลจางหาได้มีปัญหาเรื่องเงินทองไม่ เนื่องจากรายได้ส่วนแบ่งจากเหลาอาหารซิ่งฝู และน้ำตาลผักจากสกุลซุนที่ทำออกมาขายให้กับเถ้าแก่หวังสำหรับขายให้ชาวเมืองไห่ถังก็มากมายเกินคาด

เมื่อไม่สามารถคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาได้ จางอี้หมิงจึงเลือกใช้เงินในการแก้ไขปัญหา ในเมื่อเขามีเงินอยู่มากมาย เด็กน้อยจึงนำเงินครึ่งหนึ่งที่มี ไปจัดซื้อเสบียงมาเก็บไว้ยังที่ทำการกลุ่มการค้าหลัวถงเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริง ๆ

ทำไงได้ จางอี้หมิงก็แค่เด็กคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน...

อาจจะจริงดังท่านปู่ถงว่า หากเตือนไปแล้วภัยหนาวไม่เกิด ชาวบ้านก็เสื่อมความเชื่อถือ หากเกิดขึ้นจริง เสบียงเหล่านี้คงเพียงพอสำหรับครอบครัวของเขาและอาจจะช่วยชาวบ้านได้นิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ทำจนสุดความสามารถแล้ว

หลังจากกักตุนเสบียงอาหารเตรียมไว้จนพอใจแล้ว เมื่อใกล้ฤดูหนาว จางอี้หมิงจึงทุ่มความสนใจไปที่การปลูกผักเป็นหลัก ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่จางอี้หมิงขลุกอยู่กับสองหมิงตั้งแต่เช้า

“นายน้อยขอรับ ดินเท่านี้เพียงพอหรือไม่ขอรับ”

หมิงจูและหมิงจิน สองพี่น้องแซ่หมิงที่จางอี้หมิงสั่งให้ไปขุดดินมาเก็บไว้สำหรับการนำต้นกล้าลงปลูกในแปลงผัก เดินนำดินกลับมา

เด็กน้อยเลือกทำแปลงผักเป็นชั้น ลดหลั่นกันลงมา ตั้งเป็นชั้น ๆ วางเรียงรายอยู่เต็มบ้านหลังแรกที่จางอี้หมิงให้นายช่างเหอซีสร้างขึ้นเพื่อทดลองการเพาะปลูกผักในฤดูหนาวโดยเฉพาะ

สองพี่น้องตระกูลหมิงเป็นคนขยันมาก เขาทำตามที่จางอี้หมิงสั่งทุกอย่างและยังเรียกจางอี้หมิงว่านายน้อยด้วย เด็กชายบอกเช่นไรพวกเขาก็ไม่รับฟัง เพียงแต่บอกว่าเป็นรับสั่งของหนิงอ๋อง จางอี้หมิงจึงจนใจ อยากเรียกเช่นไรก็ตามใจพี่ชายแล้วกัน

หมิงจูและหมิงจินดีใจมากที่ตนเองมีแซ่เดียวกันกับนายน้อย โดยหารู้ไม่ว่า จางอี้หมิงนั้นสุดแสนจะเหนื่อยใจ ทำไมคนสมัยนี้ถึงได้ชื่อซ้ำกันซะเหลือเกิน เขาชื่อจางอี้หมิง พี่ชายลูกท่านลุงซูเย่ชื่อหมิงเย่ แล้วตอนนี้ยังมามีหมิงจูกับหมิงจินเพิ่มอีก ไหนจะยังท่านหัวหน้ามือปราบฉีหมิงอีกคน รอบ ๆ ตัวเขามีคำว่าหมิงเต็มไปหมด ก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตจะไม่มี หมิงที่ห้า หก เจ็ดตามมา

“เพียงพอแล้วพี่อาจู พี่อาจิน อย่าลืมเอาขี้ม้าแห้งมาผสมในดินด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบ

“ข้าน้อยไม่ลืมขอรับ นายน้อย จะว่าไปแล้ว ในบ้านยังมีพื้นที่ว่างอีกเล็กน้อย ข้าจะทำชั้นปลูกผักเพิ่มดีหรือไม่ขอรับ” หมิงจูเอ่ยถามขึ้นในขณะที่มือของเขาก็นำกล้าผักกาดปลูกลงในหลุมไม้ไผ่ไปด้วย

“ดีขอรับพี่อาจู”

จางอี้หมิงเริ่มเพาะต้นกล้าต่าง ๆ มาตั้งแต่ตอนที่ได้ตกลงรับปากหนิงอ๋องไว้แล้ว เขากะว่าเมื่อเข้าฤดูหนาวก็จะได้นำต้นกล้าลงปลูกเลย แต่มีการเว้นรางไผ่ไว้สำหรับเริ่มกระบวนการตั้งแต่ต้นเมื่อเข้าฤดูหนาวอีกชุดหนึ่ง เพราะหากแคว้นเหลียงมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เขาก็ควรเริ่มเพาะต้นกล้าตั้งแต่เข้าฤดูหนาวเป็นต้นไป

เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด การปลูกผักจึงปลูกในจำนวนไม่มาก หนึ่งชนิดต่อหนึ่งชั้นเท่านั้น

“พี่อาจู หญ้าสำหรับเป็นอาหารให้ม้าได้เตรียมไว้เพียงพอสำหรับฤดูหนาวแล้วหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงสอบถามอีกครั้งเพราะเกรงว่าหากมัวแต่เตรียมเสบียงให้คน แล้วจะลืมเสบียงของม้าด้วย

“เพียงพอแล้วขอรับ นายน้อยมีอันใดสั่งความอีกหรือไม่ หากไม่แล้ว ข้าจะไปหาฮูหยินน้อยหลี่อ้ายเพื่อให้นางเย็บชุดให้ม้าสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ขอรับ” หมิงจูเอ่ยถามนายน้อยขึ้นอีกครั้ง

“พี่อาจู ม้าต้องมีชุดใส่สำหรับฤดูหนาวด้วยหรือขอรับ ข้าไม่เคยรู้มาก่อน” จางอี้หมิงตาโตถามกลับไป

ม้าใส่ชุดอย่างนั้นหรือ เกิดมาจนตายแล้วมาเกิดใหม่ก็เพิ่งเคยได้ยิน เขานึกภาพแล้วคิดว่ามันออกจะดูตลกเสียมากกว่า

“ม้าก็เหมือนคนขอรับ เมื่อถึงฤดูหนาวเลยต้องมีชุดใส่” 

“อ้อ ข้าไม่มีอันใดแล้ว เพียงแค่พี่อาจูต้องมารดน้ำต้นกล้าที่ปลูกนี้ทุกวันก็เพียงพอแล้ว” จางอี้หมิงส่งยิ้มน่ารักไปให้สองพี่น้องหมิงด้วยความสดใส

เอาเถอะ ค่อยรอดูแล้วกันว่าม้าพวกนั้นจะใส่ชุดอย่างไร

 วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ววันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ชีวิตประจำวันของครอบครัวจางและชาวบ้านจึงไม่ต่างไปจากเดินเท่าใดนักในทุก ๆ วัน ผู้ที่ยุ่งตลอดหนึ่งเดือนมานี้เห็นทีจะมีเพียงหลี่อ้ายที่ต้องสอนเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านให้ปักผ้า โชคดีที่การเรียนการสอนเป็นไปด้วยดี หลี่อ้ายหวังว่าช่วงฤดูหนาวที่ชาวบ้านทำอันใดมิได้ เวลาว่างเหล่านี้จะทำให้หญิงชาวบ้านมีงานทำแก้เบื่อได้เป็นอย่างดี

เช้าวันนี้เป็นวันที่จางอี้หมิงมิอยากลุกออกมาจากเตียงนอนสักเท่าไหร่ เพราะเป็นเช้าที่หิมะแรกของปีมาเยือน ความจริงหิมะคงตกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เห็นได้จากที่ลุกออกมาหน้าบ้าน บนพื้นดินที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวโพลนเต็มไปหมด เมื่อลองเหยียบย่างลงไป เท้าน้อย ๆ ของเขาก็จมลงไปเกินข้อแข้ง

“บรื๊ออออ เย็นชะมัด ไม่คิดว่าหิมะมันจะสวยและเย็นขนาดนี้” จางอี้หมิงร้อง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสหิมะ เด็กน้อยวิ่งออกไปหน้าบ้าน เขากระโดดหยองแหยงไปตามพื้นที่มีหิมะราบเรียบ เมื่อมองหันหลังกลับไปจึงเห็นรอยเท้าของตนเอง อี้หมิงถึงกับหัวเราะชอบใจ

ทำไงได้ คนไม่เห็นหิมะนี่นา ประเทศไทยมีสามร้อยหกสิบห้าวันวัน ก็ร้อนไปแล้วสามร้อยหกสิบสี่วัน เว้นไว้หนึ่งวันไว้เผื่อฝนตกฟ้าปิด

“หมิงเอ๋อร์ หิมะกำลังตก กลับเข้ามาในบ้านเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” หลี่อ้ายเห็นบุตรชายกระโดดไปมาอยู่หน้าบ้านท่ามกลางหิมะที่กำลังตกโปรยปรายก็รีบร้องเรียก เห็นได้ว่าบุตรชายกำลังสนุกสนาน แต่ก็เป็นห่วงว่าเจ้าตัวเล็กจะเจ็บป่วยได้

“ท่านแม่ มาเล่นกันขอรับ” จางอี้หมิงนอกจากจะไม่เชื่อฟังคำมารดาแล้ว เขายังเอ่ยชวนหลี่อ้ายให้ออกมาเล่นด้วยกันอีกต่างหาก

“หมิงเอ๋อร์ หากจะเล่นก็มาเอาถุงมือไปสวมไว้ก่อน มือเจ้าคงแข็งไปหมดแล้ว” หลี่อ้ายจึงเอ่ยขอร้องบุตรชาย

“จริงด้วยท่านแม่ ข้าลืมไปขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเตือนเช่นนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้สวมถุงมือ คงเพราะตื่นเต้นกับการเห็นหิมะครั้งแรกจึงทำให้เขาลืมตัวไปหน่อย

เมื่อเดินไปรับถุงมือหนาจากมารดามาทำการสวมใส่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงจึงเดินไปที่รั้วบ้าน ทำการปั้นตุ๊กตาหิมะขึ้นมาหนึ่งตัวที่มีความสูงใกล้เคียงกับตนเอง เอาหินมาแปะไว้เป็นตาและปาก เอากิ่งไม้มาแปะเป็นแขน ก่อนที่จะหันไปมองด้วยความปลื้มใจ

นี่สินะ ความบันเทิงของคนเมืองหนาว

“ท่านแม่ สวยหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงหันมาถามมารดาเสียงใส

“มันคืออันใดหรือหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายถามกลับบุตรชาย

“มันคือตุ๊กตาหิมะขอรับ”

“แม่ว่ามันพอดูได้ แต่ตอนนี้หมิงเอ๋อร์เล่นข้างนอกนานแล้ว กลับเข้ามาในบ้านได้แล้ว” หลี่อ้ายบอกบุตรชายอีกครั้ง

“ขอรับ” จางอี้หมิงขานรับมารดา เขากำลังจะเดินเข้าบ้านไปก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเสียก่อน

“นายน้อยขอรับ เราต้องทำเช่นใดกับผักที่ปลูกดีขอรับ” เป็นหมิงจูที่เดินฝ่าหิมะมาถามถึงบ้านของจางอี้หมิง

“พี่อาจู หลังจากที่ข้ากินข้าวแล้วจะไปที่โรงปลูกผัก พี่อาจูไปรอข้าที่นั่นนะขอรับ อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะตามไป” จางอี้หมิงบอกหมิงจูแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้านไป หลี่อ้ายถึงกับรีบถอดเสื้อกันหนาวที่เปียกหิมะออกจากตัวบุตรชายและหาเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนให้ทันที ก่อนที่จะพาเด็กน้อยไปนั่งลงหน้าเตาผิง

 เมื่อเสร็จสิ้นมื้อเช้า สมาชิกบ้านจางจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง หลี่อ้ายและนางหูนั่งปักผ้าตรงหน้าเตาผิง จางอี้หมิงและบิดาเดินลัดเลาะไปที่โรงปลูกผักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของตนเองมากนัก คาดว่าสองหมิงคงไปรออยู่ที่นั่นแล้ว

“นายน้อยท่านมาแล้ว” หมิงจูเป็นผู้เอ่ยทักขึ้น

“พี่อาจู ผักที่ปลูกเป็นเช่นไรบ้าง” จางอี้หมิงเอ่ยถามเมื่อเข้ามาบริเวณโรงปลูกผัก ปรากฎว่าอุณหภูมิในโรงปลูกผักนี้ช่างหนาวเย็นไม่ต่างจากข้างนอกแม้แต่น้อย ดีเพียงไม่มีลมพัดผ่านเท่านั้น

“ผักเริ่มเหี่ยวลงมากเลยขอรับนายน้อย ส่วนที่เพาะกล้าก็ขึ้นช้ามาก แตกต่างจากหนึ่งเดือนที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด” หมิงจินตอบคำถามนี้

“พี่อาจิน พี่อาจู เราต้องทำให้โรงผักอุ่นขึ้นกว่านี้ขอรับ พี่ ๆ เห็นเตาผิงทั้งสามจุดที่ข้าให้นายช่างเหอทำไว้หรือไม่ นี่เป็นความลับที่ข้าคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ผักโตขึ้นได้ ดังนั้นพี่อาจูกับพี่อาจินต้องก่อไฟขึ้นทั้งสามที่เลยขอรับ แต่ว่าเราจะไม่ให้ไฟแรงมากนักขอรับ ไม่เช่นนั้นผักจะร้อนและตายได้” จางอี้หมิงอธิบาย

“นี่คงมิใช่นายน้อยวางแผนไว้ตั้งแต่แรก ถึงให้ข้ากับอาจินสะสมฟืนมากกว่าปกติถึงห้าเท่าใช่หรือไม่ขอรับ” 

“ถูกแล้วพี่อาจู ในฤดูหนาวอากาศเย็น ผักก็เหมือนคน ไม่ค่อยชอบความหนาว เราเพียงเพิ่มความอุ่นให้ผัก สำหรับแสงแดด ถึงแม้ว่าจะหนาวเพียงไหนแต่ก็ยังพอมีแสงแดดบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่แรงเหมือนฤดูร้อน แต่ข้าคิดว่าผักคงปรับตัวได้ขอรับ” 

สองหมิงได้ยินว่าต้องเพิ่มความอบอุ่นให้โรงปลูกผักจึงแยกตัวกันไปก่อไฟตามที่นายน้อยสั่ง จางอี้เทามีโอกาสจึงกระซิบถามบุตรชายเสียงเบา

“หมิงเอ๋อร์ การปลูกผักในฤดูหนาวแบบนี้ ชาวสวรรค์ก็สอนเจ้ามาเช่นนั้นหรือ” 

“ขอรับท่านพ่อ แต่ว่าข้าไม่มีความมั่นใจเพราะว่าข้าไม่เคยทำมาก่อนเลย ต้องรอให้ถึงฤดูหนาวที่แท้จริงขอรับ ดูจากที่พวกเราทำมาได้หนึ่งเดือนนี้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ว่าข้าไม่รู้ว่าต้นกล้าชุดใหม่ที่เริ่มเพาะในฤดูหนาวจะได้ผลหรือไม่”

จางอี้หมิงชี้ให้บิดาดูต้นกล้าที่ปลูกลงรางไม้ไผ่ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมามากในหนึ่งเดือนนี้ และเบาะสำหรับต้นกล้าเพาะขึ้นมาใหม่ ที่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดงอกออกมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่น้อย

“พี่อาจู ผักไม่ต้องการน้ำมากในฤดูหนาว ไม่ต้องรดน้ำบ่อยนะขอรับ สักวันเว้นวันก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเห็นว่าดินมันแห้งเกินไปจึงค่อยรดก็ได้” จางอี้หมิงไม่วายเอ่ยเตือนสองหมิงให้ระวังเรื่องการรดน้ำ

“นายน้อยขอรับ ถ้าเรารดน้ำตอนนี้ผักมันจะสำลักน้ำเพราะอากาศหนาวหรือไม่” อาจินเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยมานานหลายวันแล้ว

“อาจิน ผักมันจะไปมีความรู้สึกได้เช่นไร” อาจูค้านน้องชาย

“พี่อาจินพูดถูกแล้วขอรับ น้ำในลำธารเย็นมาก ข้าว่าเราตักมาไว้ในห้องนี้ก่อนค่อยเอาไปรดก็นะขอรับพี่อาจู” 

“นายน้อย แล้วปุ๋ยไข่ที่นายน้อยหมักไว้ต้องใส่ตอนไหนขอรับ ตอนนี้กลิ่นไข่ไม่ค่อยมีแล้ว” หมิงจูนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกหนึ่งอย่างที่เขาไม่รู้จะจัดการยังไง

จางอี้หมิงต้องทวนคำพูดของหมิงจูอีกครั้งถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาทำปุ๋ยฮอร์โมนไข่ไว้สำหรับรดผักที่ปลูก ในสมัยนี้ไม่มีนมเปรี้ยว แต่โชคดีที่เขาเคยหาข้อมูลมาก่อนเลยสามารถทำปุ๋ยฮอร์โมนไข่ออกมาได้ ซึ่งมันเป็นการทำแบบง่าย ๆ เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน 

เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับมารดา เพราะในเมื่อไม่มีนมเปรี้ยว เขาจึงทำโยเกิร์ตจากนมแพะแทน เพียงต้มนมแพะให้พออุ่น หยดน้ำมะนาวลงไป หมักไว้ครึ่งวันสำหรับทำเป็นหัวเชื้อโยเกิร์ต แล้วทำโยเกิร์ตโดยการนำหัวเชื้อที่ได้มาผสมในนมแพะต้มพออุ่นแล้วหมักไว้อีกหนึ่งครั้งเพียงเท่านี้ก็ได้โยเกิร์ตแบบธรรมชาติแล้ว แต่เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะกลิ่นนมแรงเกินไป

การทำปุ๋ยฮอร์โมนไข่เมื่อมีโยเกิร์ตแล้วยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพียงหมักไข่ น้ำตาลและโยเกิร์ตไว้ เมื่อมันขึ้นฝ้าหรือราก็สามารถเอาไปใช้ได้แล้ว แต่ด้วยเป็นฤดูหนาวจึงต้องใช้เวลาในการหมักนานขึ้นกว่าเดิม

“พี่อาจูเอาไปผสมน้ำรดต้นผักได้เลยขอรับ ไม่ต้องบ่อยนะขอรับ ระวังมด หนู หรือแมลงมารบกวนต้นผักตามกลิ่นของปุ๋ยไข่ด้วย พี่อาจูจำอัตราส่วนที่ต้องผสมน้ำกับปุ๋ยไข่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยเตือนสิ่งที่ต้องระวังอีกเรื่องหนึ่ง

“ข้าน้อยจำได้ขอรับ ปุ๋ยหนึ่งช้อนต่อน้ำเปล่าหนึ่งถัง” หมิงจูตอบด้วยความมั่นใจ

“พี่อาจูเก่งมากเลยขอรับ อีกไม่ถึงเดือน ต้นผักชุดแรกพวกเราคงเอาไปกินได้” จางอี้หมิงบอกเมื่อเขาเขย่งเท้าขึ้นมองผักกาดที่กำลังเจริญเติบโต ต้นเขียวไม่ถึงกับอวบอ้วนแต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี

“นายน้อย การปลูกผักมิใช่เรื่องง่ายเลยนะขอรับ ต้องใส่ใจทุกขึ้นตอน แต่ข้าก็สนุกมากและมีความสุขที่เห็นต้นผักมันโตขึ้นทุกวัน” อาจินกล่าว

“ความดีความชอบทั้งหมดนี้ต้องยกให้พี่อาจูกับพี่อาจินเลยนะขอรับ” จางอี้หมิงถึงกับยกนิ้วโป้งให้กับสองพี่น้องหมิง

“หามิได้ขอรับ พวกข้าเพียงทำตามนายน้อยสั่งเท่านั้น เป็นนายน้อยต่างหากที่สมควรได้รับความดีความชอบในครั้งนี้” หมิงจูคัดค้าน

“ข้าว่าเช่นนี้เป็นเพราะพวกเราทุกคนดีหรือไม่ขอรับ”

จางอี้หมิง จางอี้เทาและสองพี่น้องหมิงถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจในความไม่ถือตัวของเด็กน้อยตรงหน้า

วันนี้จางอี้หมิงมอบหมายและสอนวิธีการดูแลผัก การรดน้ำ การก่อกองไฟที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้หมิงจูและหมิงจิน เขาฝากความไว้ว่าคงไม่ค่อยได้เข้ามาดูบ่อยครั้ง แต่ถ้าเห็นว่ามีอันใดผิดปกติก็ให้ไปตามได้ ท่านอาจารย์เทียนมีโอกาสมาดูบ้างบางครั้ง แต่เนื่องจากคงจะสอบถามจากสองหมิงแล้ว อี้หมิงจึงไม่ได้สนใจมากนัก

“ท่านพ่อ อุ้มขอรับ” 

จางอี้หมิงเมื่อเสร็จธุระกับสองพี่น้องหมิงแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน แต่ไม่รู้เป็นเช่นไร เขารู้สึกอยากอ้อนบิดาขึ้นมา จึงได้บอกให้จางอี้เทาอุ้มกลับบ้าน บิดาที่ดีเช่นอี้เทาจึงอาจไม่ปฏิเสธเด็กน้อย ในสายตาของผู้เป็นบิดากลับมองแล้วว่าช่างน่ารักเสียเหลือเกิน

จางอี้หมิงเอนคอลงซบไหล่บิดา เขาหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ฤดูหนาวนี้แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นที่สุด แต่ภายในใจกลับรู้สึกอบอุ่นกว่าครั้งไหน

นี่สินะ ความรู้สึกของการมีครอบครัว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ