ในยามเช้าตรู่ของหมู่บ้านหลัวถง ชาวบ้านมากมายต่างทยอยเดินมารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านซุน พวกเขาต่างกำลังอกสั่นขวัญหายกับเหตุการณ์โจรปล้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
หลี่อ้ายยังคงเป็นลมไม่ได้สติ หลังจากถูกสามีพาตัวออกมาจากกองไฟที่ลุกท่วมบ้านและกำลังเผาทุกอย่างให้วอดวายไปต่อหน้าต่อตา นางรับไม่ได้ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวและมารดาสามีติดอยู่ข้างในนั้น หญิงสาวได้แต่กร่นด่าตัวเองในใจ
ไม่น่าให้ทั้งสองคนอยู่ในห้องลับที่บ้านเลย หากออกมาด้วยกันอย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงแม้ว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป
สำหรับชาวบ้านคนอื่นถึงแม้ว่าไม่มีใครต้องสูญเสียชีวิตแต่ก็ถือว่าไม่เห็นทางรอดเช่นเดียวกัน อาหารที่กักตุนไว้ถือว่าน้อยนิดอยู่แล้ว กลับต้องมาถูกโจรปล้นไปเสียหมด ถึงแม้ว่าจะมีเงินทองมากมายฝากไว้ที่ร้านแลกเงินจินฟู่ในเมืองไห่ถังก็จริง แต่อาหารกลับไม่มีให้ซื้อ เช่นนี้แล้วจะมีเงินทองไปเพื่ออันใดกัน
“ทุกคนนั่งลงและเงียบก่อน” ซุนถงในฐานะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตีเกราะเคาะให้ทุกคนเงียบเสียงลง หลังจากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“เหตุโจรปล้นเมื่อคืนนี้ข้าจะเข้าเมืองเพื่อไปแจ้งข่าวแก่ท่านเจ้าเมืองได้รับทราบไว้ ในตอนนี้พวกเราคงทำอันใดมากไม่ได้ถึงแม้ว่าหิมะจะหยุดตกไปแล้วและฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม ขอให้พวกเราเร่งเพาะปลูก อย่างน้อยอีกไม่กี่เดือนจะได้มีอาหารมาไว้เก็บกิน ในช่วงนี้ให้อดทนไปก่อน บางทีท่านเจ้าเมืองอาจจะมีทางออกให้กับพวกเราก็เป็นได้ อย่าเพิ่งท้อถอย
ในป่าช่วงนี้หิมะเริ่มละลายแล้ว หากเป็นไปได้อยากให้ทุกคนเอาอาหารที่หามาได้เอามาไว้เป็นส่วนกลาง มอบให้คนแก่และเด็กน้อยก่อน พวกเจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
“หัวหน้าข้าเห็นด้วย พวกเรายังหนุ่มยังอดทนได้ แต่เด็ก ๆ กับคนแก่ต้องได้กินก่อน” อาห้าวเอ่ยขึ้น
“คงต้องรออีกสักสิบวันกว่าหิมะจะละลายจนหมดจึงจะเริ่มหาทางปลูกผักขุดมัน แต่ช่วงนี้เราจะเอาอาหารมาจากไหนกันเล่าท่านหัวหน้า” ชายชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถาม
“อาเทา พวกข้าเสียใจกับครอบครัวเจ้าด้วย หากต้องการคิดอ่านการใดที่ชาวบ้านช่วยได้ก็ขอให้แจ้งมา บ้านจางมีบุญคุณกับพวกเรามากเช่นนี้ พวกเรายินดีช่วยเหลือเต็มที” หญิงหม้ายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าว นางกำลังอุ้มลูกน้อยอายุประมาณสามขวบไว้ในอ้อมแขน เพราะความมีเมตตาของบ้านจางทำให้ครอบครัวนางผ่านฤดูหนาวมาได้อย่างเฉียดฉิว
“ข้าขอขอบใจพวกท่านยิ่งนัก แต่ตอนนี้ขอข้าพักใจสักครู่ ความคิดอ่านใดข้ายังนึกไม่ออก” จางอี้เทาเอ่ยตอบชาวบ้านแล้วจึงขอตัวเข้าไปในห้องที่ภรรยานอนพักผ่อนอยู่
ชายหนุ่มเข้าไปนั่งกอบกุมมือบางของภรรยาไว้แน่น ตอนนี้เขาเหลือนางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นครอบครัว เขาอยากแน่ใจว่านางจะมิเป็นอันใดไปเสียก่อน
ชาวบ้านต่างพากันเงียบลงอีกครั้ง พวกเขาทั้งรู้สึกสงสารและหมดสิ้นกำลังใจไปพร้อมกัน ถึงแม้จะดีกว่ามากนักที่ไม่ได้สูญเสียใครในครอบครัวไปแต่ก็มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าบ้านจางเลย ความเศร้าสลดเข้าปกคลุมทั้งลานบ้าน ก่อนจะมีใครสักคนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอยู่ทางหางตา
“เอะ นั่นมิใช่หมิงหมิงน้อยหรอกหรือ” เสียงของหลวนซานเอ่ยขึ้น เขามาอยู่ตรงลานบ้านนี้ตั้งแต่เช้าแล้วเช่นกัน
“ไหน ๆ ใช่ ใช่ หมิงหมิงน้อยจริง ๆ ด้วย” ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างดีใจ
“หมิงหมิงน้อยจริง ๆ ด้วย อาเย่ ดูสิ ใช่น้องชายตัวน้อยหรือไม่” ซุนซูลี่ที่อยู่ด้วยชะเง้อคอดูและหันไปถามความเห็นของหมิงเย่ เมื่อมั่นใจว่าเป็นน้องชายตัวน้อยจริง นางจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในเรือนที่ท่านอาอี้เทานั่งเฝ้าท่านอาสะใภ้อยู่ พลางตะโกนเสียงดังลั่น
“ท่านอาอี้เทา ท่านอา มะ หมิง หมิงหมิงน้อยเจ้าค่ะ หมิงหมิงน้อยอยู่ข้างนอก” ซูลี่เอ่ยละล่ำละลักออกมาอย่างตะกุกตะกัก แม้จะหอบจากการวิ่งแต่เพื่อแจ้งข่าวให้กับท่านอาหนุ่มได้ทราบ นางจึงรีบพูดจนจบประโยค
จางอี้เทาจากที่อยู่ในภวังค์ถึงกับได้สติขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อของบุตรชาย เขาหันมามองเด็กหญิงอย่างไว
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าว่าอันใดนะ หายใจช้า ๆ แล้วบอกข้ามา” อี้เทาจับตัวเด็กสาวไว้แล้วบอกให้เล่าช้า ๆ
“น้องชายหมิง หมิงหมิงน้อยอยู่ข้างนอก ข้าเห็นเขากำลังเดินตรงมาที่ลานบ้านนี้เจ้าค่ะ”
จางอี้เทามิรอให้ซุนซูลี่เอ่ยเล่าจนจบ เขาผละตัวออกเดินแกมวิ่งไปนอกบ้าน ก่อนที่จะร้องไห้โฮออกมาเมื่อเห็นบุตรชายประคองมารดาเดินเข้ามาตรงลานบ้านด้วยกัน
“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์”
จางอี้เทาวิ่งเข้ามารวบเอาบุตรชายขึ้นไว้ในอ้อมแขนก่อนที่มืออีกข้างจะรวบเอาตัวของมารดาเข้ามากอดไว้อย่างแนบแน่น เขาร้องไห้ออกมาเสียงดังไม่ได้เก็บอาการแม้แต่น้อย ส่วนนางหูก็กอดบุตรชายแน่นร้องไห้ไปเช่นกัน
ไม่ต้องถามถึงจางอี้หมิงเด็กน้อยคนเดียวของบ้าน เขาร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าใคร เด็กน้อยกลัวจริง ๆ กลัวมาก กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาหาครอบครัวที่ตนเองเพิ่งมีได้ไม่นานนี้อีก
ชาวบ้านที่เห็นภาพครอบครัวสามคนกอดกันร้องไห้ก็อดซาบซึ้งใจไม่ได้ บางคนถึงกับร้องไห้ตามถึงแม้ว่าจะไม่ได้เสียงดังฟูมฟายเหมือนครอบครัวจางก็ตาม
“พวกเจ้าสมควรหยุดร้องไห้แล้วเข้าไปในบ้านก่อน ยังมีหลี่อ้ายที่นอนสลบอยู่ข้างใน มารดาเจ้า บุตรชายเจ้าคงต้องการพักผ่อนและหิว”
ซุนซูเย่ออกมาบอกกับจางอี้เทา เมื่อบัณฑิตหนุ่มได้ยินเช่นนั้นจึงได้สติ รีบพยักหน้าตอบอย่างเร็ว
ใช่แล้ว มารดากับบุตรชายอาจจะทั้งเหนื่อยและหิว แต่เขากลับมายืนกอดกันอยู่เช่นนี้ คิดได้ดังนั้นแล้วจางอี้เทาจึงประคองมารดาเข้าไปในบ้าน เจียวเม่ยรีบไปเอาชุดของตนเองและของหมิงเย่เอามาให้สองย่าหลานได้ผลัดเปลี่ยน
“ท่านป้าเปลี่ยนชุดก่อนเถอะเจ้าค่ะ หมิงหมิงน้อยด้วย ชุดของพี่ชายเย่อาจจะใหญ่ไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องใส่เสื้อผ้าขลุกดินขลุกฝุ่นเช่นนั้น หมิงหมิงน้อยต้องการให้ป้าช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หรือไม่” เจียวเม่ยยื่นชุดให้กับหญิงชราก่อนจะหันมาถามเด็กน้อย
“มะ ไม่ต้องขอรับ ข้าทำเองได้” จางอี้หมิงถึงกับหน้าขึ้นสี เขาโตแล้วเหตุใดต้องให้คนมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน
“ขอบใจนะ สะใภ้ซุน” นางหูเอ่ยขอบใจก่อนจะหยิบชุดไปเปลี่ยนที่ห้องของซูลี่ เมื่อเสร็จแล้วนางจึงเดินออกมายังที่โถงบ้าน ซึ่งเจียวเม่ยได้ยกน้ำข้าวต้มออกมาไว้ให้แล้ว
“ท่านป้าหู หมิงหมิงน้อย กินข้าวต้มก่อนเถิด พวกท่านคงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว เหตุการณ์เป็นเช่นไรค่อยบอกกล่าวหลังกินข้าวเสร็จเถอะเจ้าค่ะ อาหารมีจำกัดมากนัก นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเรามีในตอนนี้เจ้าค่ะ” เจียวเม่ยบอก
“สะใภ้ซุน ข้าขอบใจเจ้ายิ่งนัก”
“ท่านป้าเจียวเม่ย ขอบคุณขอรับ”
นางหูและจางอี้หมิงเอ่ยขอบคุณเจียวเม่ยที่ดูแลพวกเขาบ้านจางเป็นอย่างดีพร้อมกัน
“อย่าได้เกรงใจไปเลยเจ้าค่ะท่านป้า นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่ข้าจะทำได้และขอบ้านซุนได้มีโอกาสตอบแทนบ้านจางบ้าง”
เจียวเม่ยยิ้มเบาๆ เมื่อตอบเสร็จแล้วจึงเดินออกไปด้านนอก ไม่นานจึงเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับชากาใหม่ร้อน ๆ
จางอี้เทาที่เห็นมารดาและบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ก็รีบเข้าไปนั่งข้างเตียงภรรยา หลี่อ้ายยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ เขาเอ่ยเล่าเรื่องราวพลางกุมมือภรรยาเอามาแนบแก้มเพื่อถ่ายความรักทั้งหมดให้กับร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงได้รับรู้
“น้องหญิง รีบตื่นขึ้นมาเถอะ เจ้ารู้ไหมท่านแม่กับหมิงเอ๋อร์ปลอดภัยดี ตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่ข้างนอกนั้น น้องหญิงรีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า เจ้าไม่อยากเจอหมิงเอ๋อร์เช่นนั้นหรือ”
จางอี้เทาได้แต่พร่ำบ่น เขาเอ่ยเรียกภรรยาอยู่อย่างนั้น จนสองย่าหลานเปลี่ยนเสื้อผ้ากินข้าวเสร็จแล้ว จางอี้หมิงจึงเดินเข้ามาในห้อง
เด็กน้อยเดินไปนั่งบนเตียงข้างมารดาและเอนกายลงนอนกอดมารดาไว้ จางอี้เทาเห็นเช่นนั้นจึงล้มตัวลงนอน กอดทั้งภรรยาทั้งบุตรชายไว้ในอ้อมกอดหวังถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับทั้งสองคนไปพร้อมกัน
“ท่านแม่ รีบตื่นขึ้นมาคุยกับข้าได้หรือไม่ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ข้าอยากให้ท่านแม่ตื่นขึ้นมา ท่านแม่ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าสิขอรับ ท่านพ่อ ท่านย่า ต่างรอท่านแม่อยู่นะขอรับ” จางอี้เทาและจางอี้หมิง ต่างช่วยกันเรียกชื่อหลี่อ้าย หญิงผู้เป็นที่รักของพวกเขาทั้งสองคนอยู่อย่างนั้น
เสมือนมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ความรักความอบอุ่น ความโหยหาของสองพ่อลูกบ้านจางส่งผ่านไปยังร่างเล็กที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่นั้นให้ฟื้นลืมตาขึ้นมาในที่สุด เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ทะ ท่านพี่ หมิงเอ๋อร์ ข้าใช่ฝันไปหรือไม่ หมิงเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายที่ฟื้นขึ้นมายังไม่ได้สติดีมากนัก เอ่ยออกมาเป็นคำพูดอย่างลำบาก นางเพียงแต่จำได้ว่าบุตรชายตกตายในกองไฟที่ลุกไหม้พร้อมบ้านทั้งหลังที่ล้มพังอย่างไม่มีชิ้นดีเพียงเท่านั้น
“น้องหญิง ฟังพี่ หมิงเอ๋อร์ยังไม่ตาย หมิงเอ๋อร์อยู่ตรงนี้ น้องหญิงเห็นหรือไม่ หมิงเอ๋อร์กำลังกอดเจ้าอยู่” จางอี้เทาเมื่อได้สติจึงรีบเอ่ยบอกภรรยาเสียงหวาน จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงเรียกมารดาเพื่อเตือนให้รับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
“ท่านแม่ ข้าอยู่ตรงนี้ขอรับ หมิงเอ๋อร์อยู่ตรงนี้”
หลี่อ้ายได้ยินเสียงบุตรชายจึงได้ก้มหน้าลงมา เมื่อเห็นว่าเป็นบุตรชายตัวน้อยที่นางร้องไห้คร่ำครวญหาตลอดเวลาก็ถึงกับร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งและตะแคงตัวเองโอบกอดเอาเด็กชายมาไว้ในอ้อมกอด รัดแน่นจนจางอี้หมิงจมลงไปในอกของมารดา นางกอดบุตรชายไว้แน่นเพื่อเตือนตัวเองว่าบุตรของนางยังไม่ตาย ยังอยู่กับนางจริง ๆ
“ทะ ท่านแม่ ข้าหายใจไม่ออกขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยกระท่อนกระแท่นเนื่องจากถูกมารดากอดแน่นจนเกินไป
ขืนเป็นแบบนี้อีกสักพักเขาได้ตายจริงแน่
“น้องหญิง เจ้าปล่อยหมิงเอ๋อร์ก่อน” จางอี้เทารีบเตือนภรรยา
“หมิงเอ๋อร์ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ” หลี่อ้ายที่ยังปรับอารมณ์ไม่ได้ ยังรู้สึกสับสนและสติเลื่อนลอยเนื่องจากผ่านความเสียใจมามาก แต่อีกสักพักก็ดีใจจนไม่รู้ว่าต้องจัดการกับอารมณ์ของตนเองเช่นไรจึงได้แต่กอดบุตรชายและร้องไห้ออกมาเพียงเท่านั้น
“ทะ ท่านแม่เล่า ท่านแม่ล่ะเจ้าคะ” หลี่อ้ายนึกขึ้นได้ว่ามิได้มีเพียงบุตรชายเท่านั้น ยังมีมารดาสามีอีกคนหนึ่ง
“น้องหญิงมิต้องเป็นกังวล ท่านแม่ปลอดภัยดี ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องของลี่เอ๋อร์” จางอี้เทารีบเอ่ยอธิบายให้ภรรยาได้เบาใจ
“ท่านแม่หิวหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามมารดา
“หมิงเอ๋อร์ แม่ไม่หิว” หลี่อ้ายที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกแล้ว เอ่ยตอบบุตรชายเสียงเหนื่อยล้า
“พี่ว่าน้องหญิงลุกไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนเถิด แล้วมากินข้าวสักนิด น้องหญิงจะได้มีแรง ลุกไหวหรือไม่ ต้องการให้พี่ช่วยหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยแนะนำภรรยา เขาไม่ต้องการให้นางเจ็บป่วยไปอีกคน
หลี่อ้ายทำตามคำแนะนำของสามี นางลุกไปจัดการตนเอง จางอี้เทาเองก็อยู่ดูแลภรรยาไม่ห่าง ผ่านไปสักพักเจียวเม่ยจึงยกข้าวต้มเข้ามาให้หลี่อ้ายและออกปากอาสาว่าจะดูแลหลี่อ้ายให้ จางอี้เทาและจางอี้หมิงจึงออกมาที่ลานบ้านซึ่งเหล่าชาวบ้านกำลังประชุมกันอยู่ สองพ่อลูกเดินไปนั่งข้าง ๆ บ้านซุน
“เอาล่ะหมิงเอ๋อร์ ตอนนี้คงถึงเวลาที่เจ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังได้แล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ หลังจากที่ข้ากับท่านย่าลงไปอยู่ที่ห้องลับได้ไม่นาน ข้ามีลางสังหรณ์ขอรับว่าการปล้นในครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จากหนังสือที่ข้าอ่านตั้งแต่อยู่ที่เมืองหลวง ข้าจึงบอกให้ท่านย่าขึ้นมาจากห้องลับแล้วอาศัยว่าเป็นคืนเดือนมืด หลบเข้าไปในป่า ด้วยไม่มีไฟส่องนำทาง อาศัยเพียงความเคยชินและยังต้องพาท่านย่าออกไปด้วย อากาศที่หนาวเย็นทำให้การเดินล่าช้า พวกข้าถูกกิ่งไผ่ กิ่งหนามทิ่มแทงไปหลายแผล
เราสองคนไปหลบอยู่ที่ถ้ำบนเขาที่ข้าเคยพาท่านพ่อไปดูแล้วบอกว่าจะเอาไว้สำหรับเก็บถังหมักสุรา พวกเราหลบอยู่ในถ้ำตลอดทั้งคืน พอรุ่งเช้าท่านย่าเหนื่อยมากและข้าอยากมั่นใจว่าพวกโจรไปกันหมดแล้วจึงเริ่มลงเขากลับมาที่บ้านขอรับ แต่ก็ตกใจมากที่บ้านพังมอดไหม้ไปหมดแล้ว จึงคิดว่าท่านพ่อต้องมาอยู่ที่บ้านซุนนี่ขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยเล่าตั้งแต่ต้นจนจบในคราวเดียว เขาไม่ลืมเอ่ยย้ำถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองตัดสินใจแบบนี้ ในเมื่อไม่สามารถบอกว่าเป็นสิ่งที่เขาอ่านและเรียนรู้มาจากเมืองสวรรค์ เด็กน้อยจึงแปลสาสน์ออกมาเป็นเมืองหลวงแทน
จางอี้เทาเข้าใจที่บุตรชายสื่อสารออกมา จึงตอบรับได้อย่างไม่มีสิ่งใดดูแปลกประหลาดในคำพูดนั้น
“ท่านพ่อ แล้วทางนี้ในหมู่บ้านเกิดอันใดขึ้นบ้างขอรับ”
จางอี้หมิงเมื่อได้อธิบายทางด้านของตนเองแล้วจึงได้ถามกลับมายังด้านหมู่บ้านบ้าง จางอี้เทาเริ่มต้นเล่าให้ฟังตั้งแต่ตนเองเดินมารวมตัวกับชาวบ้าน หัวหน้าโจรให้ลูกน้องซ้อมชาวบ้านคนหนึ่งที่ขัดขืนและสุดท้ายคือหัวหน้าโจรสั่งให้เผาบ้านจางเนื่องจากขัดขืนคำสั่ง
“...หลังจากที่พวกโจรจากไปแล้ว พ่อและมารดาเจ้า รวมถึงชาวบ้านจึงได้ตรงไปยังบ้านของเรา แต่มันก็สายเกินไปเพราะไฟได้ลุกไหม้เกินกว่าที่จะดับลงได้ มารดาเจ้าเห็นเช่นนั้นจึงได้เป็นลมไม่ได้สติจนมาถึงวันนี้ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละหมิงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ รบกวนบอกประโยคที่หัวหน้าโจรพูดกับท่านพ่ออีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเฉลียวใจว่าสิ่งที่ตนคิดอาจจะเป็นความจริงขึ้นมา
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการขัดคำสั่ง ข้าบอกให้สมาชิกทุกคนของหมู่บ้านหลัวถงมารวมตัวกันที่นี่แต่ก็มีบางคนขัดคำสั่ง เช่นนั้นหากข้าไม่สั่งสอนพวกเจ้าคงไม่หลาบจำ ไปจัดการ”
“ท่านพ่อจากประโยคที่หัวหน้าโจรพูดขึ้นมา คล้ายว่าหัวหน้าโจรรู้ว่าข้ามิได้อยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงได้จุดไฟเผาบ้านของเรา ท่านพ่อคิดเหมือนข้าหรือไม่ ท่านปู่ถงคิดเหมือนข้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดาและหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อยืนยันให้มั่นใจอีกครั้ง
“พ่อคิดเช่นเดียวกับเจ้า”
“ปู่ก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า”
“เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะบอกว่าการปล้นในครั้งนี้คงเกิดจากความตั้งใจและพวกโจรรู้จักพวกเราดีงั้นหรือ?” จางอี้เทาเอ่ยถามขึ้นมา
“ขอรับ ข้าว่าพวกโจรต้องตั้งใจมาปล้นหมู่บ้านของเราและต้องรู้จักพวกเราดีด้วย” จางอี้หมิงยืนยันความคิดของตนเอง
“แต่หมิงหมิงน้อย พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แล้วเราจะไปทำอันใดให้พวกโจรขัดข้องใจกันเล่า” ซุนถงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านปู่ ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าหมู่บ้านหลัวถงทำการค้ากับกองกำลังเหลียงอัน เพียงเหตุผลนี้ก็ทำให้กลุ่มโจรเดาได้แล้วว่าเราต้องมีเงินทองมากมาย ข่าวที่เราขายเกลือผักและน้ำตาลผัก ต่างเล่าลือไปทั่วเมืองไห่ถัง” จางอี้หมิงอธิบาย
“โชคดีที่เราฝากเงินไว้กับร้านแลกเงินจินฟู่ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลำบากไปมากกว่านี้หรือไม่” ซุนซูเย่เอ่ยเสียงเครียด
“แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดโจรถึงรู้ว่าข้าหายตัวไป” จางอี้หมิงเปรยออกมา
“หรือว่าโจรหมายถึงชาวบ้านคนอื่น” ซุนถงแสดงความคิดเห็น
“ข้าว่าไม่น่าจะใช่ เพราะโจรเผาบ้านข้าเพียงบ้านเดียว” จางอี้เทาตอบคำถามของซุนถง
“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงสนับสนุนบิดา
“เช่นนั้นพวกเราสมควรทำเช่นไรต่อไป” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเพื่อถามหาข้อสรุป
“ท่านพ่อ ข้าว่าท่านปู่ถงกับท่านพ่อ พวกท่านเข้าไปในเมืองเถอะขอรับ ต้องให้ท่านปู่ถงไปแจ้งเรื่องกับท่านเจ้าเมือง ท่านพ่อไปหาท่านปู่บุญธรรมอาจจะพอมีอาหารหลงเหลือนำกลับมาให้ชาวบ้านได้บ้าง สำหรับท่านลุงเย่รบกวนพาข้ากับชาวบ้านชายหลายคนหน่อย ออกไปล่าสัตว์หรือหาผักป่าตามภูเขา ท่านป้าเจียวเม่ยพาท่านป้าสักสิบคนไปเก็บหญ้าสายรุ้งมานะขอรับ” จางอี้หมิงแจกแจงงานที่ทุกคนต้องทำออกไปตามสมองน้อย ๆ จะคิดได้
“หมิงหมิงน้อย ในตอนนี้เรายังจะทำเกลือผักอีกหรือ” เจียวเม่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะเกลือยังก็เป็นเครื่องปรุงมิใช่อาหาร
“ท่านป้าเจียวเม่ย ข้าไม่ได้เอาหญ้าสายรุ้งมาทำเกลือผักขอรับ แต่จะเอามาทำอาหารให้ทุกคนในหมู่บ้านต่างหากเล่าขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้ท่านป้าเจียวเม่ยได้เข้าใจ
“เช่นนั้นหรอกหรือ ได้ ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเราแยกย้ายกันไปทำตามที่หมิงหมิงน้อยบอกกันเถอะ” ซุนถงเคาะเกราะบอกกับทุกคน
“อย่าลืมนะ ต้องเอาอาหารมาไว้ที่กองกลาง พวกเราจะช่วยกันทำและกินด้วยกัน โดยให้เด็กกับผู้หญิงได้กินก่อน หลังจากนั้นค่อยเป็นคนหนุ่มสาว อดทนกันอีกนิด พวกเราต้องผ่านไปได้ ภัยหนาวที่เลวร้ายพวกเรายังผ่านมาได้ ขอทุกคนอย่าได้ยอมแพ้” ซุนซูเย่เอ่ยให้กำลังใจทุกคนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะแยกตัวไปเตรียมเดินทางออกหาอาหารตามภูเขา
ซุนถงและจางอี้เทานั่งเกวียนของลุงผินเข้าไปในเมือง เจียวเม่ยรวบรวมหญิงสาวชาวบ้านไปเก็บต้นหญ้าสายรุ้งตามที่จางอี้หมิงได้บอกไว้ อาห้าวเป็นตัวแทนชาวบ้านชักชวนชายหนุ่มอีกห้าหกคนไปล่าสัตว์บนภูเขา
ส่วนจางอี้หมิงและซูเย่รวมทั้งชาวบ้านอีกห้าคนที่เคยไปด้วยกันในการหาต้นลูกหนามแยกตัวออกมาแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาด้วย
พวกเขารวมพลังกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนในหมู่บ้านหลัวถงผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ บนภูเขาคงจะยังพอมีสิ่งใดสักอย่างที่นำมาทำอาหารได้บ้าง ทั้งหญ้าสายรุ้งที่สตรีทั้งหลายไปเก็บ ทั้งสัตว์ป่า ทั้งพืชพรรณและทั้งความหวังจากซุนถงกับจางอี้เทา สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยในการรอดชีวิต
ถึงแม้มันจะดูน้อยนิด แต่ความสามัคคีนี้คงจุดประกายความหวังขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?