“ท่านพี่ ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์คงเป็นไข้แน่แล้ว ท่านพี่ไปตามท่านหมอผิงมาดูอาการหมิงเอ๋อร์หน่อยเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่รีบไปตอนนี้เถิด จะได้ทันเวลาค่ำ” เสียงของหลี่อ้ายดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน นางกำลังร้อนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อหนึ่งเค่อก่อนตอนที่กำลังเย็บผ้าอยู่ นางได้ยินเสียงบุตรชายครางอืออาจึงรีบเดินมาดู หลังจากที่ใช้หลังมือแตะหน้าผากถึงได้รู้ว่าจางอี้หมิงตัวร้อนราวกับไฟ มารดาเช่นนางรีบจัดการเช็ดตัวให้เจ้าตัวเล็กด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ดูเหมือนตอนนี้เด็กชายจะขัดขืนไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะกำลังหลับอยู่ก็ตามที
“หนาว ข้าหนาว” อี้หมิงครางออกมา
“หมิงเอ๋อร์ อดทนอีกนิด บิดาของเจ้าไปตามทานหมอผิงแล้ว” หลี่อ้ายเอ่ยปลอบบุตรชายพลางเอาผ้าชุบน้ำอุ่นบิดพอหมาดเช็ดไปตามใบหน้า ไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากถึงซอกคอและลำตัวของบุตรชาย
“เจ็บคอ...” เด็กน้อยไอออกมาเสียงแหบ อี้หมิงหลับตาทว่ายังขมวดคิ้ว คงจะคอแดงไม่น้อยจึงบ่นพึมพำออกมาเช่นนั้น ซึ่งนั้นทำให้หัวใจคนเป็นแม่ยิ่งวิตก
“สะใภ้ หมิงเอ๋อร์เป็นเช่นใดบ้าง” นางหูที่นั่งอยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาจึงเดินเข้ามาดูหลานชาย
“คงเป็นไข้เจ้าค่ะ ข้ากำลังเช็ดตัวให้อยู่ ท่านแม่...ข้ากลัวเจ้าค่ะ กลัวว่าหมิงเอ๋อร์จะหลับไปอีกเหมือนครั้งที่แล้ว” หลี่อ้ายเอ่ยตอบมารดาสามีด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
นางกลัวมากจริง ๆ
นางไม่อยากเห็นบุตรชายเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
“อย่าเพิ่งวิตกไปลูกสะใภ้ หมิงเอ๋อร์เป็นคนเก่ง ท่านเทพก็เอ็นดูหมิงเอ๋อร์ของเรามาก เดี๋ยวท่านหมอผิงมาดูอาการได้กินยาสักหน่อยคงดีขึ้น ทำใจให้เข้มแข็งไว้ หมิงเอ๋อร์ต้องการมารดาเช่นเจ้านะ เจ้าจะอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้” หูไป๋หงเอ่ยเตือนลูกสะใภ้ น้ำสียงนางอบอุ่นมีเมตตา
“เจ้าค่ะ ข้าจะเข้มแข็ง ข้าจะไม่ร้องไห้”
กระวนกระวายใจได้เพียงแค่ไม่ถึงสองเค่อ หมอผิง หมอชราเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านหลัวถงก็เดินเข้ามาในบ้านหลังเล็ก ชายชราเดินตรงไปยังแคร่ไม้ไผ่ที่เด็กชายนอนครางอืออาอยู่
“ท่านหมอผิง ช่วยหมิงเอ๋อร์ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ลูกข้าบ่นว่าเจ็บคอ ครางว่าหนาวแต่ตัวร้อนมาก ข้าเช็ดตัวให้แล้วก็ไม่บรรเทาเลยเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายรีบอธิบายอาการของบุตรชาย
“สะใภ้จางลุกออกมาก่อน ข้าจะได้ตรวจบุตรชายของเจ้าได้อย่างถนัด” หมอผิงบอกพร้อมกับวางล่วมยาลง
หลี่อ้ายขยับออกห่างจากบุตรชายทันที ตอนนี้ อะไรที่จะช่วยอี้หมิงได้แม้เพียงนิดนางก็ยินดีทำตาม ดวงตาคู่สวยสั่นระริกอย่างห่วงใย จางอี้เทาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงคว้าเอาร่างของภรรยามากอดไว้หลวม ๆ เพื่อปลอบใจ
“น้องหญิง ลูกต้องปลอดภัย ท่านหมอผิงอยู่นี่แล้ว” จางอี้เทาเอ่ยปลอบประโลมภรรยาเสียงเบาเพราะไม่อยากให้รบกวนการตรวจของหมอชราตรงหน้า
หมอผิงนั่งลงข้างๆ เด็กชาย คว้าข้อมือเล็กมาจับชีพจรและตรวจตามลำตัวอยู่เพียงชั่วครู่ หมอชราจึงบอกวิธีการปฐมพยาบาลให้กับครอบครัวจางอย่างละเอียด
“บุตรชายของเจ้าเพียงป่วยไข้ธรรมดา หมั่นคอยเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น เด็กน้อยเจ็บคอไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันใด เขายังเด็กอยู่ดังนั้นห้ามใช้น้ำเย็น ต้มยาให้กินทุก ๆ สองชั่วยาม สักวันสองวันคงทุเลาแล้วล่ะ เห็นอาเทาเล่าว่าตกน้ำทะเลมาเช่นนั้นหรือ บุตรชายของเจ้าเพิ่งผ่านประตูผีมาได้ไม่ถึงสิบวัน แต่พวกเจ้ากลับให้บุตรของเจ้าไปเล่นน้ำทะเลแล้ว เหตุใดไม่ดูแลลูกชายพวกเจ้าให้ดี ๆ”
“ท่านหมอผิง ขอบคุณที่มาดูอาการให้หมิงเอ๋อร์ เป็นความผิดของข้าเองที่ดูแลลูกไม่ดี ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้ขอรับ” อี้เทาค้อมศีรษะรับ
“อาเทา ข้าว่าก็เพราะเป็นห่วง หาได้มีเจตนาไม่ดี หวังว่าอาเทาจะเข้าใจข้า”
“ข้าเข้าใจขอรับ ต้องขอขอบคุณท่านหมอผิงอีกครั้ง”
“ไม่เป็นไร ข้าก็ว่าไปเช่นนั้นเอง คนเจ็บคนไข้ข้าต้องรักษาอยู่ดีนั่นแหละ เอ้านี่! ยาสำหรับเอาไว้ต้มให้กับลูกชายเจ้า อย่าลืมปลุกเขาให้ขึ้นมากินยาทุกสองชั่วยามด้วยนะ อ้อ! ไม่ต้องไปส่งหรอก ข้ากลับเองได้ ข้ายังไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้น” หมอผิงเอ่ยสำทับแล้วจึงมอบห่อยาให้จางอี้เทาก่อนจะขอตัวกลับ
“ท่านหมอ นี่เป็นค่ารักษา ค่ายาของหมิงเอ๋อร์ ขอท่านหมอโปรดรับไว้ ข้าจะไปส่งท่านหมอผิงที่หน้าบ้านเองเจ้าค่ะ” หูไป๋หงยื่นเงินให้กับหมอชราเป็นจำนวนเงินเท่ากับครั้งที่แล้ว ก่อนจะเดินตามไปส่งตรงหน้าบ้าน
คราวที่แล้วนางใช้เงินก้อนสุดท้ายที่มี แต่คราวนี้ครอบครัวเริ่มมีรายได้เข้ามาบ้างแล้ว เรื่องค่ารักษาจึงพอโล่งใจได้บ้าง
“ท่านพี่ ข้าจะไปต้มยาให้หมิงเอ๋อร์ ท่านพี่เช็ดตัวให้หมิงเอ๋อร์แทนข้าทีนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยบอกสามี นางเดินหายไปต้มยาให้จางอี้หมิงและปล่อยให้จางอี้เทาคอยดูแลและเช็ดตัวให้บุตรชายต่อไป
เมื่อแหงนหน้ามองฟ้าก็รู้ว่าอีกไม่นานจะเป็นยามโหย่ว (17.00 – 18.59) แล้ว นางหูจึงเข้าครัวทำโจ๊กหมูร้อน ๆ ให้หลานชายได้กินเป็นมื้อเย็นและจะได้ดื่มยาต้มไปด้วย สำหรับอาหารของผู้ใหญ่ยังคงเป็นผัดผักบุ้งเครื่องเทศกับข้าวสวยเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“หมิงเอ๋อร์ ตื่นก่อนลูก ลุกขึ้นมากินโจ๊กร้อน ๆ เสร็จแล้วจะได้กินยา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่หายไข้นะ” หลี่อ้ายปลุกบุตรชายให้ตื่นนอน จางอี้หมิงไม่ตอบรับ เด็กน้อยเบนตัวหนีเสียด้วยซ้ำไปจนมารดาต้องเขย่าตัวเบา ๆ จึงลืมตา จางอี้เทาประคองบุตรชายให้ลุกขึ้นนั่งพิงอกตนเองเพื่อป้อนอาหาร
“ท่านแม่ ข้าเจ็บคอขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยเสียงแหบ
“แม่รู้ แต่หมิงเอ๋อร์อดทนกินโจ๊กนี่สักหน่อยนะ เสร็จแล้วจะได้กินยา ท่านหมอผิงบอกว่าหมิงเอ๋อร์กินยาไม่กี่ครั้งก็หายแล้ว หมิงเอ๋อร์ไม่อยากหายหรือ” หลี่อ้ายพูดเสียงหวาน นางพยายามหลอกล่อเด็กชายให้กินโจ๊ก
“ก็ได้ขอรับ ข้าจะพยายาม ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ไม่รักษาสัญญาทำให้ตนเองป่วย ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ นะขอรับ”
จางอี้หมิงรู้สำนึกผิดแล้วจริง ๆ เขาลืมตัวไปหน่อย คิดว่าตนเองหายแล้ว มั่นใจว่าตนเองแข็งแรงโดยลืมไปว่าในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายนี้อ่อนแอเพียงไหน
“หมิงเอ๋อร์ อย่าพูดอีกเลย เจ้ายังเจ็บคออยู่ บิดาผู้นี้ยินดียิ่งที่ลูกรู้สำนึกผิด และบทเรียนครั้งนี้จงจำไว้ เข้าใจที่พ่อสอนหรือไม่”
จางอี้เทาไม่อยากดุด่าว่ากล่าวบุตรชายไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าจางอี้หมิงจะดูเป็นเด็กฉลาดมากกว่าเด็กทั่วไปหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาในครั้งนั้น แต่เขาก็ไม่ลืมว่า ต่อให้ฉลาดแค่ไหน บุตรชายของเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบปีเท่านั้น หากจะดื้อหรือซนไปบ้าง ก็คงเป็นตามประสาของเด็กชายทั่วไป
อีกเหตุผลนั้น ตัวเขาเองก็ผิด เมื่อตอนที่บุตรชายมาขออนุญาตไม่สอบถามให้ดีเสียก่อน หากเขารอบคอบและใส่ใจมากกว่านี้ จางอี้หมิงคงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
“หมิงเอ๋อร์ กลั้นใจกินหน่อยนะ” หลี่อ้ายตักโจ๊กขึ้นมาพอดีคำ นางใช้ปากเป่าโจ๊กจนเย็นลงเล็กน้อย ป้อนโจ๊กหมูที่ต้มจนหอมกรุ่นจ่อไปที่ริมฝีปากของบุตรชายพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจ เกลี้ยกล่อมให้อี้หมิงยอมกินอาหารอีกสักหน่อย
จางอี้หมิงอ้าปากรับโจ๊กเข้าไป ตอนนี้ลิ้นของเขาไม่รับรสใด ๆ แล้วนอกจากความขมอย่างเดียว ต่อให้เป็นโจ๊กหมูที่หอมกรุ่นแบบที่มารดาว่า เขาก็ไม่มีความอยากเลยสักนิด
“อีกคำนะหมิงเอ๋อร์ แม่ขออีกคำ” หลี่อ้ายเอ่ยปากบอกบุตรชายหลังจากที่จางอี้หมิงกินโจ๊กไปได้แค่สิบคำเท่านั้น เด็กน้อยต้องกินอีกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นนางก็กลัวว่าร่างกายจะยิ่งอ่อนแรง แต่นอกจากจะไม่อ้าปากแล้วเด็กชายยังเบือนหน้าหนี
“แม่ขออีกคำเถอะนะ หมิงเอ๋อร์...” แต่ทว่าพอนางยิ่งคะยั้นคะยอ ลูกชายก็แบะปากทำท่าจะร้องไห้เสียแล้ว
“พอเถอะน้องหญิง หมิงเอ๋อร์กินได้เยอะมากแล้ว อย่าบังคับลูกอีกเลย” เป็นจางอี้เทาที่ทนเห็นบุตรชายทรมานจากการกินข้าวไม่ได้จึงเอ่ยทัดทานภรรยาออกไป
“กินข้าวแล้ว หมิงเอ๋อร์ของย่าต้องดื่มยาก่อนนะ จะได้หาย แล้วค่อยนอนพัก” หูไป๋หงยกถ้วยยาต้มสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ หลานชาย
“ท่านย่า มันขม ข้าไม่ชอบ”
“ไม่ได้นะ หมิงเอ๋อร์ ไม่ได้ยินที่ท่านหมอผิงบอกหรือ หลานต้องดื่มยานี้ให้หมด และต้องดื่มจนกว่าจะหายด้วย ห้ามดื้อ บิดามารดาเจ้าไม่ดุ แต่ไม่ใช่ว่าย่าจะตามใจเจ้านะ”
หูไป๋หงเมื่อเห็นว่าลูกชายลูกสะใภ้ตามใจหลานชายมากเกินไปแล้วจึงต้องเป็นฝ่ายขัดใจเสียเอง ไม่เช่นนั้นอี้หมิงอาจจะกลายเป็นเด็กดื้อในอนาคต
“แต่มันขม ข้าไม่อยากกิน” จางอี้หมิงยังคงส่ายหน้า ไม่ยอมดื่มยาถ้วยนี้แต่โดยดี
“น้องหญิง บ้านเรามีน้ำตาลผักนี่ เจ้าไปเอามาผสมลงไปในถ้วยยาของหมิงเอ๋อร์ อาจจะช่วยให้ยาไม่ขมมาก”
จางอี้เทาคิดขึ้นมาได้ว่าบ้านเขามีน้ำตาลผักเหลืออยู่จากการทำส่งเถ้าแก่หวังจำนวนไม่น้อย แบ่งเอามาใส่ยาต้มให้เด็กชายเสียหน่อยจะดีกว่า
“เจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายถือถ้วยโจ๊กจากไปและกลับมาพร้อมกับไหน้ำตาลผัก นางใช้ช้อนตักน้ำตาลผักลงไปผสมกับยาต้มถ้วยนั้นและลองชิมดู ปรากฏว่าน้ำตาลผักลดความขมของยาต้มลงไปได้มาก
“หมิงเอ๋อร์ ยาถ้วยนี้ไม่ขมนะ แม่เติมน้ำตาลผักลงไป ดูสิ แม่ยังดื่มได้สบาย” หลี่อ้ายเอ่ยบอกบุตรชายและใช้ช้อนตักยาต้มขึ้นมากินให้บุตรชายดูเพื่อยืนยันว่าไม่ขมจริง ๆ
“จริงหรือขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ต้องลองดู แม่ไม่โกหกเจ้าแน่นอน” หลี่อ้ายพูดด้วยรอยยิ้ม มือเรียวยกถ้วยยายื่นไปจ่อปากบุตรชายอีกครั้ง จางอี้หมิงมองหน้าท่านแม่ เขาทำใจอยู่สักพักจึงยอมกลั้นใจดื่มยาต้มถ้วยนั้นลงไป จากที่เตรียมใจพบกับความขม ปรากฏกว่ามันไม่ได้แย่มากเหมือนครั้งแรกที่ตนเองฟื้นขึ้นมาในร่างนี้
“อ๊าห์! ไม่ค่อยขมจริง ๆ ด้วย” จางอี้หมิงกล่าวออกมาหลังจากที่กลั้นใจดื่มยาต้มไปจนหมดถ้วย
“เชื่อแล้วใช่หรือไม่ว่าแม่ไม่ได้โกหก”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้านอนพักซะหน่อย จะได้หายไว ๆ” นางหูเอ่ยบอกหลานชาย
“ขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้า จางอี้เทาจึงประคองบุตรชายให้นอนราบลงไปบนที่นอนอีกครั้งพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย ไม่นานคนป่วยก็หลับสนิท
หลังจากที่เฝ้ามองจนแน่ใจว่าจางอี้หมิงกำลังหลับใหล ครอบครัวจางคนอื่นจึงได้ลุกจากมาและกินมื้อเย็นได้อย่างสบายใจ พวกเขากังวลเรื่องอาการของสมาชิกตัวน้อยมาทั้งวัน
เมื่ออิ่มหนำแล้ว สามสมาชิกตระกูลจางก็มานั่งปรึกษากัน
“ท่านพี่ว่าครั้งนี้หมิงเอ๋อร์จะอาการแย่เหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยถามสามี
“คงไม่เป็นไรมากหรอกน้องหญิง ท่านหมอผิงก็บอกแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
“นั่นสิลูกสะใภ้ เจ้าอย่าได้กังวลไปให้มาก เจ้าเองก็เพิ่งหายเช่นกัน ตัวเจ้าก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย” นางหูเอ่ยเตือนลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
“โชคดีนะเจ้าคะที่เรามีน้ำตาลผัก ไม่เช่นนั้นไม่รู้หมิงเอ๋อร์จะงอแงขนาดไหน”
“นั่นสิ พวกเราโชคดีมาก น้ำตาลผักช่วยให้หมิงเอ๋อร์ดื่มยาได้ง่ายขึ้นจริง ๆ หือ! ช่วยให้ดื่มยาง่ายเช่นนั้นหรือ” จางอี้เทาพูดกับตนเองเบา ๆ
“ท่านพี่มีอันใดหรือเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเห็นท่าทีแปลก ๆ ของสามีก็เอ่ยถาม
“น้องหญิง เจ้าบอกว่าน้ำตาลผักช่วยทำให้หมิงเอ๋อร์ดื่มยาได้ง่ายขึ้น แล้วถ้าเราเอาน้ำตาลผักไปขายให้กับร้านหมอต่างๆ ล่ะ คงช่วยให้เด็กหลายคนที่ไม่ชอบดื่มยาต้มยอมกินยาได้ง่ายขึ้น จริงหรือไม่” จางอี้เทาอธิบายให้ภรรยาฟัง
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์กินยายากที่สุดแล้ว แต่นี่เขากลับกินยาต้มได้อย่างง่ายดาย ข้าเชื่อว่าถ้าเอาน้ำตาลผักผสมลงไปในยา จะต้องช่วยให้เด็กกินยาได้ง่ายขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เห็นเป็นเช่นใดขอรับ”
“แม่ก็เห็นด้วยนะ” นางหูสนับสนุนความคิดบุตรชาย
“แต่ข้าไม่แน่ใจว่าหมิงเอ๋อร์ทำสัญญาขายน้ำตาลผักให้กับเถ้าแก่หวังเพียงผู้เดียวแล้วเราจะขายให้กับร้านหมอได้หรือไม่ เช่นนั้นเมื่อหมิงเอ๋อร์หายดีแล้ว ข้าจะลองคุยกับลูกเรื่องนี้”
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ”
“แม่ก็เห็นด้วย” นางหูยกยิ้ม “อย่างน้อยการป่วยของหมิงเอ๋อร์ก็ยังมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น สวรรค์ช่างดีต่อครอบครัวเราเสียจริง”
หญิงชราเอ่ยขอบคุณสวรรค์และกราบไปทั้งสี่ทิศ จางอี้เทากับหลี่อ้ายเห็นเช่นนั้นจึงทำตามด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาของเหล่าทวยเทพ พวกเขานั่งคุยกันอีกสักพักก็พากันไปนอนที่แคร่ไม้
คืนนั้นหลี่อ้ายรับอาสานอนเฝ้าบุตรชาย แต่จางอี้เทาก็ลุกขึ้นมาต้มยาให้จางอี้หมิงเป็นการช่วยภรรยาอีกแรง ด้านหูไป๋หงนั้น สองสามีภรรยาเห็นพ้องว่าให้พักผ่อนจะดีกว่าเพราะนางอายุมากแล้ว สมควรพักผ่อนให้มากจะดีที่สุด
สำหรับจางอี้หมิงนั้นได้แต่นอนขมวดคิ้ว อาจจะเป็นเพราะพิษไข้จึงทำให้จิตใจอ่อนแอ ส่งผลให้เด็กน้อยฝันถึงชีวิตก่อนตอนที่เป็นอานนท์
“อย่า ๆ อย่าทำร้ายแม่ครู เจ้าคนชั่ว”
***
โปรดติดตามตอนต่อไปในเล่มที่สอง
บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง เล่ม 1 จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไรท์หวังว่าคุณรี้ดที่น่ารักทั้งหลายจะสนุกสนานกับเรื่องราวการสร้างฐานะของหมิงหมิงน้อยอย่างมีความสุข
ไรท์อยากขอรบกวนคุณรี้ด เพียงช่วยกดหัวใจให้คะแนน และรีวิวความเห็นหลังจากที่ได้อ่านจบไปแล้ว เพื่อเป็นกำลังใจให้กับไรท์ในการพัฒนางานเขียนเรื่องต่อไปในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นค่ะ
Thank you for your support.
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?