ตอนที่ 98 งูพิษ

เช้าวันนี้เป็นเช้าวันที่จางอี้หมิงรอคอยมาตลอดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในร่างนี้ เพราะเขากำลังจะไปหาบ้านจางตระกูลหลัก ที่ตอนนี้หัวหน้าตระกูล จางหม่าซือ ถูกจับกุมอยู่ที่กรมอาญา สมาชิกบ้านจางสายหลักต่างถูกคุมตัวไว้แต่ในจวน มันจึงเป็นโอกาสสำคัญที่เขารอตลอดมา

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้พวกเราสมควรเดินทางไปบ้านจางตระกูลหลักนะขอรับ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะไปรับป้ายวิญญาณท่านปู่แล้ว” จางอี้หมิงบอกสมาชิกทุกคนบนโต๊ะกินข้าว เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวสำหรับวันสำคัญเช่นนี้

“หมิงเอ๋อร์ หมายความว่าเช่นไร” จางอี้เทาถามขึ้น

“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าท่านคงได้ข่าวเรื่องที่หัวหน้าตระกูลจาง จางหม่าซือ ถูกกรมอาญาจับกุมตัวไป ข้อหาลอบปลงพระชนม์พระสนมผินแล้วกระมังขอรับ”

“พ่อได้ยิน ในตลาดและในสำนักศึกษาก็พูดถึงเช่นกัน ข่าวลือว่าอีกไม่กี่วันก็จะทำการตัดสินโทษ อาจจะถึงประหารชีวิต มันเป็นความจริงเช่นนั้นหรือ”

“จริงขอรับ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะไปยื่นข้อเสนอแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไรเล่าขอรับ”

“ข้อเสนอแลกเปลี่ยนอันใดหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายหันมาถามบุตรชาย

“แผนการเป็นเช่นนี้ขอรับท่านพ่อ...” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จางอี้หมิงจึงเอ่ยเล่าแผนการทั้งหมดให้บิดาและทุกคนได้รับฟัง

“ท่านพ่ออย่าลืมจำไว้ให้ดีนะขอรับ เราจะพลาดมิได้” จางอี้หมิงย้ำเตือนบิดาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“หมิงเอ๋อร์ เพื่อป้ายทองเว้นโทษตาย เจ้าต้องแลกมาด้วยสิ่งใด บอกพ่อได้หรือไม่” จางอี้เทาถามต่อ หลังจากได้ฟังแผนการจากบุตรชายแล้ว เขาจึงวิตกกังวลขึ้นมาทันทีว่าสิ่งใดที่เด็กน้อยนำไปแลกกับป้ายทองเว้นโทษตาย สิ่งสำคัญมากเพียงใดถึงขนาดที่องค์ฮ่องเต้ยินดียอมแลกเปลี่ยนเช่นนี้

“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลเลยขอรับ ข้ามิได้ทำอันใดเกินกำลังของข้าแน่นอน ในตอนนี้พวกเรารีบกินข้าวและไปยังจวนหลักก่อนเถอะขอรับ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด วันนี้เราอาจจะได้ป้ายวิญญาณท่านปู่กลับมาด้วยเลย” จางอี้หมิงเอ่ยปัดความสนใจของทุกคนออกไป เขาไม่อยากให้คนที่รักต้องมาวิตกกังวลในเรื่องของตนเองแม้แต่น้อย

“ได้ เช่นนั้นก็รีบกินข้าวและเตรียมตัวกันเถอะ” เป็นนางหูที่เอ่ยสรุปความ

ขณะนี้รถม้าสองคันของบ้านจางจากเขตพื้นที่เหลียนฮวา จอดรออยู่ที่หน้าจวนของบ้านตระกูลหลักที่มีทหารปิดทางเข้าออกบริเวณหน้าจวนไว้อย่างแน่นหนา

อาซานเป็นคนนำหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับจางอี้หมิงไปยื่นให้เหล่าทหารดู เพียงไม่นานทหารเฝ้ายามก็อนุญาตให้สมาชิกบ้านจางเข้าไปยังบ้านหลักของตระกูลจางได้ โดยมีหัวหน้าทหารเป็นผู้นำสมาชิกทุกคนเดินไปรอเจ้าบ้านที่ห้องโถงของบ้านหลัก

“ท่านหัวหน้าทหาร โปรดเป็นพยานในการเจรจาด้วยเถิดขอรับ” เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยขึ้นกับหัวหน้าทหาร ผู้เป็นคนพาครอบครัวตนเองมาถึงห้องโถงนี้

“ได้ ข้ายินดี ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ตามลำพังกับนักโทษได้” หัวหน้าทหารตอบ ก่อนที่ทุกคนจะไปนั่งรออย่างสงบ

เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน จางอี้เหลียนและผู้อาวุโสสองสามคนของตระกูลก็เดินเข้ามายังโถงห้องรับรอง ด้วยใบหน้าหม่นหมองหมดแล้วซึ่งความหยิ่งผยองดั่งเช่นที่ผ่านมา

“ข้ามิรับแขก...เหตุใดพวกเจ้าจึงอยู่ที่นี่” ฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอินตะคอก

“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านมีสถานะดั่งเช่นนักโทษ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยอย่างไร้มารยาทต่อแขกเช่นนั้น” หัวหน้าทหารเอ่ยเตือนจือเฟยอินเสียงดัง

“หึ ตราบใดที่กรมอาญายังสอบสวนอยู่และมิได้ตัดสินพิพากษา พวกข้ายังมิถือว่าเป็นนักโทษ” จือเฟยอินแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมรับสถานะของตน

“แต่หลักฐานมัดตัวแน่นหนา สนมผินมีใบหน้าที่อัปลักษณ์ไปแล้วเช่นนั้น เจ้ายังคิดว่าจะรอดพ้นโทษประหารชีวิตอีกเช่นนั้นหรือ” หัวหน้าทหารเอ่ยถามพลางย้ำความผิดที่จางหม่าซือพลาดพลั้งไป

“มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด ตระกูลจางของข้าถูกคนอื่นใส่ร้าย ตระกูลเราจะเอาความกล้าจากไหนมาลอบปลงพระชนม์พระสนมที่พวกข้ามิได้รู้จักคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย เพียงปีนี้ได้มีโอกาสนำส่งผ้าไหมกระจ่างฟ้าขายให้กับในวังหลวงเพียงเท่านั้น หากว่ารู้จะเป็นเช่นนี้ข้ามิยอมส่งไปเป็นแน่”

“ฮูหยินผู้เฒ่ามาคร่ำครวญตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า ข้ามองมิเห็นทางรอดของหัวหน้าตระกูลจางแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าพวกท่านอาจจะถูกริบทรัพย์เพื่อเป็นการขออภัยแก่พระสนมและสมาชิกในตระกูลของเจ้าอาจจะถูกเนรเทศไปยังชายแดนก็เป็นได้” หัวหน้าทหารยังคงเน้นย้ำถึงโทษทัณฑ์ที่คาดว่าตระกูลจางจะได้รับ

“ท่านย่า ข้ามิยอมนะเจ้าคะ พวกเราต้องตายแน่ ๆเลยเจ้าคะ”

จางอี้เหลียนเมื่อได้ยินคำกล่าวของหัวหน้าทหารก็ลนลานตื่นกลัวขึ้นมาทันใด นางถูกเลี้ยงดูมาดังองค์หญิง มิเคยได้ตกระกำลำบาก หากต้องโดนโทษทัณฑ์ดั่งเช่นที่หัวหน้าทหารกล่าวอ้าง นางต้องไม่รอดแน่

“เหลียนเอ๋อร์ใจเย็น ๆ ย่ากำลังหาทางช่วยพ่อเจ้าอยู่”

“ท่านย่า ท่านจะช้ามิได้นะเจ้าคะ ข้าไม่อยากโดนเนรเทศ” จางอี้เหลียนยังคงห่วงตนเองคนเดียว ไม่แม้แต่จะคิดถึงบิดาที่อาจโดนโทษประหารชีวิต

“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่า พวกข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีข้อเสนอมาแลกเปลี่ยน มิทราบว่าสนใจหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถามเมื่อได้จังหวะที่เหมาะแก่การพูดคุย

“เจ้าต้องการอันใดเป็นข้อแลกเปลี่ยน” ฮูหยินผู้เฒ่าถามเสียงแผ่ว ที่ผ่านมาหลายวันนางก็ยังหาคนจะช่วยมิได้ หันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยทั้งนั้น

“ป้ายวิญญาณท่านพ่อของข้า แลกกับป้ายทองเว้นโทษตายให้กับจางหม่าซือ” จางอี้เทากล่าว

“ว่าอย่างไรนะ เจ้าถึงกับมีป้ายทองเว้นโทษตายเช่นนั้นหรือ เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” จางฮูหยินลุกขึ้นและเอ่ยสั่งเสียงเข้ม

“ฮูหยินใหญ่ ท่านจะมิเสียมารยาทเกินไปหรอกหรือ ป้ายทองเว้นโทษตายนี้เป็นของตระกูลจางของข้า เหตุใดข้าต้องมอบให้ท่านด้วย” เป็นหูไป๋หงที่เอ่ยขัด

“เจ้ากับข้าก็เป็นฮูหยินตระกูลจางเช่นกัน เหตุใดข้าจะใช้ไม่ได้”

“ฮูหยินใหญ่ ท่านคงลืมไปแล้วว่าท่านทำหนังสือแยกบ้านตัดขาดกันแล้วก่อนที่พวกข้าจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลัวถง” จางอี้เทาเอ่ยค้านเสียงเรียบ

“ได้ ข้ายินยอมมอบป้ายวิญญาณท่านพี่ให้กับเจ้าเพื่อแลกกับป้ายทองละเว้นโทษตาย แต่เจ้าก็คงรู้ว่าพวกเราทำหนังสือตัดขาดกันแล้ว เช่นนั้นในเมื่อป้ายทองมอบให้ตระกูลจาง พวกเจ้าต้องทำพิธีกลับเข้ามายังตระกูลจางก่อน ป้ายทองเว้นโทษตายจึงมีผลบังคับใช้ได้

หลังจากนั้นก็ให้ท่านผู้อาวุโสประจำตระกูลทำพิธีร่วมกับท่านนักพรตในการจัดทำป้ายวิญญาณท่านพี่อันใหม่ขึ้นมา ข้าต้องการทำพิธีในวันนี้เลย เพราะอาซือคงรอไม่ไหวหากต้องเลื่อนออกไปอีกหลายวัน พิธีการเป็นเเช่นนี้พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าจางถามแขกที่มาเยือนแต่เช้าในวันนี้ด้วยความร้อนรน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องช่วยชีวิตลูกชายของนางไว้ให้ได้

“ได้ การทำพิธีมิได้มีเรื่องยุ่งยากอันใด ฮูหยินใหญ่สามารถให้พ่อบ้านทำพิธีได้เลย” จางอี้เทาเห็นด้วย

หลังจากตกลงเรียบร้อยกันทั้งสองฝ่าย พิธีการกลับเข้าเป็นสมาชิกตระกูลจางจึงดำเนินขึ้นภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ร่วมทั้งนักพรต ผู้อาวุโสของตระกูลด้วย

“ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาเป็นสมาชิกของตระกูลจางแล้ว เช่นนั้นก็ทำพิธีได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าจางลุกขึ้นเดินไปยังหน้าแท่นพิธี นางบรรจงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาสำหรับทำพิธีและกำลังจะยื่นส่งให้กับสมาชิกบ้านจางเขตพื้นที่เหลียนฮวาทุกคนได้รับไปดื่ม ทว่าอาซานรีบเดินเข้าไปตรวจสอบพิษเสียก่อน

“นี่...พวกเจ้าคิดว่าข้าจะวางยาพิษในน้ำชาเช่นนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน!” ฮูหยินผู้เฒ่าจางเอ่ยถามเสียงไม่พอใจ

“ท่านอาวุโส องครักษ์ของข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น หากท่านมีใจบริสุทธิ์เหตุใดต้องกังวลหรือมีเรื่องให้กลัวด้วย” จางอี้หมิงพูด

“หึ รีบทำเข้า พวกเราไม่ค่อยมีเวลามากนัก อาซือรอข้าอยู่”

“ไม่มีพิษขอรับคุณชายน้อย” อาซานแจ้งแก่เจ้านายตัวน้อยแล้วถอยไปยืนด้านหลังตามปกติเมื่อทำการตรวจสอบครบแล้ว

“รีบมาทำพิธีต่อกันเถอะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นถ้วยชาให้กับสมาชิกทุกคน แต่เมื่อหลี่อ้ายถือไว้เท่านั้นก็รู้สึกพะอืดพะอม หน้ามืดขึ้นมาทันใด นางจึงปล่อยถ้วยชาหลุดมือ จางอี้เทาเห็นภรรยาจะล้มจึงรีบคว้าเอาตัวหลี่อ้ายไว้ได้ทัน

“น้องหญิงเป็นอันใดไป” จางอี้เทาถามอย่างเป็นกังวล

“ท่านพี่ ข้าเวียนหัวและหายใจมิค่อยสะดวกเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายตอบสามี

“ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่มิสบาย รบกวนท่านพ่อพาท่านแม่ไปหาหมอ ทางนี้ข้ากับท่านย่าจะทำพิธีต่อเองขอรับ” จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยแนะนำบิดาและมารดา

“ไม่ได้” เป็นฮูหยินผู้เฒ่าจางที่เอ่ยขัดขึ้น

“เหตุใดจึงมิได้” นางหูถามกลับ

“หากพวกเจ้าสองคนมิร่วมพิธีก็จะกลับมาเป็นสมาชิกของบ้านจางไม่สมบูรณ์”

“ข้าในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านจาง ข้าคงเป็นตัวแทนได้กระมัง อีกประการ หากเจ้าจะรอให้ลูกสะใภ้ข้าหายดีเสียก่อนถึงทำพิธีต่อก็ย่อมได้ แต่ข้าเกรงว่าลูกชายของฮูหยินใหญ่คงรอไม่ไหวกระมัง ส่วนข้านั้นมิมีปัญหาที่จะต้องรอไปอีกหน่อย” นางหูเอ่ย

“ไม่นะ ท่านย่า ท่านจะล้มเลิกพิธีออกไปไม่ได้ พวกเราต้องการป้ายทองนั่นนะเจ้าคะ ข้าไม่อยากตาย ไม่อยากถูกเนรเทศ ขอแค่เพียงมีตัวแทนคนเดียวก็คงเพียงพอแล้ว ท่านย่าดำเนินพิธีต่อเถอะเจ้าค่ะ” เป็นจางอี้เหลียนเอ่ยเร่งเร้าท่านย่าของตน นางจะมิยอมสูญเสียทุกอย่างไปเป็นแน่

“ได้ ๆ เหลียนเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ดำเนินพิธีต่อ”

จือเฟยอินเมื่อได้รับการเร่งจากหลานสาวจึงดำเนินพิธีต่อ ดังนั้นแล้วจึงมีเพียงหูไป๋หงกับจางอี้หมิงที่อยู่ร่วมทำพิธีกลับเข้าเป็นสมาชิกบ้านจางอีกครั้ง ส่วนจางอี้เทาและหลี่อ้ายถูกอาชีพาไปหาหมอ

จางอี้หมิงยังบอกให้บิดาและมารดากลับไปรอที่บ้านได้เลย ไม่ต้องกลับมาที่บ้านหลักอีก หลังจากที่สองย่าหลานดื่มน้ำชาเรียบร้อยแล้ว พิธีก็ถือว่าสมบูรณ์

หลังจากนั้นเหล่านักพรต ผู้อาวุโส จึงทำการอัญเชิญป้ายวิญญาณของอดีตผู้นำตระกูลจางขึ้นแท่นและมอบให้กับบ้านจางสายรองด้วยความเรียบร้อย นางหูยินยอมกลับมาเป็นสายรองของตระกูลจางอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรนางก็จะจากไปอยู่แล้ว

“เดี๋ยวก่อน!”

“นี่เป็นหนังสือตัดขาดบ้านรองของเจ้ากับบ้านหลักของข้า เจ้าคิดเช่นนั้นหรือว่าข้ายินดีรับพวกเจ้ากลับเข้ามาจริงๆ!” จือเฟยอินยื่นหนังสือตัดขาดแยกบ้านโยนลงไปบนพื้นดิน หลังจากที่นางได้รับป้ายทองเว้นโทษตายมาไว้ในมือ และหูไป๋หงรับเอาป้ายวิญญาณของสามีนางไปแล้วเช่นกัน

“ข้ายินดียิ่งนักที่ต่อแต่นี้พวกเราอย่าได้พบเจอกันอีกเลย ตายไม่เผาผี ข้าขออโหสิกรรมต่อพวกเจ้า หมิงเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ”

นางหูเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหลังถือป้ายวิญญาณสามีของนางพลางเตรียมผละตัวจากไป อาซานจึงเป็นคนไปหยิบหนังสือแยกบ้านมาถือไว้และเดินตามเจ้านายตัวน้อยออกไปพร้อมกัน

“ท่านอาจจะให้อภัยนาง แต่ข้าไม่ยินยอม”

ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับชะงักเมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เขามีร่างกายผอมแห้งใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนกำลังเจ็บป่วย แต่งกายด้วยชุดชาวบ้านทั่วไป ชายคนนั้นเดินมายังโถงของจวนอย่างมิเกรงกลัวต่อผู้ใด

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงผ่านทหารเข้ามายังโถงแห่งนี้ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าจางเอ่ยถามเสียงดัง

“ฮูหยินจาง ท่านจำข้ามิได้หรือ...มิใช่ข้าหรือที่ท่านส่งให้ไปดักปล้นบ้านจางสายรองเมื่อสองปีก่อน ข้ายินดีทำงานให้ท่านอย่างภักดี แต่ข้ามินึกเลยว่าท่านจะเสร็จศึกแล้วฆ่าขุนพลเช่นนี้ หากข้ามิได้รับการช่วยเหลือไว้ ชีวิตนี้คงไม่เหลือมาเปิดโปงท่านเป็นแน่” ชายวัยกลางคนยกนิ้วมือขึ้นชี้ไปยังฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน

“ตงฟาง เป็นเจ้า...”

“หึ ตอนนี้จำข้าได้แล้วเช่นนั้นหรือ”

“เดี๋ยวก่อนนะ พวกเจ้าคุยเรื่องอันใดกัน”

นางหูเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางจะมิสนใจแม้แต่น้อยหากนางไม่ได้ยินเรื่องการปล้นเมื่อสองปีก่อน

“ฮูหยินรอง ท่านคงมิรู้สินะว่าการปล้นคณะเดินทางของพวกท่านเมื่อสองปีก่อนนั้นล้วนเป็นคำสั่งของฮูหยินใหญ่ทั้งสิ้น นางทั้งเกลียด ทั้งริษยาและโกรธแค้นท่านที่อดีตผู้นำตระกูลรักท่านมากกว่านาง หลังขับไล่ท่านออกไปนางก็สั่งให้ข้าและพรรคพวกดักปล้นทรัพย์สินทุกสิ่งอย่าง ทั้งยังสั่งให้ฆ่าพวกเจ้าทุกคนในครานั้น แต่โชคดีที่สำนักคุ้มภัยช่วยท่านไว้ได้ ท่านจึงรอดมาถึงทุกวันนี้”

อดีตโจรร้ายเล่าเรื่องเมื่อครั้งนั้นให้ทุกคนในที่นี่ฟัง นางหูถึงกับทรงตัวไม่อยู่จนจางอี้หมิงต้องรีบเข้าไปประคองและรับป้ายวิญญาณของท่านปู่มาถือไว้เสียเอง

“ฮูหยินใหญ่ เหตุใดถึงต้องปองร้ายหมายเอาชีวิตด้วย การที่ท่านตัดขาดพวกข้าให้ไปอยู่ที่ชายแดนเช่นนั้นยังไม่สาแก่ใจท่านอีกงั้นหรือ...เหตุใดจึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้” นางหูถามเสียงอ่อนแรง มินึกว่าเลยว่านางจะถูกเกลียดชังมากถึงเพียงนี้

“คนเยี่ยงเจ้าจะไปรู้อันใด! เพราะเจ้าทำให้ท่านพี่จึงไม่เคยเหลียวแลข้า เพราะเจ้ามีบุตรชายที่เก่งกาจ ที่ถึงแม้ไม่ทำการค้าท่านพี่ก็มิเคยว่าอันใด ทั้งยังตามใจเจ้าและลูกทุกอย่าง แต่ซือเอ๋อร์ของข้าต้องถูกเคี่ยวกรำให้ร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลไม่เคยได้ทำในสิ่งที่ต้องการแม้แต่สิ่งเดียว!

ข้าเกลียดเจ้า เกลียดลูกชายเจ้า เมื่อท่านพี่ไม่อยู่แล้ว เจ้าก็มิสมควรอยู่ที่จวนตระกูลอีกต่อไป แต่เจ้ามันโชคดีหนีรอดไปได้” จือเฟยอินกล่าวออกมาด้วยความสับสนในอารมณ์เมื่อถูกเปิดโปงการกระทำของตนเอง

“แล้วอย่างไร ตอนนี้ข้ามีป้ายทองเว้นโทษตายในมือ ต่อให้ข้าจะฆ่าคน ก็ไม่มีใครสามารถทำอันใดข้าได้ พรุ่งนี้ข้าจะนำเอาป้ายนี้ไปขอพระราชทานอภัยโทษให้ซือเอ๋อร์ แต่พวกเจ้าจะมีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือไม่ คงต้องแล้วแต่พระประสงค์ขององค์เทพแล้ว” นางเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง คล้ายกับคนที่เสียสติไปแล้ว

“เจ้าหมายความว่าเช่นไร...” นางหูถามต่อ

หากแต่ยังมิทันได้รับคำตอบ นางหูก็เอามือกุมหน้าอกและกระอักโลหิตออกมาคำโต รวมทั้งจางอี้หมิงที่ประคองป้ายวิญญาณและท่านย่าด้วย

“อึก...”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดหรือว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอดไปอีกเป็นครั้งที่สอง พวกเจ้าคงนึกว่าตนเองฉลาดที่ทดสอบพิษในน้ำชา แต่ว่าพวกเจ้าคงไม่รู้ว่าพิษมันอยู่ที่ป้ายวิญญาณท่านพี่ต่างหากเล่า รักกันมากใช่หรือไม่ หากรักกันมาก ก็สมควรไปอยู่ด้วยกันในปรโลกเถอะ” จือเฟยอินเอ่ยด้วยความสาสมใจ นางหัวเราะพลางแหงนใบหน้าขึ้นฟ้า ทว่าอีกไม่นานก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“จะ เจ้า!”

“ท่านย่า!”

จางอี้เหลียนกรีดร้องเสียงหลง รีบเข้าไปประคองย่าของตนเองไว้พลางร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างเสียสติเช่นกัน นางเป็นเพียงคุณหนูในห้องหอ ต้องมาเห็นคนเจ็บใกล้ตายถึงสามคน สติจึงกระเจิดกระเจิงออกจากตัวไปแล้ว

เหตุที่จือเฟยอิน ฮูหยินผู้เฒ่าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นเพราะว่านางถูกอดีตโจรร้ายใช้มีดแทงเข้าที่ท้องไปหลายที และในครั้งสุดท้าย เขายังใช้กำลังทั้งหมดกดมีดลงไปจนสุดแรง

ชายวัยกลางคนอาศัยจังหวะที่ทุกคนตกตะลึงกับอาการเจ็บป่วยของสองย่าหลาน หัวหน้าทหารไม่ทันได้ระวังตัว เขาจึงเข้าถึงฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างง่ายดาย

“ในตอนแรกที่ข้าได้ข่าวว่าตระกูลเจ้าถูกจับกุม ก็หวังให้พวกเจ้าตกตายไปตามโทษทัณฑ์ที่ได้รับ แต่เมื่อรู้ว่าพวกเจ้ามีป้ายทองเว้นโทษตายก็เปลี่ยนใจ ในเมื่อกฎหมายลงโทษเจ้าไม่ได้ ข้าจะเป็นคนลงโทษเจ้าเอง เพราะข้าเองก็เบื่อหน่ายกับความรู้สึกผิดแล้วเช่นกัน”

อดีตหัวหน้าโจรเอ่ย เขานั่งลงคุกเข่ายกมืออย่างยอมแพ้ หัวหน้าทหารตื่นจากภวังค์ รีบเข้าไปควบคุมตัวชายวัยกลางคนนั้นทันที

อาซานเห็นเจ้านายตัวน้อยและหูไป๋หงล้มลงบนพื้น เขาจึงรีบล้วงขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาเป่าส่งสัญญาณออกไป เพียงไม่นานกลุ่มองครักษ์เงาของหน่วยเหลียงไป๋ก็ปรากฏตัวขึ้น

“อาปา ระวังด้วยป้ายวิญญาณมียาพิษ” อาซานเอ่ยเตือนเพื่อนองครักษ์ด้วยกัน

พวกองครักษ์เร่งเข้าไปอุ้มหูไป๋หงและจางอี้หมิงอย่างรวดเร็ว โดยมี อาปา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษเป็นผู้หยิบป้ายวิญญาณของอดีตผู้นำตระกูลจางมาถือไว้ อีกด้านนั้นอาซานก็เดินไปหยิบป้ายทองเว้นโทษตายกลับไปด้วย

หน่วยองครักษ์เหลียงไป๋จากไปทันทีเมื่อได้ตัวเจ้านายตน ปล่อยให้จือเฟยอินที่อยู่ในอ้อมกอดของหลานสาวค่อย ๆ สิ้นลมหายใจ

จางอี้เหลียนเห็นท่านย่าของตนสิ้นลมไปตรงหน้า นางก็สูญสิ้นสติ กรีดร้องออกมาแล้วเป็นลมล้มพับไปอีกคน เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลและนักพรตได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนปรับอารมณ์และความรู้สึกไม่ทัน

มารู้สึกตัวอีกที ฮูหยินผู้เฒ่าก็สิ้นลมไปแล้ว คุณหนูใหญ่จางอี้เหลียนเองก็เป็นลมหมดสติ ชายวัยกลางคนถูกทหารนำตัวไป พวกเขาจึงได้แต่เข่าอ่อนทรุดนั่งลงตรงนั้นอย่างไร้หนทาง มันจบสิ้นแล้ว ทุกๆอย่างพังทลายอย่างไร้ทางกลับ

ชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว หากไม่มีป้ายทองเว้นโทษตาย..หนทางรอดก็หามีไม่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ