ตอนที่ 47 กลับคำพูด

เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส แสงแดดอุ่นสาดลงมาพร้อมหมู่นกกาที่โบยบินผ่านกระท่อมปลายนาไป ครอบครัวสกุลจางต่างตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน แต่หามีความสดใสหรือเสียงหัวเราะอย่างเช่นตามปกติไม่ เหตุเพราะว่ามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก ยิ่งในตอนเช้าของวันนี้ต้องไปพบชาวบ้านก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ จางอี้เทาได้แจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านทราบตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วถึงการขอนัดรวมกลุ่ม

เมื่อถึงเวลา ครอบครัวสกุลจางจึงพร้อมใจกันไปที่ลานหมู่บ้านซึ่งอยู่ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย วันนี้มีชาวบ้านมารออยู่ก่อนแล้วเป็นจำนวนมาก แม้แต่หลวนซานก็มาร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย  

“วันนี้ที่ข้าเรียกประชุมก็เกี่ยวเนื่องจากบ้านสกุลจางมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ เช่นนั้นบ้านจาง เจ้าก็แจ้งข่าวเถอะ” ซุนถงเป็นคนกล่าวเปิดการประชุม เสร็จแล้วจึงถอยไปนั่งตรงเก้าอี้ประจำของตนเอง

จางอี้เทาเป็นคนลุกขึ้นยืนและแจ้งข่าวที่เขาก็ไม่อยากบอกให้กับชาวบ้านได้รับฟัง แต่ต่อให้เลื่อนเวลาออกไปให้นานแค่ไหน สุดท้ายก็จำเป็นต้องแจ้งข่าวนี้อยู่ดี

“วันนี้สกุลจางมีข่าวการค้ากับหนิงอ๋องมาแจ้งอยู่สองสามเรื่อง โปรดฟังด้วยความตั้งใจ หากมีคำถามจงรอจนกว่าข้าจะเล่าเรื่องจบแล้วได้หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยขอคำสัญญาจากชาวบ้านเพราะหากชาวบ้านได้ฟังปัญหาคงจะเกิดความวุ่นวายเป็นแน่

“อย่าได้ชักช้า มีข่าวอันใดมาก็รีบบอก” หลวนซานเป็นคนตะโกนพูดออกมา

“หลวนซาน การค้ากับหนิงอ๋องหาได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าไม่ เหตุใดใจร้อน รอให้อาเทาแจ้งเพียงเท่านี้เจ้าก็ทนมิได้เลยเชียวหรือ” ซุนซูเย่เอ่ยคัดค้านขึ้นมา

“เรื่องแรก บ้านสกุลจางมีสูตรหัวเชื้อที่จะนำมามอบให้กับชาวบ้านแล้วเรียบร้อย เพียงแค่พวกท่านนำไปต้มตามสัดส่วนที่ข้าจะบอก ต่อไปก็สามารถทำน้ำตาลผักออกมาขายได้เลย” จางอี้เทาเอ่ยบอกด้วยเสียงช้าและนุ่มนวล

“เป็นข่าวดียิ่ง” อาห้าวผู้ที่คิดการทำบันไดดินขึ้นเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่า....” 

“หึ ในเมื่อทำหัวเชื้อน้ำตาลผักเสร็จเรียบร้อยแล้วเหตุใดจึงมีคำว่าแต่เล่า พวกเจ้าคงจะหลอกลวงพวกเราชาวบ้านอยู่เป็นแน่ใช่หรือไม่”

จางอี้เทายังพูดไม่ทันจบหลวนซานรีบพูดโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง เขาเอ่ยตำหนิจางอี้เทาด้วยเสียงเยาะเย้ยอยู่ในที

“นี่ หลวนซาน หากเจ้ามือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำ อย่าได้ขัดการเล่าของอาเทาได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาร่วมฟัง” ซุนถงทนไม่ไหว เอ่ยไล่ลูกบ้านคนนี้ขึ้นมาทันที

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เพราะท่านสนิทสนมกับสกุลจางใช่หรือไม่ถึงได้ปกป้องพวกมันเช่นนี้ ท่านมันไม่ยุติธรรม ข้าก็เป็นลูกบ้านคนหนึ่งเหตุใดข้าจะไม่มีสิทธิ์อยู่ร่วมรับฟังเล่า ข้าไม่ไป ถึงไล่ข้าก็จะอยู่” หลวนซานชี้หน้าว่าให้กับซุนถงด้วยความดื้อดึง

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน อย่าได้ทะเลาะกันเลยขอรับ พวกเรามาช่วยกันแก้ปัญหาดีหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยขอร้องซุนถงให้เลิกทะเลาะกับหลวนซวนเพราะเรื่องของบ้านสกุลจาง

“เห็นหรือไม่ สุดท้ายบ้านจางก็บอกมาแล้วว่ามีปัญหา พวกเจ้าถูกบ้านจางหลอกเข้าแล้ว” หลวนซานยกมือกอดอกยิ้มเยาะและกล่าวหาสกุลจางเสียงดัง ชาวบ้านที่ในตอนแรกยังคงเงียบเริ่มพูดคุยปรึกษากันเสียงเซ็งแซ่

“เอาล่ะ พวกเจ้าเงียบก่อน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ฟังบ้านจางอธิบายก่อน” เป็นซุนถงเคาะไม้ขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

“เช่นนั้นเจ้าก็รีบเล่ามาว่ามีปัญหาอันใดกันแน่” หลวนซานเกาะติด เขาไล่ถามจางอี้เทาโดยไม่เว้นให้อดีตอาจารย์ได้มีเวลาหาคำตอบได้เลย

“เมื่อบ้านจางได้รับใบสั่งซื้อจากหนิงอ๋องด้วยความดีใจแล้ว ขาดการคิดให้รอบคอบจึงได้ตกปากรับคำเรื่องการผลิตน้ำตาลผักไป เพื่อช่วยให้ชาวบ้านได้มีงานทำ บ้านจางถึงกับต้องจ้างช่างในเมืองให้มาสร้างบ้านให้แทนที่จะให้ชาวบ้านช่วยสร้างบ้านโดยแลกกับการสอนบุตรหลานของพวกท่านตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรก

ในการต้มน้ำตาลผักจำนวนหนึ่งแสนไหนั้น สกุลจางคิดว่าปัญหาคือพวกเราชาวบ้านทั้งหลายจะเอาฟืนที่ไหนมาต้มน้ำตาลผักให้เพียงพอกับใบสั่งซื้อกันเล่า นี่ก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ฟืนจึงถูกกักเก็บไว้เพื่อใช้ในฤดูหนาวเป็นจำนวนมาก หากพวกเราเอาฟืนมาต้มน้ำตาลจนหมด แล้วจะเอาฟืนที่ไหนมาไว้ใช้ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง” 

จางอี้เทาเล่าจบในคราวเดียว เขาใช้เสียงนิ่งเรียบทว่าก็ไม่ได้เพิกเฉย เมื่อชาวบ้านได้ฟังปัญหานั้นถึงกับเงียบเสียงไปทุกคน

 ใช่แล้ว...พวกเขามัวแต่ดีใจที่จะได้มีเงินทองจากการทำน้ำตาลผักขายให้กับหนิงอ๋อง แต่ลืมปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงไปเสียได้

“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วว่าบ้านจางเป็นพวกหลอกลวงแต่ก็ไม่มีใครเชื่อข้าสักคน บ้านจางหลอกให้พวกเจ้าปฏิเสธงานในเมือง หลอกให้พวกเจ้าดีใจว่าจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนี้พวกเจ้าคงรู้ตัวแล้วใช่หรือไม่” หลวนซานหัวเราะเสียงดังหลังจากได้ฟังจบ เขาผยองตัวขึ้นอย่างผู้ที่มีชัย 

“หลวนซาน หากเจ้าไม่พูดไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้ ไม่ช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหาก็จงเงียบ พวกข้าจะได้หาทางออกเรื่องนี้กัน” ซุนซูเย่ต่อว่าหลวนซาน ชายเพียงคนเดียวที่มีคติต่อบ้านจาง

“เราไปหาซื้อฟืนจากหมู่บ้านอื่นดีหรือไม่” ชายคนหนึ่งออกความเห็น

“เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะหมู่บ้านอื่นก็ต้องสะสมฟืนสำหรับหน้าหนาวเช่นกัน ทุกปีที่ผ่านมาฟืนก็เกือบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว เรื่องฟืนเป็นปัญหาของเรื่องนี้จริง ๆ” ซุนถงตอบคำถามของลูกบ้านและถอนหายใจออกมา

“หากเราตัดไม้มาทำฟืนแทนเล่า” ชายอีกคนเสนอความเห็นบ้าง

“พวกเรามิต้องตัดไม้จนหมดภูเขาหรือไร” ชาวบ้านอีกคนตอบ

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ จางอี้เทาเห็นว่าทุกคนคงไม่มีทางออกถึงปัญหาเรื่องฟืนเป็นแน่แท้แล้ว เขาจึงแจ้งเรื่องที่สองต่อทันที

“สำหรับเรื่องที่สอง ถึงแม้ว่าเรายังหาข้อสรุปเรื่องน้ำตาลผักไม่ได้ แต่ข้ามีข่าวดีมาทดแทน สกุลจางได้คิดค้นเกลือผักขึ้นมาและท่านอ๋องก็ยินดีรับซื้อเกลือผักทั้งหมดที่กลุ่มการค้าหลัวถงผลิตขึ้นมาได้”

“อาเทา เจ้าว่าเช่นไรนะ ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ เจ้าบอกว่าเกลือผักเช่นนั้นหรือ” อาห้าวตะโกนถามขึ้นมาเสียงดัง

จะไม่ให้เขาเสียงดังได้เช่นไร ในเมื่อเขาเพิ่งได้ยินว่าบ้านจางทำเกลือผักขึ้นมาได้ เกลือเป็นสินค้าที่ชาวบ้านอย่างพวกเขาอย่าหาได้ฝันที่จะมีโอกาสลิ้มลองบ่อย ได้บ่อย ๆ เนื่องจากมีราคาแพงและถูกควบคุมด้วยราชสำนักมาโดยตลอด

“ใช่แล้วพี่ห้าว สกุลจางได้คิดค้นเกลือผักขึ้นมา หน้าตาเป็นเช่นนี้ น้องหญิง พี่ขอตัวอย่างเกลือผักด้วย” จางอี้เทาเอ่ยตอบอาห้าวแล้วหันหน้าไปขอตัวอย่างจากภรรยา วันนี้สกุลจางนำเกลือผักที่เขากับภรรยานั่งทำตลอดทั้งบ่ายเมื่อวานนี้มาเป็นตัวอย่างด้วย

หลี่อ้ายลุกเอาเกลือผักไปส่งให้กับสามีแล้วกลับมานั่งลงที่เดิม จางอี้เทาจึงเอาตัวอย่างส่งให้ซุนถงซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจึงส่งกระจายไปให้ชาวบ้านที่ร่วมประชุมทุกคนได้ชมและชิมกัน รออยู่ประมาณหนึ่งเค่อ อาห้าวก็ได้กล่าวขึ้นทำลายความเงียบเป็นคนแรก

“อาเทา นี้มันคือเกลือที่ทำจากผักเช่นนั้นหรือ” 

“ใช่แล้วพี่ชาย รสเค็มจากเกลือผักจะไม่เค็มโดดมาก เพราะทำจากผักจึงมีความละมุนอยู่ในตัว ท่านอ๋องชอบเกลือผักมาก” จางอี้เทาชี้แจงถึงข้อดีของเกลือผัก

“ไม่เห็นเป็นไร ขอเพียงอาหารมีรสชาติเค็มบ้างคงดีไม่น้อย” ซุนซูเย่เอ่ยขึ้น

“แล้วท่านอ๋องต้องการเกลือผักปริมาณมากน้อยเพียงใดเล่า” ซุนถงถามต่อ

“มากเท่าที่ทางกลุ่มการค้าหลัวถงสามารถผลิตขายได้ขอรับ”

“มากถึงเพียงนั้นแล้วเกลือผักมีขั้นตอนที่ต้องใช้ฟืนในการทำหรือไม่เล่า” ซุนถงเอ่ยถามอีกครั้ง เพราะถ้าหากว่าต้องใช้ฟืนในการทำมันก็ไม่ต่างอันใดกับน้ำตาลผัก แบบนี้ปัญหายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“เกลือผักไม่ต้องใช้ฟืนในการทำขอรับ ทำง่ายแต่หลายขั้นตอนและต้องใช้เวลาเพียงเท่านั้นเอง”

“โอ้ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง เช่นนั้นบ้านจางมีความเห็นเช่นไรขอจงบอกมา” ซุนถงถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง

“เกลือผักนั้นบ้านจางได้ตกลงขายให้กับเถ้าแก่หวังไปในราคาห่อละสิบอีแปะเท่ากับเครื่องเทศทั่วไป เนื่องจากท่านเจ้าเมืองอนุญาตให้ขายได้โดยถือเป็นเครื่องเทศเพื่อป้องกันทางราชสำนักจับกุมผู้ที่จัดจำหน่าย

สกุลจางจะบอกวิธีการทำเกลือผักให้กับทุกคน โดยมีข้อแม้ว่าชาวบ้านที่ทำเกลือผักขึ้นมาต้องนำมาขายให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงในราคาสิบอีแปะ โดยต้องหักค่าสูตรให้บ้านจางสองอีแปะ และส่วนกลาง หนึ่งอีแปะ พวกท่านจะได้เงินจากการขายเกลือผักไปห่อละเจ็ดอีแปะ

ชาวบ้านต้องไม่เผยแพร่การทำเกลือผักให้กับหมู่บ้านอื่นรู้ ผักที่นำมาทำเกลือต้องช่วยกันรักษาเพื่อเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ที่สำคัญต้องไม่ทำเกลือผักแล้วนำไปขายในเมืองเองโดยไม่ผ่านกลุ่มการค้าหลัวถง หากใครฝ่าฝืนคงจะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงต่อไปมิได้ ทุกท่านมีความเห็นเช่นไร” 

“ข้าเห็นด้วย เพราะการทำเกลือผักคงง่ายกว่าการไปทำงานในเมือง ข้าอยากอยู่กับครอบครัว” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก

“ข้าเข้าร่วมด้วย เช่นนั้นบ้านไหนทำได้มากเท่าไหร่ก็ได้เงินมากเท่านั้น ถูกหรือไม่” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่อุ้มลูกน้อยเอ่ยถามต่อ

“ใช่แล้ว จำนวนเงินที่จะได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนเกลือผักที่พวกเจ้าทำขึ้นมา ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย และจะจ่ายเงินให้ทุกครั้งที่เถ้าแก่มารับสินค้าไป ข้านัดเถ้าแก่ไว้ทุกสามวันสำหรับน้ำตาลผัก และทุกเจ็ดวันสำหรับเกลือผัก ในตอนนี้คงยกเลิกน้ำตาลผักไปก่อน” จางอี้เทาอธิบาย

“เอาล่ะ ข้าขอถามอีกครั้งว่าพวกเจ้าจะเข้าร่วมทำเกลือผักกับสกุลจางและยอมรับข้อตกลงที่เสนอมาหรือไม่ ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงเข้าร่วมด้วย เช่นนั้นใครที่ไม่เข้าร่วมให้ยกมือขึ้น” ซุนถงเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเงียบเพื่อรอฟังคำตอบจากลูกบ้านของตนเอง

“เหอะ พวกเจ้ายังโง่ดักดานอยู่เช่นเดิม พวกเจ้ายังจะกล้าเชื่อคำพูดของบ้านจางอีกเช่นนั้นหรือ พวกเจ้าอาจจะเชื่อ แต่ไม่ใช่สำหรับข้า” หลวนซานกล่าวเสร็จแล้วนั่งลงที่เดิม ไม่แม้แต่สนใจจะยกมือเพื่อแสดงว่าตนไม่ยอมรับด้วยซ้ำ

“อาเทา อย่าไปถือสาหลวนซานเลย ไหนลองบอกขั้นตอนต่อไปสิว่าพวกเราต้องทำเช่นไรอีกบ้าง” ซุนซูเย่เอ่ยถาม

“เกลือผักที่บ้านจางคิดค้นขึ้นมานั้นทำมาจากต้นหญ้าสายรุ้งที่อยู่ริมชายทะเล ล้างให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้ง เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด เพียงเท่านี้ก็ได้เกลือผักแล้ว” จางอี้เทาบอกวิธีการทำเกลือผักให้ทุกคนเข้าใจอย่างคร่าวๆ

“ง่ายเพียงเท่านี้ แต่บ้านจางเก็บค่าสูตรถึงสองอีแปะ จะไม่เอาเปรียบพวกเราชาวบ้านเกินไปหรือ” หลวนซานได้ยินวิธีการทำเกลือผักที่ง่ายถึงเพียงนั้นก็เอ่ยแย้งออกมา

“เช่นนี้ไม่ถูกนะหลวนซาน เจ้าบอกว่าง่ายถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดที่ผ่านมาชาวบ้านหลัวถงถึงไม่นำหญ้าสายรุ้งมาทำเกลือผักเล่า บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านนี้มากี่ชั่วอายุคนแล้ว แต่พอบ้านจางคิดค้นทำเกลือผักขึ้นมาได้ แล้วนำมาบอกต่อให้กับชาวบ้านเจ้าถึงกับกล่าวหาว่าสกุลจางหน้าเลือด 

ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะกล่าวเช่นนี้ และจงจำเอาไว้ หากเจ้าต้องการทำเกลือผัก จะต้องนำมาขายให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงเท่านั้น หากว่าเจ้าแอบลักลอบนำไปขายเอง ก็อย่าหาว่าชาวบ้านคนอื่นใจร้าย ข้าขอเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าได้คิดหาทำเช่นนั้นไม่” ซุนถงเอ่ยดักทางหลวนซานผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับสกุลจางมาตั้งแต่แรก

“ข้าขอขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านที่เข้าใจขอรับ” จางอี้เทายกมือคารวะและเอ่ยขอบคุณซุนถงอีกครั้ง นางหู หลี่อ้ายและจางอี้หมิงต่างก็ลุกขึ้นคารวะขอบคุณเช่นกัน

หลวนซานได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านพูดดักทางไว้เช่นนั้นจึงนึกโมโหและเดินจากไปทันที เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคนอื่นถึงได้โง่ โดนบ้านจางหลอกใช้เช่นนั้น เขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่ขอร่วมด้วย

ทุกคนได้แต่ส่ายหน้ากับความถือดีของชายหนุ่ม เมื่อเห็นหลวนซานเดินไปไกลแล้ว จางอี้หมิงจึงสะกิดแขนเสื้อบิดา จางอี้เทาเมื่อได้รับสัญญาณที่บุตรชายส่งมาให้จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“พวกท่านทั้งหลาย ในการทำเกลือผักมีข้อที่ควรระวังอยู่เช่นกัน ต้องเลือกเอาเฉพาะใบที่อยู่ต่ำลงมาจากยอดสองข้อนิ้วมือและไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ ส่วนอื่นใบจะใช้ไม่ได้เนื่องจากส่วนยอดจะอ่อนเกินไปและส่วนต้นจะแก่เกินไป 

ที่สำคัญที่สุด ต้องใช้เฉพาะส่วนที่เป็นใบเท่านั้น จะใช้ก้านไม่ได้ หากนำส่วนเหล่านี้มาทำจะทำให้เกลือออกรสขม ก่อนนำไปบดจะต้องให้ใบแห้งสนิทที่สุด ไม่เช่นนั้นเกลือผักจะเสียและเก็บไว้ไม่ได้นาน ในการเก็บรักษาไว้ให้ได้นานต้องห่อด้วยกระดาษห่อของและใส่ในไหปิดฝาให้สนิท เกลือผักใช้หมักและรักษาอาหารแบบเกลือสีขาวไม่ได้นะขอรับอันนี้สำคัญที่สุด”

จางอี้หมิงได้บอกบิดาไว้ตั้งแต่ที่อยู่ที่บ้านแล้วว่าหากมีชาวบ้านไม่เห็นด้วยให้บอกข้อมูลไม่หมด แต่ในเมื่อชาวบ้านเห็นด้วยและไม่ได้คัดค้านและมีเพียงหลวนซานคนเดียวที่ไม่เห็นชอบ จางอี้หมิงจึงรอให้เขาเดินจากไปก่อนนั่นเอง

“เช่นนั้นทุกบ้านที่ต้องการทำเกลือผักก็สามารถเริ่มทำได้เลยใช่หรือไม่” ซุนถงเอ่ยถาม

“ขอรับ ชาวบ้านทั้งหลายสามารถเริ่มทำได้เลย แต่ในครั้งแรกเมื่อทำเสร็จแล้ว ข้าอยากให้เอามาให้บ้านจางได้ตรวจสอบคุณภาพก่อน แต่ละบ้านอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน หากเกลือผักคุณภาพไม่ดี สินค้ามีตำหนิหรือแห้งไม่สนิท เก็บไว้ได้ไม่นาน กลุ่มการค้าหลัวถงอาจจะถูกปรับได้”

จางอี้เทาบอกเล่าถึงข้อควรระวังต่าง ๆ ซึ่งชาวบ้านต่างก็รับฟังและทำความเข้าใจ นอกจากนี้ จางอี้เทายังบอกกล่าวเกี่ยวกับระบบการรับส่งเกลือผักว่าต้องทำเช่นไร การจ่ายเงินค่าเกลือผักให้ชาวบ้าน รวมทั้งเงินส่วนกลางจะถูกเก็บไว้ที่ไหน ชาวบ้านเมื่อเข้าใจตรงกันแล้วจึงแยกย้ายกลับ

ครอบครัวจางจึงพากันกลับบ้านเช่นกัน ระหว่างทางที่เดินพวกเขาพูดคุยกันไป

“อาเทา พวกเราโชคดีที่ชาวบ้านเข้าใจ ไม่ถือสาเรื่องน้ำตาลผัก ต้องขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ข้างพวกเรา ชาวบ้านคงเกรงใจหัวหน้าหมู่บ้านไม่น้อย ลำพังพวกเราคงต้านทานชาวบ้านและหลวนซานไม่ได้” หูไป๋หงเอ่ย

“ข้าเห็นด้วยขอรับท่านแม่ สกุลซุนดีกับบ้านจางจริง ๆ” อี้เทาขานรับเห็นด้วย

“ท่านพี่ แล้วเรื่องน้ำตาลผักล่ะเจ้าค่ะ พวกเรายังหาทางออกมิได้เลยนะเจ้าคะ” 

หลี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นมาแต่ก็หาได้มีคำตอบไม่ เพราะตอนนี้หลังจากโล่งใจที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเกลือผักไปได้แล้ว แต่เรื่องน้ำตาลผักจะทำเช่นไรกันดี

พวกเขาคุยบ้างเงียบบ้างจนกระทั่งมาถึงกระท่อมปลายนา นั่งพร้อมหน้ากินข้าวมื้อเย็นและเข้านอนไปแล้ว สกุลจางก็ยังหาทางออกไม่ได้เช่นเคย

จางอี้หมิงยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ