ตอนที่ 23 เหลาอาหารเฟิงฟู่

“ท่านแม่ ต้องการสิ่งใดหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามมารดาตอนเช้าในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มจัดเตรียมของให้พร้อม วันนี้เขากับบุตรชายจะเข้าเมืองเพื่อเอาสูตรพะโล้แห้งไปลองเสนอขายแก่บรรดาเหลาอาหารในเมือง ตามที่ได้คุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“อาเทา นี่เงินหนึ่งตำลึง เจ้าเอาติดตัวไว้ ซื้อพวกเนื้อสัตว์กับเครื่องเทศและข้าวสารก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นยังพอมีเหลือ ถ้าเจ้าเห็นว่าสิ่งไหนดีก็ซื้อมาเถอะ เราคงต้องเริ่มเก็บสะสมเสบียงสำหรับฤดูหนาวแล้ว ถ้ารอซื้อในตอนนั้น แม่เกรงว่าราคาสินค้าอาจจะขึ้นเอา” นางหูยื่นเงินให้กับบุตรชายพร้อมกับเอ่ยสำทับอีกเล็กน้อย

“ได้ขอรับ น้องหญิงเล่า เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่” จางอี้เทารับเงินมาจากมารดาแล้วจึงหันไปถามภรรยาเสียงนุ่ม

“ท่านพี่ รอข้าสักประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายแจ้งสามีและเดินไปที่มุมหนึ่งสำหรับวางเสื้อผ้า นางหยิบเอาผ้าปักและถุงหอมที่เก็บพับไว้อย่างเรียบร้อยออกมาทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วจึงกลับมาหาสามี

“ท่านพี่ ผ้าปักกับถุงหอมพวกนี้ ท่านพี่ลองเอาไปถามที่ร้านผ้าดูว่าพอจะขายได้หรือไม่ ข้านำมาด้วยตอนที่เราย้ายออกจากเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ข้าเก็บไว้ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ จะไม่นำออกมาขาย ตอนนี้พวกเราต้องการเงินสำหรับซื้อเสบียงตามที่ท่านแม่บอก ท่านพี่เอาไปขายเถอะเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายยื่นห่อผ้าขนาดไม่ใหญ่มากให้กับสามี 

“แต่ว่าของพวกนี้มันเป็นสินเดิมของน้องหญิงมิใช่หรือ เหตุใดถึง...” จางอี้เทามองดูผ้าในมือ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ หลี่อ้ายก็ชิงกล่าวออกมาเสียก่อน

“ท่านพี่ ตอนนี้ครอบครัวเราต้องการเงินเพื่อนำมาซื้อเสบียงสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ ของพวกนี้ถ้ามันช่วยครอบครัวเราได้ ข้าไม่เสียดาย อีกอย่าง เรากำลังจะสร้างบ้านใหม่ ยังมีสิ่งของที่ต้องซื้ออีกมาก ท่านพี่อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ”

หลี่อ้ายยกมือสามีขึ้นมาแล้วตบลงไปเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจชายหนุ่มทางหนึ่ง นางรู้ว่าสามีไม่อยากขายสมบัติของภรรยา เขาอยากทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ดี แต่ในตอนนี้ นางควรจะอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยา อะไรที่ช่วยได้ นางก็ยินดี

“ขอบใจน้องหญิงมาก พี่จะพยายามให้มากขึ้น พี่สัญญาว่าในอนาคต พี่จะซื้อผ้าสวย ๆ มาให้น้องหญิงได้ปักจนไม่มีที่เก็บเป็นแน่” จางอี้เทาได้แต่กุมมือภรรยาไว้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งของพวกนี้มีความหมายอย่างไร เขามองเพียงปราดเดียวก็รู้ถึงราคาของสิ่งในมือนี้แล้ว

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ภรรยาของเขาก็ไม่เคยได้สวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม เครื่องประดับก็เป็นเพียงปิ่นเงินเก่า ๆ อันเดียว แป้งผัดหน้าอย่าได้ถามถึง เพราะแม้แต่เงินที่จะเอาไปซื้ออาหารยังไม่มีสักอีแปะ 

เพราะต้องการช่วยเหลือครอบครัวในยามยาก นางจึงนำออกมาขาย ภรรยาที่ดีเช่นนี้ เขาจะหาได้จากที่ไหนอีก อี้เทาจึงได้แต่ให้สัญญากับตนเองในใจว่าสักวันหนึ่งภรรยาของเขาต้องได้สวมใส่ชุดที่ดีที่สุด เครื่องประดับต่าง ๆ เขาก็จะไม่ให้น้อยหน้าภรรยาบ้านอื่นเป็นแน่

“ท่านพี่ ผ้าปักนี้ราคาขายไม่ควรต่ำกว่าห้าตำลึงนะเจ้าคะ เพราะข้าใช้ไหมอัคนีในการปัก ลวดลายพวกนี้ข้าก็เป็นคนออกแบบเองทั้งหมด ที่เมืองหลวงอย่างน้อยต้องได้ราคาชิ้นละเจ็ดตำลึง แต่ที่นี่ชาวบ้านหรือก็ยากจน คงขายราคานี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรได้สักห้าตำลึงเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยสำทับสามีอีกครั้ง ผ้าปักลวดลายงดงามพวกนี้เป็นสินเจ้าสาว ถือว่ามีมูลค่าพอสมควร นางไม่เสียดายถ้ามันจะช่วยครอบครัวได้

“พี่รู้แล้ว น้องหญิงไม่ต้องเป็นห่วง” อี้เทาเอ่ยตอบรับภรรยา

“ท่านพ่อ ไปกันเถอะ ถ้าหากช้าอาจจะไม่ทันเกวียนท่านลุงผินนะขอรับ” จางอี้หมิงที่ยืนมองอยู่ เห็นสองสามีภรรยาแสดงความรักกันก็ยิ่งอยากทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้นในเร็ววันแทบไม่ไหว

ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องกลับมามั่งคั่งอีกครั้ง เขาสัญญา...

.

เมื่อบอกกล่าวกิจต่าง ๆ เสร็จ พวกเขาจึงออกจากบ้านมาที่เกวียนลุงผินเพื่อมุ่งสู่เมืองไห่ถัง การเดินทางใช้เวลาเท่าเดิมเหมือนที่เข้าเมืองมาครั้งแรก ไม่นานสองพ่อลูกบ้านสกุลจางก็มาเดินอยู่บนท้องถนน หลังจากที่จ่ายค่าผ่านเข้าประตูเมืองมาแล้ว

“หมิงเอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้าจะเอาเกลือผักมาให้เถ้าแก่หวังดูเป็นตัวอย่างหรอกหรือ” จางอี้เทาถามบุตรชาย เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนแรกตนเองจะถามตั้งแต่ที่บ้านแล้วแต่ก็ลืม เพราะมัวแต่ซาบซึ้งใจกับภรรยาแสนดี

“ข้าว่าจะรอไปก่อน ยังไม่เอาออกมาขายขอรับท่านพ่อ น้ำตาลผักเพิ่งขายเป็นสินค้าใหม่ ถ้าเราเอาสินค้าตัวใหม่อันอื่นออกมาใกล้กันเกินไป อาจทำให้ยอดสั่งซื้อน้ำตาลผักน้อยลง อีกอย่าง ข้ายังหาวิธีหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับการค้าเกลือไม่ได้ขอรับ”

“นั่นสิ พ่อลืมไป หมิงเอ๋อร์ของพ่อช่างเก่งกาจยิ่ง” จางอี้เทาเอ่ยชมบุตรชายพร้อมกับลูบศีรษะน้อย ๆ นั้นไปมาอยู่สองสามที

“ข้ารู้ขอรับว่าข้าเก่ง อิอิ” 

“เจ้าเด็กขี้อวด” จางอี้เทาเปลี่ยนจากลูบผมเป็นยีผมจางอี้หมิงไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว ช่างหลงใหลในตัวเองเสียจริงเด็กคนนี้

“เอ่อ ท่านพ่อ ท่านคงไม่ลืมเอาน้ำมันหมูกับน้ำตาลผักมาใช่หรือไม่ขอรับ” อี้หมิงถามบิดาเพื่อความมั่นใจ

“เอามาแล้ว อยู่ในตะกร้า พ่อจะลืมได้เช่นไรในเมื่อลูกเอ่ยย้ำเช่นนั้น” จางอี้เทาเอ่ยเย้าลูกชายด้วยรอยยิ้ม ก็หมิงเอ๋อร์ของเขาย้ำนักหนาว่าไม่ให้เขาลืมเอาของสองอย่างนี้มาด้วย 

“หมิงเอ๋อร์คิดว่าเถ้าแก่เหลาอาหารคงจะให้ลูกทดลองทำพะโล้แห้งให้เขาได้ชิมใช่หรือไม่ ถึงให้พ่อเตรียมวัตถุดิบมาด้วย เจ้าช่างฉลาดยิ่ง”

“ขอรับ ข้าคิดว่าเราจะมาขายสูตรอาหาร ถ้าเราไม่ทำให้ชิม เถ้าแก่คงไม่อยากซื้อ ข้าจึงให้ท่านพ่อเตรียมน้ำมันหมูกับน้ำตาลผักมาด้วย” อี้หมิงตอบก่อนจะหยุดเดิน เงยหน้าไปถามบิดาด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ท่านพ่อ แล้วพวกเราจะไปขายสูตรอาหารที่ไหนเล่าขอรับ”

“เอาเช่นนี้ พ่อจะไปถามคนแถวนี้ว่ามีเหลาอาหารไหนหรือไม่ที่เราควรจะลองเอาไปขายดู” จางอี้เทาตอบคำถามบุตรชายแล้วจูงมือจางอี้หมิงเดินตรงไปสอบถามยังร้านค้าแถวนั้นอยู่สี่ห้าร้าน คำตอบที่ได้เหมือนกันทุกร้าน

“พ่อหนุ่ม เจ้าคงมาใหม่ล่ะซิ เหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังก็คือเหลาอาหารเฟิงฟู่เช่นไรเล่า ส่วนเหลาอาหารอันดับสอง คือเหลาอาหารซิ่งฝู เหลาอาหารของพวกเขาตั้งอยู่ตรงข้ามกันคนละฝากถนน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะแข่งขันกันอย่างลับ ๆ” เถ้าแก่ร้านบะหมี่อธิบายให้สองพ่อลูกฟังพลางป้องปากคล้ายกับกระซิบกระซาบ

“แล้วเหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงไหนขอรับ” จางอี้เทาถามอย่างสุภาพ

“เจ้าเดินตรงไปอีกแค่หนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว ไม่ต้องเลี้ยวไปไหนนะ เหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงถนนหลักนี่แหละ” 

“ข้าขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ ไปเถอะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทากล่าวขอบคุณเถ้าแก่ร้านบะหมี่แล้วเดินจูงมือบุตรชายไปตามทางที่ชายวัยกลางคนบอก

เดินไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดังที่ได้ยินมา สองพ่อลูกจึงเห็นอาคารไม้สามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อเหลาที่บรรจงเขียนด้วยตัวอักษรให้ความรู้สึกมั่นคงและแข็งแกร่งปรากฎเด่นชัด ตรงประตูทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตคู่ตัวใหญ่ตั้งอยู่ ถึงแม้จะมองจากข้างนอกเข้าไป ไม่ได้เห็นว่าข้างในตกแต่งอย่างไร อี้เทาก็สามารถบอกได้ว่าสมกับเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง ขนาดข้างนอกยังตกแต่งได้สวยงามเช่นนี้ ข้างในเหลาอาหารก็คงไม่แพ้กัน

ระหว่างที่สองพ่อลูกยืนชื่นชมความสง่างามของอาคารไม้ตรงหน้า ด้วยสภาพการแต่งกายที่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ชุดที่สวมใส่ถึงแม้จะสะอาดสะอ้านแต่ก็ดูราบเรียบ ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไม้ไผ่สานไว้ข้างหลัง ส่วนเด็กชายมีร่างกายผอมแห้ง ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ที่มีหน้าที่ต้อนรับพิจารณาแล้วว่าคงไม่ใช่ลูกค้า หากเถ้าแก่ออกมาเห็นว่าปล่อยให้มีขอทานหรือชาวบ้านสกปรกมายืนบังหน้าร้านเช่นนี้ตนอาจจะถูกไล่ออก จึงตัดสินใจเดินมาไล่ให้สองพ่อลูกออกไป

“นี่ พวกเจ้าสองคนนะ รีบออกไปเร็ว อย่ามายืนเกะกะขวางทางลูกค้าเหลาอาหาร” 

“นี่พี่ชาย ข้ากับท่านพ่อจะมาขอพบเถ้าแก่เพื่อขายสูตรอาหาร ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะให้ข้ากับท่านพ่อเข้าพบเถ้าแก่ได้หรือไม่” จางอี้หมิงยกมือคารวะและเอ่ยถามเสียงสุภาพ

“เหอะ ดูสารรูปของพวกเจ้า พวกเจ้าสองคนพ่อลูกมิรู้หรือว่านี่คือเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง ไหนเลยจะเอาอาหารพื้น ๆ ของชาวบ้านมาขายได้” เสี่ยวเอ้อร์ยกมือทั้งสองข้างเท้าสะเอวกล่าวดูถูกสองพ่อลูก ปรายสายตาจ้องมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอยู่สองสามที

“เถ้าแก่ของข้าไม่สนใจสูตรอาหารพื้น ๆ ของพวกเจ้าหรอก ไป ๆ รีบออกไปก่อนที่ข้าจะให้คนมาไล่พวกเจ้าสองคนพ่อลูก” เสี่ยวเอ้อร์คนเดิมยังคงเอ่ยปากไล่ เขาทั้งผลัก ทั้งดันและยังเอาไม้กวาดมาไล่จางอี้เทากับเด็กน้อยอีกด้วย

“ได้ ๆ พวกข้าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้รุนแรงเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามพลางช้อนตัวก้มลงเพื่ออุ้มบุตรชายก่อนที่จะรีบเดินหนีออกไปจากหน้าเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับไร้ซึ่งมารยาท ไม่รู้ว่าได้รับการขนานนามว่าเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งได้เช่นไร

เมื่อสองพ่อลูกเดินห่างออกมาไกลเหลาอาหารเฟิงฟู่มากแล้ว จางอี้เทาจึงวางบุตรชายลง พลิกดูตามร่างกายของจางอี้ หมิงอย่างละเอียด

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” 

“ไม่ขอรับ ข้าสบายดี ขอบคุณท่านพ่อที่อุ้มข้าหนีมานะขอรับ” จางอี้หมิงตอบบิดาพลางหมุนร่างกายตนเองให้บิดาได้สำรวจอย่างเต็มที่

“เป็นหน้าที่ของบิดาที่ต้องปกป้องบุตรอยู่แล้ว” จางอี้เทาเอ่ยบอกเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม มันเป็นเรื่องที่ทำให้เด็กน้อยถึงกับน้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะเจ็บจากการถูกไล่ตี แต่เพราะตื้นตันใจและซาบซึ้ง 

จางอี้หมิงที่ชาติก่อนเป็นเพียงเด็กกำพร้า ไหนเลยจะได้รับความรักหรือการปกป้อง เขาเคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ทว่าตอนนี้เขามีท่านพ่อ มีครอบครัวอย่างที่ฝัน ซึ่งมันอบอุ่นและดีมาก ความรู้สึกตื่นเต้น ตื้นตันและดีใจผสมปนเปกันไปหมด

“หมิงเอ๋อร์ เป็นอะไร หรือเจ้าบาดเจ็บแต่ปิดบังพ่อไว้” อี้เทาเอ่ยถามบุตรชายอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เขารีบย่อตัวนั่งลงบนส้นเท้าให้ใบหน้าของตนเองอยู่ระดับเดียวกับบุตรชาย

อี้หมิงได้ยินเช่นนั้นก็โผเข้าไปกอดบิดาไว้แน่นและส่ายหน้าไปมาหลายครั้ง เด็กน้อยกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ทั้งที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนถนนหลัก เต็มไปด้วยผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย

“ถ้าไม่บาดเจ็บแล้วเหตุใดถึงได้ร้องไห้มากมายเพียงนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามพลางลูบหลังบุตรตัวน้อยขึ้นลงอย่างปลอบใจ

“ข้าซาบซึ้งใจขอรับ ที่ท่านพ่อรักข้ามากมายขนาดนี้” 

“โอ๋ เด็กดี ไม่ร้องนะ พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว หมิงเอ๋อร์เป็นดวงใจของพ่อกับแม่ รวมทั้งท่านย่าด้วย พวกเราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหมิงเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน ไหนยิ้มให้พ่อดูหน่อยเร็ว พวกเรายังต้องเอาผ้าปักและถุงหอมของแม่เจ้าไปขายอีกนะ เจ้าลืมแล้วเช่นนั้นหรือ ถ้าหมิงเอ๋อร์ยังไม่หยุดร้องไห้ คนเดินผ่านไปมาต้องคิดว่าบิดาคนนี้รังแกบุตรชายอยู่เป็นแน่”

จางอี้เทาใช้นิ้วมือเกลี่ยน้ำตาที่อาบแก้มให้กับลูกชาย ดูเหมือนวันนี้เด็กน้อยจะขี้แยเป็นพิเศษ เขาไม่โกรธเคืองอันใดลูกเลยที่แสดงความอ่อนแอ ในหลาย ๆ วันที่ผ่านมา แม้อี้หมิงจะแสดงให้เห็นว่าตนเองเก่งกาจขนาดไหน แต่บุตรชายของเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น

“ข้าไม่ร้องไห้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงบอกบิดาพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่เปรอะไปทั้งใบหน้าอีกครั้ง แต่เพราะตัวเขายังเด็กเวลาร้องไห้จึงทำให้ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลออกมาด้วยกัน อี้เทาจึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาเช็ดใบหน้าให้กับบุตรชายจนสะอาด

“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ” 

“เราไปกันเถอะ วันนี้พวกเราคงขายสูตรพะโล้ไม่ได้แล้วล่ะ” จางอี้เทาบอกลูกชายแล้วจึงลุกขึ้น เขากำลังจะจูงมืออี้หมิงเดินต่อไปยังร้านขายผ้า แต่เพราะเสียงเรียกที่ดังตามมาทางด้านหลังทำให้ต้องหยุดชะงัก หันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียกด้วยความสงสัย

“พี่ชาย พี่ชาย อย่าเพิ่งไป รอข้าก่อน”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ