ตอนที่ 26 อาหารชนิดใหม่

หลินไห่มองดูหลานชายคนใหม่เดินจูงมือกับหัวหน้าพ่อครัวไปยังหน้าเตา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ชายชราจึงเดินไปนั่งบริเวณมุมพักผ่อนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ทั้งสองคนยืนทำอาหาร มุมนี้เป็นมุมสำหรับให้พ่อครัวและคนงานได้นั่งพัก 

จางอี้เทาเมื่อเห็นว่าเป็นมุมพักอยู่แล้วจึงถือโอกาสเดินไปนั่งข้าง ๆ ด้วย เขาอยากเฝ้ามองบุตรชายและดูว่าจะสามารถทำงานร่วมกับพ่อครัวที่ชำนาญการได้หรือไม่

“ข้ารบกวนลุงอู๋หยิบวัตถุดิบที่จะต้องใช้ในการทำพะโล้ตามสูตรของเหล่าซิ่งฝูให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยกับหัวหน้าพ่อครัว อู๋เจ๋อเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ เขาเดินไปหยิบเอาเนื้อแดง อบเชย โป้ยกั๊ก เกลือ น้ำตาลและซีอิ้ว มาวางไว้บนโต๊ะกลางห้องครัว เสร็จแล้วจึงหันหน้าไปมองเด็กน้อยผู้เอ่ยสั่งตนเอง 

จางอี้หมิงพยายามกระโดดหยองแหยงเพื่อมองวัตถุดิบที่อยู่สูงเกินกว่าเจ้าตัวจะมองเห็น โธ่...ก็โต๊ะนี้มันเล็กเสียที่ไหน ดูตัวเขาสิ ส่วนสูงแค่นี้เขย่งแล้วยังไม่เห็นเลย

สุดท้ายแล้วอู๋เจ๋อก็ทนไม่ไหว เดินอ้อมโต๊ะสำหรับเตรียมวัตถุดิบมายังฝั่งที่เด็กน้อยยืนอยู่และทำการอุ้มจางอี้หมิงขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย

“เจ้าคงเห็นชัดแล้ว”

“ขอบคุณขอรับท่านลุงอู๋ วัตถุดิบมีเพียงเท่านี้หรือขอรับ” จางอี้หมิงเอียงคอถามด้วยความสงสัยหลังจากที่นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยและพิจารณาเหล่าวัตถุดิบที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ใช่แล้วหมิงหมิงน้อย พะโล้ที่ไหน ๆ ก็มีเพียงเท่านี้ หรือว่าสูตรของเจ้ามีอย่างอื่นด้วยเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อถามกลับด้วยความแปลกใจ เขาเป็นพ่อครัวมากว่าครึ่งชีวิต ยังไม่เคยได้ยินว่าพะโล้มีวัตถุดิบส่วนผสมอื่นด้วย

“ท่านลุงพอจะบอกขั้นตอนการทำพะโล้ของท่านลุงให้ข้าฟังคร่าว ๆ ได้หรือไม่ขอรับ” 

“สูตรของเหลาซิ่งฝูคือต้มน้ำเปล่าให้เดือด เสร็จแล้วนำส่วนผสมทั้งหมดลงไปต้ม เมื่อทุกอย่างสุกจึงปรุงรส ใช้เวลาตุ๋นประมาณหนึ่งชั่วยาม เพียงเท่านี้ก็ได้พะโล้แล้ว”

“หาาา ง่ายถึงเพียงนี้เลยหรือขอรับ ถ้าวิธีการทำหมูพะโล้ง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดชาวบ้านจึงไม่เคยได้กินหรือรู้วิธีทำเล่าขอรับ” จางอี้หมิงอุทานขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ท่านย่าบอกว่ามีเพียงคหบดีหรือข้าราชสำนักเท่านั้นที่ได้กินพะโล้ ถ้าวิธีการทำง่ายเช่นนี้ ต่อให้เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาก็ทำได้ แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครรู้วิธีการทำพะโล้กันเล่า

“เหตุเพราะวัตถุดิบหลักในการทำพะโล้คือเนื้อแดงเช่นไรเล่า หมิงหมิงน้อย ชาวบ้านที่ยากจนไหนเลยจะมีความสามารถนำเนื้อแดงจำนวนมากมาทำพะโล้ได้ เพราะแบบนั้น ชาวบ้านทั่วไปจึงไม่รู้จักวิธีการทำพะโล้หรือเคยกินมาก่อนนั่นเอง” หลินไห่ตอบคำถามของหลานชาย

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” จางอี้หมิงพึมพำกับตนเอง เด็กน้อยผงกหัวงึกงักทำท่าคล้ายเข้าใจเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาหันหน้าไปหาอู๋เจ๋อแล้วเอ่ยถามต่อ

“ท่านลุงอู๋ พร้อมหรือยังขอรับ”

“ข้าพร้อมแล้วหมิงหมิงน้อย บอกลุงคนนี้ได้เลย”

“ท่านพ่อ ข้าขอน้ำตาลผักกับน้ำมันหมูด้วยขอรับ” จางอี้หมิงหันไปบอกบิดาเพื่อขอวัตถุดิบที่นำมาจากบ้าน ของเหล่านี้เป็นหัวใจหลักของสูตรพะโล้แห้งหญ้าหวานบ้านจาง

จางอี้เทาเมื่อได้ยินดังนั้นจึงหยิบเอาของทั้งสองอย่างออกมาจากตะกร้าสาน เดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะเตรียมอาหาร เสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่เดิมโดยไม่ได้กล่าวอันใด

“ท่านลุงอู๋ สิ่งนี้เรียกว่าน้ำมันหมู ส่วนสิ่งนี้เรียกว่าน้ำตาลผัก เป็นวัตถุดิบลับของบ้านข้า ในวันนี้ ข้าจะให้ท่านลุงอู๋ทำพะโล้จากเนื้อสามชั้นนะขอรับ รบกวนลุงอู๋หยิบเนื้อสามชั้นมาแทนเนื้อแดงด้วยขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย เหตุใดสูตรพะโล้บ้านเจ้าถึงใช้เนื้อสามชั้นแทนที่จะเป็นเนื้อแดงเล่า เช่นนี้คาดว่ามันคงขายไม่ได้ เพราะลูกค้าทั้งหลายอาจจะตำหนิเหลาซิ่งฝูว่าย้อมแมวขาย” อู๋เจ๋อรีบทักท้วงขึ้นมา เขาในฐานะหัวหน้าพ่อครัวจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแน่

“ท่านลุงอู๋ไม่ต้องเป็นกังวลไปขอรับ ข้ารับรองว่าเมื่อปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านลุงอู๋จะไม่กลับไปกินพะโล้ที่ทำจากเนื้อแดงอีกแน่นอนขอรับ”

“อร่อยและดีถึงขนาดนั้นเชียว” หลินไห่เอ่ยถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่ได้ยินบทสนทนา ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครนำเนื้อสามชั้นมาทำพะโล้แล้วอร่อย ไม่เคยมีใครคิดจะทำเสียด้วยซ้ำ ทว่าเด็กน้อยบ้านจางตรงหน้ากลับกล้ายืนยันเสียงหนักแน่น

“ขนาดนั้นเชียวล่ะขอรับ”

“อาเจ๋อ เจ้าไม่ต้องขัดหลานชายข้าได้หรือไม่ ทำตามที่เขาบอกก็เพียงพอแล้ว” หลินไห่บอกหัวหน้าพ่อครัว

“ได้ขอรับเถ้าแก่ ข้าจะทำตามที่หมิงหมิงน้อยบอกทุกอย่าง ต่อไปข้าจะไม่แย้งเจ้าแล้ว” อู๋เจ๋อยกมือขึ้นเสมือนการปฏิญาณตนเอง ท่าทางแบบนั้นทำเอาเด็กน้อยหัวเราะคิก

“ท่านลุงอู๋ วัตถุดิบยังขาดเม็ดผักชี กระเทียม กระวาน และพริกไทยขอรับ” 

อู๋เจ๋อได้ยินเช่นนั้นจึงเดินไปหยิบวัตถุดิบตามรายการที่เด็กน้อยได้บอกมา เขาวางมันลงตรงกลางโต๊ะคู่กับวัตถุดิบที่มีอยู่ก่อน เมื่อจางอี้หมิงเห็นว่ามีของทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงได้บอกขั้นตอนในการทำต่อไป

“สิ่งแรกที่ท่านลุงอู๋ต้องทำคือการหั่นหมูสามชั้นให้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย ขนาดเท่านี้ได้ไหม” อู๋เจ๋อใช้มีดอันใหญ่แตะไปที่หมูสามชั้นพลางเอ่ยปากถามเด็กน้อย

“ใหญ่ไปขอรับ หมูชิ้นใหญ่จะใช้เวลาตุ๋นนาน ลุงอู๋เอาขนาดครึ่งหนึ่งกำลังพอดีขอรับ” จางอี้หมิงบอก เมื่ออู๋เจ๋อหั่นหมูสามชั้นจนได้ตามขนาดที่พอดีคำแล้ว เขาจึงบอกขั้นตอนต่อไป

“สูตรการทำหมูพะโล้บ้านจางจะเป็นพะโล้แห้งนะขอรับ ขั้นตอนวิธีการปรุงจะแตกต่างจากสูตรของเหลาซิ่งฝู แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรกคือการหมักเนื้อหมูขอรับ ขอท่านลุงอู๋โขลกกระเทียม เม็ดผักชี กับพริกไทย เสร็จแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกใส่ลงไปที่เนื้อหมู ตามด้วยเกลือ ซีอิ้ว และน้ำตาลผัก ไม่ต้องใส่มากนะขอรับ เพราะเราต้องใส่น้ำตาลอีก ใช้มือขยำ ๆ คลุกเคล้าให้เครื่องหมักเข้ากับเนื้อหมู เสร็จแล้วหาผ้าบาง ๆ มาคลุมไว้ เราจะหมักไว้ประมาณสอง เค่อขอรับ”

“โอ้ หมิงหมิงน้อย สูตรพะโล้บ้านเจ้ามีขั้นตอนการเตรียมหลายขั้นตอนทีเดียว เพราะเหตุใดถึงต้องทำการหมักสามชั้นกับเครื่องเทศเล่า” อู๋เจ๋อถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาไม่เคยรู้ถึงวิธีการเช่นนี้มาก่อน 

“ท่านลุงอู๋ การหมักเนื้อก่อนนำไปทำอาหารจะช่วยในเรื่องของรสชาติขอรับ เพราะเครื่องเทศจะซึมเข้าไปในเนื้อ ทำให้เราได้รสชาติเข้มข้นที่อยู่ในเนื้อด้วย มิใช่รสชาติเพียงแค่น้ำแกง” จางอี้หมิงอธิบายให้หัวหน้าพ่อครัวฟัง เขารู้สึกชอบใจอู๋เจ๋อมาก เพราะนอกจากจะไม่หยิ่งยโสแล้วยังกล้าถาม ไม่กลัวเสียหน้าที่เห็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อย จางอี้หมิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำถาม หาได้มีการลองภูมิของเขาไม่

“โอ้ เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ แล้วการหมักนี้สามารถทำได้กับอาหารชนิดอื่นหรือไม่”

“ได้ขอรับ เพียงแค่เรานำเครื่องเทศมาหมักกับเนื้อก่อนนำไปปรุง ระยะเวลาในการหมักต้องอาศัยความชำนาญและการทำบ่อย ๆ ด้วยขอรับ แต่ปกติ ประมาณสองเค่อก็เป็นอันใช้ได้แล้วขอรับ”

“ดี ๆ ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” ขณะที่ถาม อู๋เจ๋อก็ลงมือทำตามขั้นตอนที่เด็กน้อยบอกทุกอย่าง

“ท่านลุงอู๋ ท่านจะรังเกียจหรือไม่ ถ้าหากว่าข้าจะสอนการทำอาหารชนิดใหม่ให้กับท่าน” จางอี้หมิงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าท่านลุงอู๋หมักเนื้อเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอเนื้อหมักให้เข้าที่ เขาก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาเปล่า

“อาหารชนิดใหม่เช่นนั้นหรือ ไม่ ข้าไม่รังเกียจแน่นอน ข้ากลับตื่นเต้นมากกว่า เหตุใดหมิงหมิงน้อยถึงจะสอนให้ลุงอู๋ผู้นี้กันเล่า เจ้าไม่รู้หรือ ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเขาทำกัน” 

“ที่ข้าต้องถามท่านลุงอู๋ก่อน เพราะข้าให้ความเคารพท่านลุงในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส และข้ามิได้มีเจตนาท้าทายหรือวัดฝีมือท่าน และเหตุใดข้าต้องหวงความรู้ด้วยขอรับ ท่านลุงอู๋เป็นพ่อครัวของเหลาอาหารซิ่งฝูซึ่งเป็นของท่านปู่หลิน ในเมื่อข้าเป็นหลาน สิ่งที่จะทำให้เหลาอาหารซิ่งฝูดีขึ้น มีชื่อเสียงยิ่งขึ้น นับเป็นหน้าที่ของข้าด้วย หรือไม่ใช่ขอรับ” จางอี้หมิงตอบคำถามอู๋เจ๋อและหันไปถามคำถามสุดท้ายกับหลินไห่ หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของเด็กชายแล้ว ท่านปู่คนใหม่ก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ตอบได้ดี”

“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างเป็นเด็กดีและกตัญญูรู้คุณยิ่ง ทุกเวลาที่ผ่านไป เจ้ามีเรื่องให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”

“ถ้าเช่นนั้นท่านลุงอู๋ช่วยพาข้าไปดูรายการผักสดของเหลาซิ่งฝูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบและพยายามกระโดดลงจากเก้าอี้ด้วยท่าทางพิลึกพิลั่น เดือนร้อนให้อู๋เจ๋อถึงกับต้องรีบเดินมาอุ้มเด็กชายลงจากเก้าอี้ด้วยตนเอง

“ระวังหน่อย ต่อไปข้าจะเป็นคนอุ้มเจ้าขึ้นลงเก้าอี้เอง อย่าได้พยายามทำเองอีกเล่า อาจจะตกเก้าอี้ได้” อู๋เจ๋อบอกเสียงเข้มด้วยความเป็นห่วง

“ขอรับ”

เมื่อลงจากเก้าอี้ได้แล้ว อู๋เจ๋อก็พาจางอี้หมิงเดินไปยังบริเวณที่เก็บผักสดของเหลาอาหารซิ่งฝู เด็กชายตัวน้อยจึงได้มีโอกาสสำรวจผักที่มีในยุคสมัยนี้ การไปตลาดสองครั้งที่ผ่านมานั้น เขาไม่มีโอกาสได้สำรวจตลาดสดเลยด้วยซ้ำ เขาจึงไม่รู้ว่าในยุคสมัยนี้มีพืชพรรณอะไรที่คนนำมารับประทานบ้าง

เห็นทีว่าคงต้องหาเวลาไปเดินสำรวจตลาดในเมืองบ้างแล้ว

บนชั้นเก็บของมีผักที่วางบนตะกร้าแบ่งแยกไว้ตามประเภทอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นหัวไชเท้า มันเทศ กวางตุ้ง ผักกาดขาว คะน้า แตงกวา นอกจากนี้ยังมีถั่วเหลืองและถั่วเขียวด้วย อี้หมิงหันไปมองอีกก็เห็นหอมหัวใหญ่ เห็ด หน่อไม้ ต้นหอม ถั่วฝักยาว ขิง กระเทียม ขึ้นฉ่าย ผักโขม ผักคะน้า ผักชี และผักอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก

 แต่ที่ทำให้จางอี้หมิงถึงกับตาโตและประหลาดใจมากที่สุดคือในตะกร้าพวกนั้นมีมันฝรั่ง แครอท มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่  กะหล่ำปลี ฟักทองและมะนาว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ

ถ้ามีบล็อกโคลี่ด้วยนี่ฮาเลยนะ 

เด็กน้อยคิดตลกในใจ เนื่องจากผักพวกนี้นั้น ในโลกที่เขาจากมาไม่ใช่พืชที่มีแหล่งกำเนิดจากทวีปเอเชีย อยู่ดี ๆ มาโผล่ที่นี่ก็นับว่าน่าตื่นตาไม่น้อย

 สรุปแล้ว เขาคงมาอยู่ในโลกที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์เป็นแน่ เพราะทั้งยุคสมัยการปกครอง การดำรงชีวิตหลาย ๆ อย่างก็ไม่ตรงกับที่เขาได้รู้มาก่อนเลย ช่างเถอะ เขาไม่สนใจแล้วล่ะ ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ถือว่าดีที่สุด จะเป็นโลกไหนต่อไปเขาจะไม่สนใจเรื่องความสมเหตุสมผลแล้ว

“ท่านลุงอู๋ ข้าขอดูเครื่องปรุงหน่อยได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามเสียงซื่อ เมื่อเห็นรายการผักสดทั้งหมดแล้ว เขาจึงขอดูเครื่องปรุงบ้าง

“ได้สิ เครื่องปรุงกับเครื่องเทศอยู่ทางนี้” อู๋เจ๋อเดินนำหน้าเด็กน้อยไปอีกทางหนึ่ง เขาอธิบายให้เด็กชายฟังว่ามีอะไรบ้างระหว่างเดิน

“ไหนี้คือเกลือ ส่วนไหนี้คือน้ำตาล อันที่อยู่ไกลที่สุดคือซีอิ้ว ส่วนด้านนั้นเป็นพวกเครื่องเทศต่าง ๆ” 

“เหลาซิ่งฝูมีเหล้าสำหรับปรุงอาหารหรือไม่ขอรับ”

“มีสิ เหล้าจะเก็บไว้ในห้องใต้ดิน หมิงหมิงน้อยต้องการใช้เหล้าเช่นนั้นหรือ”

“เปล่าขอรับ ข้าเพียงอยากรู้เท่านั้น” จางอี้หมิงตอบแล้วเดินกลับไปที่ส่วนเก็บผักสดอีกครั้ง เด็กชายบอกให้อู๋เจ๋อนำผักออกมาให้เพื่อสอนการทำอาหารชนิดใหม่

“ท่านลุงอู๋ รบกวนเอากระเทียมกับผักกาดขาว แครอท เห็ด มะเขือเทศ สำหรับทำเพียงจานเดียวนะขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย อันใดคือแค หลอด อันใดคือ เทดเทด” อู๋เจ๋อเอ่ยถามอี้หมิงด้วยความสงสัย เขาเข้าใจคำว่าผักกาดขาว กระเทียม แต่สองคำแรกนั้นเขาไม่รู้จักจริง ๆ

“หา ท่านลุงอู๋ หัวสีเหลือง ๆ ส้ม ๆ นั่นไงขอรับ ที่เรียกว่า แครอท ส่วนมะเขือเทศก็เป็นลูก ๆ สีแดง ๆ” จางอี้หมิงตอบพร้อมกับชี้ไปยังแครอทกับมะเขือเทศบนตะกร้า

“อ๋อ เจ้าคงหมายถึงหูหลัวโป กับซีหงซื่อ” อู๋เจ๋อตอบกลับมาด้วยคำเรียกที่ถูกต้องให้กับเด็กน้อยฟัง

เมื่อจางอี้หมิงได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความสงสัยในการเรียกผักต่าง ๆ พวกนี้เรียกไม่เหมือนกับโลกที่เขาจากมา ถ้าปล่อยไว้มีหวังได้มึนงงแน่ เขาจึงขอให้หัวหน้าพ่อครัวเรียกผักทุกชนิดบนตะกร้าให้ฟัง ซึ่งอู๋เจ๋อก็ชี้มือไปยังผักชนิดต่าง ๆ พร้อมกับเรียกชื่อให้ฟังด้วยความเต็มใจ 

เมื่อจบแล้ว จางอี้หมิงจึงได้ข้อสรุปว่าการเรียกชื่อผักต่างๆ นั้นมีแปลกไปจากที่เขาเคยรู้ แค่จำพวกที่มีต้นกำเนิดจากทวีปอื่น เช่น หูหลัวโป คือ แครอท, ซีหงซื่อ คือ มะเขือเทศ และ มันฝรั่ง คือ ถู่โต้ว นอกจากนั้นก็เรียกเหมือนกัน จางอี้หมิงถึงกับโล่งอก นึกว่าต้องมานั่งจำชื่อพวกนี้อีก โชคดีที่มีเพียงสามชื่อเท่านั้น

“ท่านลุงอู๋ขอรับ ข้าขอเรียกเจ้าสิ่งนั้นว่าแครอทนะขอรับ” อี้หมิงชี้ไปที่ผลสีส้ม ๆ

“ทำไมเล่าหมิงหมิงน้อย ไม่มีผู้ใดเรียกกันเช่นนั้นหรอกนะ”

“ข้าต้องการเช่นนั้นขอรับลุงอู๋” เด็กน้อยยกยิ้มน่ารัก “สูตรอาหารของบ้านข้าใช่ว่าจะบอกใครง่าย ๆ ดังนั้นจึงมีคำเรียกชื่อเหล่านี้มาใช้เรียกแทนน่ะขอรับ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ ดี ๆ เป็นอันว่าข้าเข้าใจแล้ว” อู๋เจ๋อพยักหน้ารับ เขาพอจะเข้าใจบ้านจาง สูตรอาหารแต่ละสูตรกว่าจะได้มาก็คิดแทบตาย ต้องลองผิดลองถูกกันหลายรอบ

“ยังมีอีกนะขอรับท่านลุงอู๋ ข้าขอเรียกซีหงซื่อว่ามะเขือเทศ และเรียกถู่โต้วว่ามันฝรั่งนะขอรับ”

“โอ้ คำแปลก ๆ เยอะเช่นนี้เกรงว่าท่านลุงคนนี้จะจำได้ไม่หมดนะหมิงหมิงน้อย” พ่อครัวใหญ่เริ่มมึนงง ถ้าจางอี้หมิงจะเรียกผักพวกนี้ด้วยคำแปลกหูทั้งหมด มีหวังได้ทำผิดทำถูกผสมปนเปกันไปหมดแน่

“ไม่ต้องกังวลไปขอรับ คำที่ข้าจะขอเรียกมีแค่สามคำนี้เท่านั้น” 

เมื่อเห็นคนที่แก่กว่าสับสน อี้หมิงจึงรีบบอกให้สบายใจ ที่จริงแล้ว เขาต้องการพูดแบบนี้เพื่อความสะดวกสบายส่วนตัวด้วย ถ้าให้เขาเรียกด้วยคำที่ไม่คุ้นอาจจะพาให้บอกขั้นตอนต่าง ๆ ผิดไปหมด อีกอย่าง ในอนาคตมันก็อาจมีประโยชน์เพราะเป็นชื่อเรียกที่มีแค่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่รู้

เด็กน้อยเลิกคิดเผื่อไปไกล แล้วหันไปสำรวจรอบ ๆ ตัว เขาบอกอู๋เจ๋อให้ช่วยนำผักที่ต้องการออกมา

เอาล่ะ ได้เวลาทำอาหารชนิดใหม่แล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ