ตอนที่ 90 หนึ่งปีให้หลัง

เมื่อสิ่งที่ทางแคว้นจ้าวต้องการพร้อมเพียงแล้ว ฮ่องเต้ฉินหลงจึงมอบหมายให้องค์ชายพระองค์หนึ่งเป็นผู้นำตัวแทนแคว้นฉินนำเครื่องบรรณาการทั้งหมดไปส่งมอบให้กับแคว้นจ้าวทันตามเวลาที่กำหนด ทางแคว้นจ้าวพอใจกับเครื่องบรรณาการครั้งนี้มากและยังได้รับใบสั่งซื้อจากพ่อค้าในแคว้นจ้าวมาอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อเหล่าตัวแทนในการส่งมอบเครื่องบรรณาการเดินทางกลับมายังแคว้นฉินในเวลาต่อมา ฮ่องเต้จึงเรียกประชุมขุนนางและผู้ที่ทำความดีความชอบในครั้งนี้เพื่อปูนบำเหน็จตามความสามารถนั้น

ท้องพระโรงแคว้นฉินจึงมีเหล่าขุนนางมาประชุมพร้อมเพรียงกันในวันต่อมา

“การนำส่งเครื่องบรรณาการในครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ความดีความชอบที่แต่ละคนสมควรได้ก็จงปูนบำเหน็จไปตามนั้น หานกงกง จงประกาศออกไปได้” ฮ่องเต้ฉินหลงบอกกงกง ให้ขันทีประกาศราชโองการในที่ประชุมขุนนาง

หานกงกงประกาศความดีความชอบไปตามลำดับที่ทุกคนสมควรได้รับ เมื่อครบหมดแล้ว ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้ขุนนางออกความเห็นได้

“ฝ่าบาท กระหม่อมเจ้าเมืองไห่ถัง ขอแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”

“ข้าอนุญาต”

“รางวัลของกระหม่อม ที่ทรงเลื่อนตำแหน่งให้กระหม่อมเข้ามาทำงานในเมืองหลวง กระหม่อมขอปฏิเสธและมอบให้กับขุนนางท่านอื่นได้หรือไม่พะย่ะค่ะ” หวงอี้เอ่ยขึ้นเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว

“เจ้าเมืองไห่ถัง เจ้ามิปรารถนาความก้าวหน้าเช่นนั้นหรอกหรือ” ฮ่องเต้ฉินหลงเอ่ยถามด้วยความแปลกพระทัย

“หามิได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมแก่แล้วต้องการเกษียณราชการและใช้ชีวิตบั้นปลายกับฮูหยินเพื่อชื่นเฝ้าดูบุตรหลานเติบโตเงียบ ๆ ในชนบท นั่นเป็นความต้องการของกระหม่อม เหตุผลอีกประการคือ เมืองไห่ถังมีกลุ่มการค้าหลัวถงที่กระหม่อมต้องการเฝ้ามองการเติบโต กระหม่อมคิดว่าช่างน่าสนใจยิ่งพะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอนุญาตแก่กระหม่อมด้วย”

เจ้าเมืองไห่ถังอธิบาย ส่งผลให้เหล่าขุนนางต่างพากันซุบซิบและบางคนถึงกับหัวเราะขบขันกับความคิดของขุนนางชราคนนี้

“เจ้าเมืองไห่ถัง กลุ่มการค้าหลัวถงที่เจ้าว่าใช่กลุ่มที่นำเกลือมาขายให้กับราชสำนักหรือไม่ ข้าได้ข่าวมาว่ากลุ่มการค้านี้อยู่ภายใต้การนำของเด็กน้อยเพียงห้าขวบปีเท่านั้น เรื่องจริงเป็นความจริงหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถามต่อ

“เป็นเช่นนั้นจริงพะย่ะค่ะ”

“ท่านเจ้าเมืองไห่ถัง เด็กน้อยนั่นมีอีกตำแหน่งเป็นถึงอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงไม่ใช่หรอกหรือ” เจ้าเมืองเยว่หยางเอ่ยถามเสียงเข้ม เขาหวังว่าเรื่องนี้จะทำให้เจ้าเมืองไห่ถังได้รับโทษ

พวกพ้องของเขาต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก และการสูญเสียยิ่งมากขึ้นเมื่อเด็กน้อยคนนั้นสามารถทำให้การค้าเกลือเกิดขึ้นอย่างเสรี พวกเขาจึงสูญเสียแหล่งเงินได้ไปมิน้อย หากแต่ก็จนปัญญาเพราะทำอันใดมิได้

“เป็นเช่นนั้นท่านเจ้าเมืองเยว่หยาง”

“แต่เจ้าก็ไม่รายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ การที่เชื้อพระวงศ์ต่างแคว้นมาอาศัยและทำการค้าที่แคว้นฉินเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเช่นนั้นหรือ” เจ้าเมืองเยว่หยางกล่าวข้อหาเพิ่ม

“ฝ่าบาท เหตุที่กระหม่อมมิได้กราบทูลให้ทรงทราบ ก็เนื่องจากจางอี้หมิงเด็กน้อยคนนั้น มีแต่ความปรารถนาดีให้กับแคว้นฉินพะย่ะค่ะ เขาเป็นผู้ที่แก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงและอาหารขาดแคลนในฤดูหนาวที่ผ่านมา

อีกทั้งยังสามารถคิดค้นการผลิตเกลือจากน้ำทะเล ทั้งหมดนี้ยังมิรวมเรื่องอาหารต่าง ๆ ที่กลุ่มการค้าหลัวถงผลิตออกมา ตั้งแต่เด็กน้อยคนนั้นอยู่ที่เมืองไห่ถัง ชาวเมืองต่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก ใช้เวลาไม่ถึงขวบปีการค้ากลับยิ่งคึกคักนัก มิแน่ว่าในอนาคตเองนั้น เขาอาจจะสามารถทำประโยชน์ให้กับแคว้นฉินได้มากกว่านี้ก็เป็นได้พะย่ะค่ะ”

“แต่ว่าเด็กคนนั้นก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเหลียง ท่านเจ้าเมืองไห่ถังคงมิลืมกระมัง” เจ้าเมืองเยว่หยางยังมิยอมแพ้ เขายังคงกล่าวปรามาสต่อไป

“พอ พอ พวกเจ้าสองคน ประชุมกันเมื่อไหร่เป็นต้องทะเลาะกันทุกที เจ้าเมืองไห่ถัง ข้าอนุญาตให้เจ้าทำตามที่ขอได้และข้าจะมอบรางวัลอื่นๆเป็นสิ่งทดแทน” ฮ่องเต้รีบหยุดการขัดแย้งและหันไปกล่าวกับเจ้าเมืองไห่ถัง

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปได้พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เจ้าเมืองไห่ถังสมควรมีความผิดโทษฐานละเลยไม่รายงานเบื้องสูงนะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเยว่หยางถามขึ้นด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงละเลยเรื่องนี้ไปได้

“เจ้าเมืองเยว่หยาง เจ้าคิดว่าตำแหน่งอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงต่ำต้อยกว่าตำแหน่งฮ่องเต้เช่นข้าหรือไม่” ฮ่องเต้ถามกลับ

“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนพะย่ะค่ะ”

“ผิดแล้ว เจ้าเมืองเยว่หยาง แม้ข้าจะเป็นถึงฮ่องเต้ของแคว้นฉิน แต่เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าแคว้นฉินเป็นเมืองขึ้นของแคว้นจ้าว หนิงอ๋องเป็นพระราชนัดดาองค์โปรดของแคว้นจ้าว และคือคนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ของแคว้นเหลียงในอีกไม่นาน เมื่อเจ้ารู้เช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าตำแหน่งอ๋องน้อยของเด็กน้อยนั่นต้อยต่ำอีกหรือไม่ ข้าสมควรต้องระวังตัวและระแวงว่าเด็กน้อยนั่นจะก่อกบฏเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้อธิบายและตรัสต่อไป

“หวงอี้ ฝากเจ้าดูแลอ๋องน้อยด้วย ในคราแรกข้าต้องการมอบตำแหน่งให้กับเด็กน้อยนั่นเป็นรางวัล เพียงแต่ว่าตำแหน่งของแคว้นฉินคงไม่คู่ควรหรือเทียบเท่ากับตำแหน่งท่านอ๋องน้อยของแคว้นเหลียง เช่นนั้น หากท่านอ๋องน้อยพร้อมก็ให้มาหาข้าสักครั้ง ข้าอยากสนทนาด้วย”

เมื่อความจริงข้อนี้ถูกไขความกระจางออกไป การประชุมในวันนี้จึงจบลงด้วยเหล่าขุนนางทั้งหลายที่ต่างก็หันไปมองเจ้าเมืองไห่ถังด้วยความอิจฉาในความโชคดี

ส่วนเจ้าเมืองเยว่หยางเองก็แทบกระอักโลหิตกับความจริงที่ตนเองหลงลืม ด้วยโดนความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นบังตา และได้ตระหนักว่าตัวเขามิอาจทำอันใดเด็กน้อยนั่นได้เลยแม้แต่น้อย

วันเวลาพัดผ่านไปอีกหลายเดือนจนใกล้เข้าฤดูหนาวปีที่สอง ตั้งแต่อานนท์มาอาศัยอยู่ในร่างของจางอี้หมิงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง

เหลาอาหารซิ่งฝูได้ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง เถ้าแก่หลินไห่ยุ่งวุ่นวายมากกว่าเดิมแต่ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย

นอกจากจะต้องดูแลเหลาอาหารซิ่งฝูที่เมืองไห่ถังแล้ว จางอี้หมิงยังเปิดรับคู่ค้าการทำงานโดยให้มีลักษณะคล้ายแฟรนไชส์ เหลาอาหารซิ่งฝูถูกเปิดไปหลายสาขาทั่วแคว้นฉิน เถ้าแก่หลินไห่ยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิม เพราะเขาสามารถทำความฝันของบรรพบุรุษให้สำเร็จได้ในรุ่นของตนเอง

อาหารที่แปลกตา อร่อย ราคาไม่แพง และยังมีระบบการจองล่วงหน้า ทำให้ลูกค้าสนใจมาใช้บริการทุกระดับชั้น ครอบครัวของบุตรชายเถ้าแก่หวังที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงถึงกับเดินทางมาเยี่ยมบิดามารดาที่เมืองไห่ถังเมื่อได้รับรู้ว่าบิดาของตนเองประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไหน

เถ้าแก่หวังยิ่งมีความสุขมากกว่าใครเมื่อตนเองคือผู้ที่จางอี้หมิงมอบหมายให้เป็นตัวแทนกลุ่มการค้าหลัวถง เขาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างดีเยี่ยม มิเคยหมกเม็ดผลกำไรส่วนต่างเลยแม้แต่ครึ่งชั่ง

มีแต่จะเอาส่วนของตนเองเพิ่มให้บ่อย ๆ แต่เมื่อจางอี้เทารู้จากการทำบัญชี เขาจึงแจ้งแก่บุตรชายทราบและจางอี้หมิงตัดสินใจให้บิดารับเงินนั้นไว้แล้วนำเงินส่วนนั้นไปมอบให้กับหวงหาวหร่านที่ตอนนี้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสืบต่อตำแหน่งจากบิดาแทน

ซึ่งหวงห่าวหรานเองก็นำเงินที่ได้รับมอบจากกลุ่มการค้าหลัวถงไปปรับปรุงถนนหนทางในเมือง สร้างสถานศึกษาที่ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้ามาศึกษาเล่าเรียนได้ สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านที่ยากจน รวมถึงก่อตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยากจนด้วย

ท่านเจ้าเมืองหวงห่าวหรานยังนำแผนการพัฒนาเมืองไปปรึกษาจางอี้หมิงทุกครั้งอย่างมิอายที่ตนเองต้องอาศัยความสามารถของเด็กน้อยในการทำงาน

จางอี้หมิงเองก็ให้คำปรึกษาอย่างดี เพราะตอนนี้เขากำลังสร้างฐานอำนาจอย่างเงียบ ๆ ด้วยตัวของตนเอง

“ท่านเจ้าเมือง อย่าลืมเตือนให้ชาวบ้านเริ่มตุนเสบียง เชื้อเพลิง เครื่องนุ่งห่ม และให้ทหารเข้าไปช่วยชาวบ้านซ่อมบ้านที่ทรุดโทรมด้วยนะขอรับ ภัยหนาวเมื่อปีที่แล้วยังคงฝังใจข้า หากเราเตรียมการรับมือให้ดีในปีนี้อาจจะไม่มีการสูญเสียก็เป็นได้

อ้อ! และเตือนให้อย่าลืมเตรียมยารักษาโรคและยาป้องกันอาการป่วยประเภทไข้ ปวดหัว เจ็บคอไว้ด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยแนะนำแนวทางรับภัยหนาวให้กับท่านเจ้าเมืองคนใหม่

ทุกเดือนหวงห่าวหรานจะมาพบจางอี้หมิงที่สำนักงานกลุ่มการค้าหลัวถงในเมืองไห่ถัง ซึ่งเขาได้ปรับปรุงเหลาอาหารเฟิงฟู่ขึ้นมาเป็นสำนักงานสำหรับติดต่อประสานงานต่าง ๆ

“ท่านอ๋องน้อย ข้าได้ทำตามที่ท่านแนะนำทุกอย่างแล้ว คาดว่าปีนี้คงพอผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ทุลักทุเลเช่นปีที่แล้ว”

“เป็นเช่นนั้นก็ดีขอรับ”

“ใช่แล้ว พี่สาวข้า นางขอเชิญท่านอ๋องน้อยไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อร่วมฉลองอายุครบหนึ่งขวบของหลานข้าด้วย มิทราบว่าท่านอ๋องน้อยสะดวกหรือไม่ขอรับ” หวงห่าวหรานเอ่ยถามอย่างเกรงใจ เพราะเขารู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้านี้งานยุ่งมากเพียงใด

“น้องน้อยครบรอบอายุหนึ่งขวบแล้วหรือขอรับ งานสำคัญเช่นนี้ข้าต้องไปแน่นอนขอรับ มิทราบว่าน้องน้อยเป็นเช่นไรบ้าง นางคงสุขสบายดีใช่หรือไม่” จางอี้หมิงถามถึงเด็กน้อยบุตรสาวของพี่สาวหวงเจียถิง ที่เขามีโอกาสได้ช่วยเหลือไว้ในขณะที่นางตั้งครรภ์ จนนางสามารถบำรุงครรภ์และคลอดได้อย่างปลอดภัย

เขาเองมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเด็กน้อยตอนแรกคลอดใหม่ ๆ เพียงเท่านั้น จะว่าไปแล้วน้องน้อยคนนั้นมีนามว่าอะไรเขาก็เกือบจะลืมไปแล้ว

เด็กน้อยนั่นชื่ออะไรนะ ใช่แล้ว หวงเยว่ซิน (ดวงจันทร์แห่งความสุข) สมแล้วที่มีชื่อนี้ เพราะนางคลอดในคืนพระจันทร์เต็มดวง ช่างเป็นคืนที่เงียบสงบและอากาศเย็นสบาย

“เช่นนั้นข้าจะให้พี่สาวส่งเทียบเชิญไปยังเรือนของท่านอ๋องน้อยนะขอรับ ซินเอ๋อร์นางสบายดี กินเก่ง เริ่มคุยอ้อแอ้ ข้ามิอยากเชื่อเลยว่านางจะกลายเป็นเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์และอารมณ์ดียิ่ง ท่านพ่อท่านแม่ต่างหลงรักซินเอ๋อร์กันทั้งบ้าน” หวงห่าวหรานกล่าวถึงหลานสาวอย่างมีความสุข

“แล้วเมื่อไหร่ท่านหวงถึงจะหาฮูหยินเล่าขอรับ”

“ข้ายังมิปรารถนาที่จะแต่งงาน ข้าเพิ่งรับตำแหน่งได้มินาน เกรงว่าจะทุ่มเทให้กับการพัฒนาเมืองไห่ถังได้ไม่เต็มที่ จึงยังมิคิดเรื่องแต่งงานขอรับ”

“ท่านหวง แต่งงานก็พัฒนาบ้านเมืองได้ หากท่านหวงแต่งฮูหยิน อาจจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย อย่างน้อยหากเหนื่อยจากงานข้างนอกแล้ว เมื่อกลับถึงจวนก็มีภรรยาคอยดูแล เช่นนี้มิดีกว่าหรอกหรือขอรับ”

“ท่านอ๋องน้อย ท่านจะรู้เกินเด็กไปแล้วนะขอรับ”

หวงห่าวหรานอุทานออกมาพร้อมกับใบหน้าขึ้นสี เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจความนัยที่เด็กน้อยส่งมาให้ แต่ก็นะ ว่าไปแล้วการแต่งฮูหยินอาจจะมีแต่เรื่องดี ๆ ก็เป็นได้ เพราะคำแนะนำของท่านอ๋องน้อยมิเคยผิดสักครั้ง

เมื่อถึงวันงานฉลองครบรอบหนึ่งขวบปีของหวงเยว่ซิน จางอี้หมิงจึงไปร่วมงานพร้อมกับบุคคลสำคัญของเมืองไห่ถังหลายคน ที่ขาดมิได้เลยคงเป็นครอบครัวจาง รวมถึงซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ด้วย ครอบครัวเถ้าแก่หลินไห่และครอบครัวเถ้าแก่หวังต่างเตรียมของขวัญล้ำค่าเพื่อมามอบให้กับเด็กน้อยเจ้าของงานในวันนี้

งานที่จัดขึ้นเป็นงานเลี้ยงน้ำชาตอนบ่าย ด้วยเพราะตระกูลหวงไม่สะดวกจัดในตอนกลางคืน เนื่องจากหวงเยว่ซินยังมีอายุน้อย นางยังไม่เข้าใจงานเลี้ยงมากมายนัก เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันต่างก็มอบของขวัญให้กับเด็กน้อยอย่างพร้อมเพรียง

เด็กน้อยหวงเยว่ซินแต่งกายด้วยชุดเด็กสีแดง มัดผมเปียเล็กสองข้าง นางยังเดินได้ไม่คล่องมากนัก หนูน้อยหัวเราะชอบใจกับการทักทายของบุคคลแปลกหน้า หาได้มีความกลัวไม่ เมื่อถึงคราวของจางอี้หมิงที่จะมอบของขวัญ เขาจึงเดินไปยืนตรงหน้าเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักของพี่สาวเจียถิง

“ซินเอ๋อร์ ทักทายพี่ชายหมิงเร็ว พี่ชายหมิงเป็นคนที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้นะ” เจียถิงเอ่ยกับลูกน้อยเสียงหวาน

ราวกับว่าเด็กน้อยเข้าใจ นางส่งยิ้มกว้างให้กับจางอี้หมิงและยังทำท่าโผเข้าหาท่านอ๋องน้อยคล้ายต้องการให้อุ้ม จางอี้หมิงเงยหน้าส่งสายตาเหมือนเป็นคำถามกับมารดาของเด็กน้อย เมื่อเห็นพี่สาวเจียถิงพยักหน้าเขาจึงอ้าแขนออกอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้อย่างระมัดระวัง

หวงเยว่ซินเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของจางอี้หมิงแล้ว นางก็จับใบหน้าของคนอุ้ม ทำการกัดและดูดเสียงดังจ๊อบแจ๊บลงไปบนแก้มของจางอี้หมิงอย่างจัง อาจจะเนื่องมาจากฟันของนางที่กำลังขึ้นก็เป็นได้

การกระทำของบุตรสาวถึงกับทำให้มารดาอย่างถิงถิงรีบเอ่ยขอโทษเด็กชายอย่างเกรงใจ

“ท่านอ๋องน้อย ขอโทษเจ้าค่ะ ซินเอ๋อร์ช่างซุกซนนัก” มารดายังเอ่ยขอโทษมิทันจบ บุตรสาวก็ดูเหมือนจะยังมิพอใจกับการกัดแก้มคนอุ้ม

นางจึงพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้าเด็กชายพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นคนที่อุ้มนางทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เป้าหมายต่อไปของนางกลับกลายเป็นหยกที่หนิงอ๋องมอบให้กับจางอี้หมิงเพื่อยืนยันตำแหน่งฐานะอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงซึ่งจางอี้หมิงเอามาแขวนไว้ที่คอ

มิรู้เป็นเพราะเหตุใด หวงเยว่ซินเมื่อจับได้แล้วก็มิยอมปล่อยมืออีกเลย ไม่ว่ามารดาหรือใครก็ไม่สามารถแกะมือของนางออกได้ สุดท้ายจางอี้หมิงจึงตัดสินใจมอบหยกนั้นให้เป็นของขวัญวันเกิดกับเด็กน้อยไป

“ซินเอ๋อร์ เจ้าชอบหยกนี้เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นพี่มอบหยกนี้เป็นของขวัญวันเกิดเจ้าก็แล้วกัน พี่ขอให้เจ้าจงมีแต่ความสุขนะ” จางอี้หมิงพยักหน้าให้องครักษ์ซีเข้ามาปลดหยกจากคอของตนเองแล้วสวมหยกนั้นลงบนคอของเด็กน้อยหวงเยว่ซินด้วยตนเอง

ผู้ที่ได้รับของเล่นถูกใจถึงกับส่งยิ้มกว้างไปให้อย่างไร้เดียงสา ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ ตามประสาเด็กหนึ่งขวบ จนผู้คนที่อยู่ในที่นั้นและหวงเจียถิงถึงกับตาโตเมื่อเห็นการกระทำของจางอี้หมิง

นั่นมิใช่ว่าเป็นการให้ของหมั้นหมายกลาย ๆ หรอกหรือ

ทว่าผู้ที่มอบหยกเจ้าปัญหาให้นั้น ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวถึงความหมายด้วยเลยแม้แต่น้อย จางอี้หมิงส่งยิ้มให้เด็กน้อยอย่างเอ็นดูและคิดกับตัวเองในใจว่า

แค่หยกเพียงชิ้นเดียว หนิงอ๋องคงมิงกหรอก...มั้ง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ