รถม้าของตระกูลจางที่ทั้งใหญ่โตและสวยงามพาผู้โดยสารไปจอดลงตรงปากทางเข้าตลาด ซุนหมิงเย่ลงไปเป็นคนแรก ตามด้วยจางอี้หมิงและซุนซูลี่ลงมาเป็นคนสุดท้าย เมื่อทุกคนพร้อมแล้วจึงเดินเข้าไปในตลาดด้วยกัน ทว่าจางอี้หมิงที่เห็นจำนวนคนติดตามก็หยุดเดินทันทีและหันไปหาพี่สาวคนงาม
“ท่านพี่ซูลี่ ข้ามิชอบคนติดตามมากมายเช่นนี้เลยขอรับ ข้าอึดอัดยิ่งนัก” จางอี้หมิงบ่น
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าสัญญากับพี่สาวตั้งแต่งานเทศกาลนั่นแล้ว จำมิได้หรือว่าจะไม่ไปไหนคนเดียว ต้องมีองครักษ์ติดตามไปด้วยเสมอ” ซุนซูลี่เอ่ยขัด ส่งผลให้น้องสุดท้องได้แต่ทำหน้ามุ้ยอย่างขัดใจ แต่การกระทำเช่นนั้นของจางอี้หมิง กลับทำให้คนติดตามนึกเอ็นดูไปเสียอย่างนั้น
“แต่ว่าพี่อาซานกับพี่อาชีก็ติดตามข้าไปตลอดแล้วนี่ขอรับ พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ต่างหากเล่าที่ต้องมีสาวใช้กับบ่าวชายติดตาม” จางอี้หมิงยังมิยอมแพ้
“ได้ ๆ พี่สาวจะไม่เถียงหมิงเอ๋อร์แล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็กลับไปที่จวนก่อนเถอะ ให้รถม้ามารับพวกข้าที่นี่ในเวลายามเซิน(15.00–16.59) เข้าใจหรือไม่” ซุนซูลี่เห็นว่าน้องชายคงอึดอัดจริงๆ อีกทั้งนี่ก็เป็นเวลากลางวันและยังมีองครักษ์ทั้งสองอยู่ด้วยคงไม่เป็นไร จึงได้ไล่ให้บ่าวชายและสาวใช้กลับจวนไป เหลือเพียงตนเอง น้องชายสองคน จินจินและอาซานเพียงเท่านั้น
เนื่องจากเด็กทั้งสามคนเป็นคนแปลกหน้าที่ชาวบ้านและเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามิเคยเห็นมาก่อน ถึงแม้การแต่งกายของคุณหนูคุณชายทั้งหลายจะเรียบง่าย ทว่ากับมีผู้ติดตามมากเพียงนี้ก็คงเป็นคุณหนูคุณชายบ้านไหนที่เพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงเป็นแน่
ซุนซูลี่ที่อายุได้สิบเอ็ดขวบปี อีกไม่กี่ปีก็ปักปิ่น นางจึงถือเป็นดอกไม้แรกแย้ม น่าทะนุถนอม สดใส รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าขณะที่นางพูดคุยกับเด็กชายทั้งสองคน ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวของนางดั่งมีสายลมเย็น ๆ พัดผ่านในคืนที่ร้อนอบอ้าว ดึงดูดให้คุณชายหลายคนกระซิบกระซาบอยากเข้ามาทำความรู้จัก แต่ก็ถูกองครักษ์และสาวใช้ขวางทางไว้เสียก่อน ส่วนจางอี้หมิงและซุนซูเย่มินั้นต้องพูดถึง เด็กน้อยร่าเริงสดใสยิ่งนัก บางครั้งยังออดอ้อนพี่สาวเมื่ออยากได้ของที่ถูกใจ
“พี่ซูลี่ เข้าไปดูเครื่องประดับดีหรือไม่ ข้าอยากได้เครื่องประดับสวย ๆ สักชุด ข้าอยากมอบให้เป็นของขวัญพบหน้าท่านยายขอรับ” จางอี้หมิงเดินมาถึงร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ร้านหนึ่งก็เกิดความสนใจ เขาหยุดเดินและรีบเอ่ยชวนพี่สาวทันที
“ได้สิ เดี๋ยวพี่สาวช่วยเจ้าเลือกของขวัญเอง” ซุนซูลี่ตอบน้องชายแล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในร้านเครื่องประดับตรงหน้า หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ขายของรีบปรี่เข้ามาต้อนรับคณะลูกค้าอย่างมีไมตรีจิต สมกับเป็นคนค้าขาย
“คุณหนูท่านนี้มิทราบว่าต้องการดูสินค้าแบบไหนหรือเจ้าคะ”
“คุณหนูของข้าสนใจเครื่องประดับสำหรับมอบเป็นของขวัญพบหน้าให้กับผู้อาวุโสเจ้าค่ะ” จินจินเป็นผู้ตอบคำถามของคนขายเครื่องประดับแทนเจ้านาย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางด้านนี้เลยเจ้าค่ะ” คนขายยิ้มร่า เดินนำทุกคนไปยังด้านรับรองลูกค้าซึ่งจัดไว้ที่มุมแห่งหนึ่งของร้าน มิได้มีห้องส่วนตัวแต่อย่างใด
หลังจากที่กลุ่มของจางอี้หมิงนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งแล้ว คนขายจึงเดินไปหยิบชุดเครื่องประดับตามที่ซุนซูลี่สนใจมาให้ลูกค้าได้เลือกชม
“ปิ่นนี้เหมาะยิ่งนักสำหรับเป็นของขวัญเจ้าค่ะ ด้ามปิ่นทำด้วยทองคำ ไข่มุกที่ห้อยอยู่ก็เม็ดกลมงดงาม น้ำหนักเบาสามารถสวมใส่ได้ทุกวันเจ้าค่ะ” คนขายเอ่ยแนะนำอย่างดี คงเพราะได้รับการอบรมการขายมาเป็นแน่
“ข้าคิดว่ามันใหญ่เทอะทะเกินไป ไข่มุกกับทองคำดูมิเข้ากันนัก เจ้ามีสินค้าอย่างอื่นอีกหรือไม่ เรื่องราคาข้ามิมีปัญหา” ซุนซูลี่บอกคนขาย เพราะตั้งแต่ดูเครื่องประดับที่ทางร้านนำมาให้ยังมิมีชิ้นไหนสวยถูกใจนางแม้แต่ชิ้นเดียว
“เช่นนั้นมีหยกพกอยู่ชิ้นหนึ่งเจ้าค่ะ หยกน้ำงามยิ่งนัก มิมีรอยตำหนิแม้แต่น้อย แต่ว่าข้านำมาให้คุณหนูชมดูมิได้ ต้องไปแจ้งเถ้าแก่เนี้ย เนื่องจากมีราคาแพงยิ่งนักเจ้าค่ะ คุณหนูท่านนี้ยังสนใจอยู่หรือไม่เจ้าคะ” คนขายพิจารณาเห็นเครื่องแต่งกายของคุณหนูตรงหน้าแล้ว รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าลูกค้าคนนี้จะมีตำลึงเพียงพอสำหรับจ่ายค่าหยกหรือไม่ จึงได้ถามออกตัวไปเช่นนี้ก่อน
“เจ้านี่ คิดว่าคุณหนูของข้ามิมีตำลึงจ่ายเช่นนั้นหรือ จะดูถูกคุณหนูของข้ามากเกินไปแล้ว” จินจินได้ฟังคำบอกของคนขายจึงออกอาการโมโหแทนคุณหนูของตน
“พี่จินจิน มิเป็นไร นางเพียงทำตามหน้าที่ ข้ายังยืนยันที่จะขอดูหยกของร้านเจ้าเช่นเดิม” ซุนซูลี่เอ่ยปรามสาวใช้ของตน ก่อนจะหันไปยืนยันกับคนขายเครื่องประดับอย่างอ่อนหวาน
“เช่นนั้นรอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าจะไปแจ้งเถ้าแก่เนี้ยให้เจ้าค่ะ” คนขายกล่าว หลังจากแจ้งแล้วจึงเดินออกไป
“พี่ซูลี่มิมีชิ้นไหนถูกใจเลยหรือขอรับ” จางอี้หมิงที่นั่งรอมานานหลายเค่อแล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เขาจึงเอ่ยถามพี่สาวออกไป
“หมิงเอ๋อร์ ของขวัญพบหน้าท่านยายของเจ้าต้องเลือกสิ่งที่ดีและเป็นสิริมงคล ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าของขวัญเช่นนั้นหรือ ถ้าหากว่าเจ้าเบื่อ อยากจะออกไปเดินเล่นแถวนี้รอพี่สาวก่อนก็ย่อมได้ พาเย่เอ๋อร์ไปด้วย เอาเช่นนี้เป็นไร ลองเดินออกไปสำรวจดูว่ากลางวันนี้จะไปกินอาหารที่ไหน ลองชิมอาหารในเมืองหลวงดูว่าจะอร่อยสู้เหลาอาหารซิ่งฝูหรือไม่”
ซุนซูลี่เห็นใจน้องชายทั้งสองคน พวกเขาคงอยากไปเดินเที่ยวเล่นซนตามประสาเด็กชาย จึงได้เสนอทางออกไป
“แต่ว่าพี่ซูลี่ก็มีเพียงพี่สาวจินจินคนเดียว จะมิเป็นไรหรอกหรือขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“คุณชายหมิงเย่ คุณชายน้อยอี้หมิงมิต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ จินจินเกิดและเติบโตที่เมืองหลวง มีที่ไหนบ้างที่จินจินจะไม่คุ้นเคย จินจินจะดูแลคุณหนูของจินจินอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ ขอคุณชายน้อยทั้งสองมิต้องเป็นห่วง”
“เย่เอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์ พี่สาวไม่เป็นไร อีกอย่างข้าก็อยู่ที่ร้านเครื่องประดับนี้ จะมีผู้ใดมาทำอันตรายพี่สาวได้ หากว่าพบเจอเหลาอาหารแล้ว ก็กลับมาหาข้าที่นี่ดีหรือไม่” ซูลี่เอ่ยให้น้องชายทั้งสองคนสบายใจ
“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้ากับหมิงเอ๋อร์จะรีบไปรีบกลับนะขอรับ” หมิงเย่รับคำพี่สาวก่อนจะเดินออกจากร้านเครื่องประดับไปกับจางอี้หมิงและองครักษ์ซาน รอเพียงไม่นานเจ้าของร้านจึงได้เดินนำหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือกล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาด้วย
“คุณหนูท่านนี้สนใจหยกเฉิงฮวาหรือเจ้าคะ”
“เถ้าแก่เนี้ย คุณหนูของข้านามซุนซูลี่ เพิ่งเดินทางมาจากชายแดนย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเมื่อวานนี้ ต้องการซื้อของขวัญพบหน้าเพื่อมอบให้กับท่านยาย คุณหนูของข้าเห็นว่าร้านของท่านใหญ่โต สวยงาม จึงคิดว่าน่าจะมาถูกที่แล้วเจ้าค่ะ” จินจิน ลุกขึ้นยืนเอ่ยแนะนำคุณหนูของตนกับหญิงวัยกลางคนที่นางคิดว่าคงเป็นเถ้าแก่เนี้ย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถึงว่าข้ามิคุ้นหน้าคุณหนูซุนแม้เพียงน้อย แต่มิเป็นไร นี่เจ้าค่ะหยกเฉิงฮวา ข้าเพิ่งได้มาจากพ่อค้าเร่หน้าด่าน ราคาค่อนข้างสูงสักเล็กน้อย แต่คิดว่าคงมิเป็นปัญหาสำหรับคุณหนูซุนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เถ้าแก่เนี้ยหันไปรับกล่องหยกจากคนติดตามก่อนจะยื่นให้ลูกค้าได้ชื่นชม จินจินกำลังจะยื่นมือออกไปรับกล่องหยกนั้น แต่ก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยคัดค้านขึ้น
“เถ้าแก่เนี้ย ข้าคิดว่าคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราว 15-16 ปี คล้ายว่านางเพิ่งผ่านการปักปิ่นมามินาน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น งดงาม สวมชุดสีขาวดั่งดอกเหลียนฮวาคาดสายรัดเอวสีกลีบดอกบัว นางเดินมากับหญิงสาวอีกนางหนึ่ง ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นสาวใช้ ทั้งสองคนเดินตรงมายังกลุ่มของซุนซูลี่ เมื่อเถ้าแก่เนี้ยทอดสายตามองหญิงงามผู้มาใหญ่จึงคลี่ยิ้มงดงาม เอ่ยทักทายดั่งคนคุ้นเคยกันดี
“คุณหนูจาง เป็นท่านนั่นเอง เหตุใดข้าจึงมิสามารถขายหยกเฉิงฮวาได้เล่า”
“เถ้าแก่เนี้ย ผู้ช่วยขายของในร้านของท่านมิได้แจ้งให้ท่านทราบหรอกหรือว่าข้าต้องการหยกชิ้นนี้ วันนี้ข้าจึงมารับด้วยตนเอง” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าคุณหนูจางตอบเถ้าแก่เนี้ยโดยไม่มองไปทางซุนซูลี่แม้แต่น้อย
“ตะ แต่ว่า คุณหนูของข้า ขอดูหยกชิ้นนั้นก่อนนะเจ้าคะ” จินจินเห็นว่าคุณหนูของตนจะพลาดหยกชิ้นสำคัญ จึงได้เอ่ยคัดค้านขึ้น
“เจ้าเป็นใครกัน มิรู้หรอกหรือว่าคุณหนูของข้าเป็นผู้ใด หากคุณหนูของข้าหมายตาสิ่งของชิ้นใดแล้ว เจ้ากล้าแย่งหรือ” หญิงสาวที่มากับคุณหนูจางเอ่ยค้านจินจินกลับไปเสียงแข็ง
“ข้าย่อมรู้จักคุณหนูจางอี้เหลียน ผู้ใดบ้างในเมืองหลวงจะมิทราบถึงเกียรติศัพท์ความงดงามของคุณหนูใหญ่ตระกูลจาง แต่คุณหนูของข้าก็มิด้อยไปกว่าคุณหนูของเจ้าเช่นกัน” จินจินเอ่ยตอบ
“เหอะ นั่นคือคุณหนูของเจ้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงมิเคยเห็นหน้าและรู้จักในการพบปะเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงเลยเล่า” สาวใช้คุณหนูจางยังเอ่ยถามเสียงแข็ง นางยกยิ้มมุมปากคล้ายกำลังดูถูกเหยียดหยาม
“คุณหนูจาง คุณหนูซุนท่านนี้เพิ่งเดินทางจากชายแดนและมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมิเคยเห็นคุณหนูซุนมาก่อน” เถ้าแก่เนี้ยเป็นผู้ตอบคำถามของสาวใช้คนนั้น
“หึ เป็นเพียงคุณหนูบ้านนอกผู้หนึ่ง ไหนเลยจะกล้าเทียบชั้นคุณหนูของข้า”
“พอแล้ว อาจู เจ้าจะเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับคนชั้นต่ำไปเพื่ออันใด รีบเข้า ข้ายังต้องไปทำธุระอื่นอีก เจ้าลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือ” คุณหนูจางเอ่ยเตือนสาวใช้ของตนเอง
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ทะ ท่าน เห...” จินจินยังพูดมิทันจบ ก็ถูกคุณหนูของตนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“พอแล้ว พี่จินจิน หากคุณหนูจางอยากได้หยกชิ้นนี้ก็จงยกให้คุณหนูท่านนี้ไปเถิด เราหาของขวัญชิ้นอื่นแทนได้”
“คุณหนูเจ้าคะ แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไรพี่จินจิน ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่เสียสละเวลามาแนะนำสินค้าให้กับข้า คาดว่าน้องชายทั้งสองของข้าคงจะรอนานแล้ว เช่นนั้นวันนี้ข้าขอลา” ซุนซูลี่บอกสาวใช้ของตน ก่อนจะขอตัวจากเถ้าแก่เนี้ย แล้วเดินนำหน้าจินจินออกมา โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยขอตัวกับคุณหนูจางให้เสียเวลา
ในเมื่อหญิงคนนั้นมิมีมารยาทต่อนางก่อน เหตุใดนางต้องมีมารยาทกลับด้วย
“คุณหนูเจ้าค่ะ เหตุใดถึงยอมคุณหนูจางง่ายดายเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” จินจินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พี่จินจิน ข้ายังต้องอยู่อาศัยในเมืองหลวงอีกหลายปี มาถึงวันแรกจะให้ข้าสร้างศัตรูทันทีเลยก็หาใช่เรื่องหรือไม่ หากต้องการเข้าสังคมคุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวง ก็จำต้องรู้จักเก็บงำอารมณ์และจุดอ่อนของตนเอง ใบหน้าก็ต้องยิ้มเข้าไว้ ถึงแม้ข้างในใจจะเดือดเป็นหม้อน้ำก็ตาม พี่จินจินเข้าใจข้าหรือไม่”
“คุณหนู ท่านช่างมีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก ข้าเจ้าใจแล้วเจ้าค่ะ” จินจินพยักหน้าและได้แต่ยิ้มรับกับคำสอนของคุณหนูซุน ข้าคิดมิผิดจริง ๆ ที่เลือกติดตามคุณหนูผู้นี้
“ว่าแต่พี่จินจิน แถวนี้มีเหลาอาหารที่ไหนบ้างที่คาดว่าจะเป็นเหลาอาหารมีชื่อ ชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองหลวงมักจะนิยมไปกัน”
“เหลาอาหารที่มีชื่อหรือเจ้าคะ มีเจ้าค่ะ ต้องเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูอยู่แล้วเจ้าค่ะ” จินจินตอบคำถามของเจ้านายสาวด้วยใบหน้าเคลิ้มฝัน คล้ายสาวน้อยกำลังแอบดูชายหนุ่มรูปงามก็มิปาน
“พี่จินจินเป็นอันใด” ซุนซูลี่เห็นอาการของสาวใช้ก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“คุณหนูเจ้าค่ะ หญิงสาวทั่วเมืองหลวงต่างต้องการไปกินอาหารที่เหลาซิ่งฝูกันทั้งนั้น คุณหนูมิรู้อันใด วันที่สิบห้าของทุกเดือน เหลาอาหารซิ่งฝูจะจัดงานเลี้ยงฟังดนตรี ชิมอาหาร วิจารณ์ศิลป์ เจ้าค่ะ จะเป็นวันที่เหล่าบัณฑิตและคุณชายทั้งหลายมาร่วมวิจารณ์งานศิลป์ เล่นหมากล้อม ท่องตำรา หรือการถกปัญหาบางอย่าง คุณหนูทั้งหลายจึงมักไปกินอาหาร แอบมองเหล่าคุณชายแสดงความสามารถ บางครั้งอาจมีเหล่าองค์ชายและพระสหายมาร่วมงานเลี้ยงด้วย และวันนี้ก็เป็นวันที่สิบห้า คุณหนูสนใจจะไปร่วมงานหรือไม่เจ้าคะ” จินจินเอ่ยอธิบายลักษณะงานเลี้ยงให้คุณหนูของตนฟังอย่างละเอียด
“พี่จินจิน หากหนึ่งเดือนมีเพียงครั้งเดียว โต๊ะอาหารคงถูกเหล่าคุณหนูทั้งหลายจับจองไปหมดแล้วหรือไม่” ซุนซูลี่เปรยออกมา
“จริงด้วยเจ้าค่ะ เหตุใดข้าจึงคิดมิได้” จินจินได้แต่ยกมือตบลงไปบนหัวตนเองเบา ๆ
“ท่านพี่ซูลี่ ท่านอยู่ที่นี่เองหรือขอรับ” เป็นจางอี้หมิงและซุนหมิงเย่ที่เดินมากับอาซาน เอ่ยทักขึ้นด้วยความดีใจ
“เย่เอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์” ซุนซูลี่หันไปเอ่ยทักน้องชายทั้งสองด้วยรอยยิ้มยินดี
“ท่านพี่ซูลี่ไม่ได้ของขวัญเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงถามด้วยความแปลกใจ เมื่อไล่มองไปที่พี่สาวและพี่จินจินแล้ว ทั้งสองต่างไม่ได้ถืออันใด
“มีเรื่องนิดหน่อยจึงทำให้พลาดหยกชิ้นสำคัญไป แต่พี่สาวสัญญาว่าจะช่วยหมิงเอ๋อร์ตามหาของขวัญพบหน้าแน่นอน”
“เช่นนั้นตอนนี้ พี่ซูลี่ไปกันเถอะ ที่เหลาอาหารซิ่งฝูกำลังมีการประลองปัญญาของเหล่าคุณชายทั้งหลาย พี่ซูลี่อยากไปชมหรือไม่” จางอี้หมิงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“คุณชายน้อยอี้หมิงเจ้าค่ะ แต่ว่าพวกเรามิมีใบจองโต๊ะอาหาร บ่าวคิดว่าคงไม่มีโต๊ะให้พวกเราหรอกเจ้าค่ะ” จินจินเอ่ยคัดค้านเพราะไม่อยากให้คุณหนูคุณชายของนางต้องไปเก้อ
“ไปกันเถอะเย่เอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์ พี่จินจิน พี่จะไม่ไปใช่หรือไม่” ซุนซูลี่มิได้สนใจคำเตือนของสาวใช้ตน นางเอ่ยเรียกน้องชายทั้งสองคนและมิวายหันไปถามจินจินเสียงหวานด้วย
“ตะ แต่ว่าคุณหนูเรามิมีใบจองโต๊ะนะเจ้าคะ” ยังไม่ทันพูดจบ เหล่าคุณหนูคุณชายก็เดินนำไปก่อนแล้ว จินจินจึงได้แต่รีบเดินตามไปด้วยความสงสัย
หากไม่มีใบจองโต๊ะแล้วจะเข้าร่วมงานได้เช่นไร อีกอย่างคุณหนูเพิ่งมาจากชายแดนเมื่อวานนี้เองมิใช่หรือ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?