ตอนที่ 46 ปัญหาที่ไร้ทางออก

“ท่านแม่ได้งานผ้าปักจากเถ้าแก่เนี้ยมาเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากได้ทราบข่าวดี

วันนี้ระหว่างที่กินมื้อเช้าเสร็จแล้ว สมาชิกทุกคนในบ้านสกุลจางต่างพากันมานั่งพักผ่อนรับแสงแดดอุ่น ๆ ในเช้าวันใหม่ 

เมื่อวานตอนขากลับมาถึงบ้าน ทุกคนยังอกสั่นขวัญหายไม่เลิกกับเหตุการณ์ที่จวนท่านอ๋อง จางอี้หมิงเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์มากที่สุด ท่าทางดุดันแต่มีเมตตาขอหนิงอ๋องเล่นเอาหวั่นใจอยู่นาน เด็กน้อยจึงไม่ได้เล่ารายละเอียดอันใดให้ใครฟังจนกระทั่งตอนนี้

“ใช่แล้วจ้ะ เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนให้ผ้าและอุปกรณ์ปักผ้าทั้งหมดมา แม่เพียงลงมือทำเท่านั้น ท่านพ่อของเจ้ายังแนะนำให้แม่สอนหญิงชาวบ้านที่สนใจด้านนี้ ในอนาคตผ้าปักของกลุ่มการค้าหลัวถงอาจจะมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เป็นได้” หลี่อ้ายตอบบุตรชายด้วยรอยยิ้ม นางดีใจยิ่งนักที่สามารถช่วยครอบครัวให้มีรายได้อีกทาง

“หมิงเอ๋อร์ ตอนนี้คงหายตกใจพอที่จะเล่าให้พ่อฟังถึงเหตุการณ์เมื่อวานได้แล้วใช่หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถาม เขาเห็นว่าบทสนทนาของแม่ลูกไม่มีอันใดต่อแล้วจึงต้องการทราบเรื่องราวระหว่างที่เกิดขึ้นขณะที่ตนเองกับภรรยารออยู่ในห้องรับรอง ตัวเขาไม่ทราบเหตุการณ์ในตอนแรก มาทราบอีกทีหลังจากที่ท่านอ๋องเอ่ยสั่งสอนบุตรชายแล้ว

“ท่านพ่อ เรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับ...”

จางอี้หมิงเล่าเรื่องที่ตนเองทำอาหารชนิดใหม่ขึ้นมา ชื่อว่าหุบเขาเดียวดาย เมื่อนำไปขึ้นโต๊ะเสวยแล้วจึงเกิดเหตุการณ์อาหารติดคอท่านอาจารย์เทียน อาการน่าเป็นห่วงจนตัวเขาเองต้องออกหน้าช่วยเหลือในเบื้องต้นจนสามารถช่วยชีวิตท่านอาจารย์ไว้ได้

“…หลังจากนั้นท่านอ๋องจึงเรียกพวกเราไปคุยที่ห้องทำงาน แล้วไม่นาน เถ้าแก่หวัง ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ตามมาสมทบขอรับ” จางอี้หมิงเล่าด้วยเสียงราบเรียบและเบาลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าตนเองจะต้องถูกตำหนิจากบิดามารดาอีกเป็นแน่

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้บ้าบิ่นเช่นนี้ เหตุใดไม่คิดถึงว่าเจ้าเป็นเพียงเด็ก หากรักษาหรือช่วยชีวิตท่านอาจารย์ไว้ไม่ได้แล้วเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า แม่กับพ่อจะอยู่อย่างไร” หลี่อ้ายถึงกับเอ่ยเสียงสั่น นางไม่อยากคิดต่อไปเลยว่าถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามจะเป็นเช่นไร

 ไม่อยากจะคิดต่อเลยจริง ๆ 

“หมิงเอ๋อร์ มารดาเจ้าพูดถูกและท่านอ๋องสั่งสอนลูกได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปขอให้ไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำการอันใดลงไป หากไม่คิดถึงตนเองก็ให้คิดถึงพ่อแม่และท่านย่าด้วย เข้าใจที่พ่อพูดหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยสำทับคำของภรรยาอีกครั้ง

“อาเทา ลูกสะใภ้ หมิงเอ๋อร์รู้ตัวแล้ว อย่าได้ตำหนิลูกอีกเลย หมิงเอ๋อร์เด็กเพียงเท่านี้จะคิดน้อยไปบ้างจะเป็นไรไปเล่า เหตุการณ์ก็ผ่านไปแล้ว หมิงเอ๋อร์ ต่อไปรับปากบิดามารดาว่าเจ้าจะไม่หุนหันพลันแล่นอีก ดีหรือไม่”

หูไป๋หงเห็นหลานชายเพียงคนเดียวหน้าซีดไปหมดถึงกับใจอ่อนยวบ ในเมื่อบิดามารดาสั่งสอนไปแล้วนางก็ไม่อยากซ้ำเติมให้มากความ

“ข้าจะจำไว้ขอรับ” อี้หมิงเอ่ยรับคำบิดามารดาเสียงอ่อน

“เอาล่ะ เราไปทำหัวเชื้อน้ำตาลผักกันเถอะ หมิงเอ๋อร์บอกย่าตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าวันนี้เราจะทำน้ำตาลผักกันมิใช่หรือไร ย่าพร้อมแล้ว พวกเจ้าสองคนผัวเมียก็มาช่วยข้าทำด้วย ข้าแก่แล้ว จะลุกจะนั่งก็ปวดหลังไปหมด” หูไป๋หงหนุนหลังหลานชายให้ลุกเดินเข้าไปที่ส่วนครัว พลางหันมาบอกจางอี้เทากับหลี่อ้ายให้ตามเข้าไปช่วยด้วย

“ท่านแม่ ข้าจะไปส่งข่าวให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านกระจายข่าวเรื่องเกลือผักขอรับ แจ้งเรื่องเสร็จแล้วข้าจะไปเก็บต้นหญ้าหวานมาให้ท่านแม่ด้วย ท่านแม่ลืมไปแล้วหรือขอรับว่าเราไม่มีต้นหญ้าหวานสดเลย แล้วท่านแม่จะทำหัวเชื้อได้เช่นไร เมื่อกลับมาแล้วข้าจะไปช่วยท่านแม่นะขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบคำมารดา

“ข้าจะนั่งทำเกลือผักเจ้าค่ะ ท่านแม่กับหมิงเอ๋อร์ทำหัวเชื้อไปก่อนนะเจ้าคะ หญ้าสายรุ้งแห้งดีแล้ว พรุ่งนี้จะได้เอาไปเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านด้วย” หลี่อ้ายแจ้งสิ่งที่ตนเองจะทำต่อ นางคิดขึ้นมาได้ว่ายังมีหญ้าสายรุ้งจำนวนมากที่แห้งพอแล้ว

“ได้ ๆ เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ก็ไปนำหัวเชื้อน้ำตาลผักกับย่าดีกว่า ว่าแต่เราใช้หญ้าหวานแห้งทำหัวเชื้อได้หรือไม่ หมิงเอ๋อร์” นางหูรับคำบุตรชายและลูกสะใภ้ก่อนหันมาถามหลายชายอีกครั้ง เนื่องจากที่บ้านมีต้นหญ้าหวานแห้งเก็บไว้อยู่เยอะพอสมควร

“ทำได้ขอรับท่านย่า แต่ต้องปรับเปลี่ยนสูตรให้มากหน่อย พวกเราทำหัวเชื้อทั้งแบบหญ้าหวานสดและหญ้าหวานแห้ง รวมทั้งแบบผสมด้วยก็ดีนะขอรับ ในฤดูหนาวเราก็ทำจากหญ้าหวานแห้ง ในฤดูอื่นก็ทำจากหญ้าหวานสด” จางอี้หมิงออกความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก 

“เอาตามที่หมิงเอ๋อร์ว่า เจ้าช่างฉลาดเสียจริง” 

นางหูชื่นชมหลานชาย นางเยินยออี้หมิงอีกพักใหญ่ ท่าทางสุดแสนจะภูมิใจจนเด็กชายยิ้มกว้างเต็มใบหน้า

สองย่าหลานเดินตามกันไปยังหน้าเตา นางหูก่อไฟต้มน้ำ ส่วนอี้หมิงหยิบวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ พวกเครื่องเทศ สมุนไพรที่จะใช้ทำหัวเชื้อมาวางไว้ สำหรับปริมาณคงต้องลองผิดลองถูกกันต่อไป

“หมิงเอ๋อร์ ย่าต้องทำอันใดต่อไป” หญิงชราเอ่ยถามหลานชายหลังจากที่ก่อไฟตั้งหม้อต้มน้ำเรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงเขย่งปลายเท้าสูงขึ้นเพื่อตรวจดู เมื่อเห็นว่าน้ำในหม้อร้อนแล้วแต่ไม่ถึงกับเดือดจึงบอกขั้นตอนต่อไป

“ขั้นตอนแรกท่านย่าเอาน้ำร้อนนะขอรับ ไม่ต้องเยอะ ใส่ลงไปในชาม เอาดอกเก็กฮวยแห้งลงไปลวก คนให้ทั่วสักประมาณ 10 ครั้งก็เพียงพอแล้วขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเราถึงต้องลวกดอกเก็กฮวยก่อนเล่า” 

“เพื่อไม่ให้น้ำตาลผักมีรสเฝื่อนและยังเป็นการล้างฝุ่นหรือสิ่งสกปรกออกจากดอกเก็กฮวยด้วยขอรับ ถ้าใส่น้ำเยอะและลวกนานมันจะกำจัดกลิ่นที่หอมออกไปจนหมดขอรับ”

“น้ำเท่านี้พอหรือไม่ นานเท่านี้ย่าทำถูกหรือไม่” นางหูเอ่ยถามหลานชายหลังจากที่นำดอกเก็กฮวยแห้งลงไปลวกแล้ว

“ท่านย่าทำถูกต้องแล้วขอรับ ลวกเสร็จแล้วท่านย่าตักเอาดอกเก็กฮวยแยกไว้ต่างหาก น้ำที่ลวกเททิ้งไปเลยขอรับ เสร็จแล้วตักน้ำใส่ขันเอาน้ำเย็นมาเทราดลงไปในดอกเก็กฮวยที่ลวกไว้ด้วยนะขอรับ”

“เหตุใดถึงมีขั้นตอนยุ่งยากเช่นนี้” นางหูเปรยเบา ๆ ด้วยความสงสัย

“เพราะน้ำเย็นที่ราดลงไปจะทำให้ความหอมของดอกเก็ก ฮวยอยู่นานขึ้นขอรับ” จางอี้หมิงอธิบาย

“หมิงเอ๋อร์ น้ำเดือดแล้ว ต้องทำอันใดต่อ” นางหูตรวจน้ำในหม้อที่ต้มไว้เมื่อเห็นว่าเดือดแล้วจึงบอกหลานชาย

“ทุบเม็ดพุดจีนสักสองสามเม็ด ท่านย่าทุบเพียงแค่แตกเท่านั้นนะขอรับ อย่าทุบให้แหลกเพราะเวลาใส่ลงไปในหม้อต้มน้ำจะทำให้มีรสเฝื่อนไม่อร่อย แต่ยังไม่ต้องใส่ลงไปในตอนนี้ นำใบหญ้าหวานแห้งลงไปต้มขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ ใบหญ้าหวานเท่านี้พอหรือไม่” นางหูหยิบใบหญ้าหวานขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม นางทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ตรงไหนไม่มั่นใจก็รีบเอ่ยถามทันที

“เพิ่มลงไปอีกหนึ่งเท่าเพราะเราจะทำหัวเชื้อ ดังนั้นความหวานต้องเข้มข้นขอรับ ตอนนี้ท่านย่าใส่ชะเอมเทศ และเกลือลงไปด้วยได้เลยขอรับ เกลือใส่ลงไปเพียงปลายช้อนนะขอรับท่านย่า เกลือจะทำให้เก็บน้ำตาลผักได้นานขึ้นและตัดรสชาติให้นุ่มขึ้น ไม่แหลมโดด อันนี้สำคัญมากนะขอรับ เวลาต้มต้องเปิดฝาให้อ้าไว้เล็กน้อย เพราะถ้าปิดสนิทจะทำให้น้ำหัวเชื้อขุ่น ไม่ใส ไม่สวยด้วยขอรับ” 

“ช่างดีจริง ๆ ความรู้พวกนี้ชาวสวรรค์ก็สอนเจ้าด้วย” นางหูเปรยขึ้น

นอกจากหลานชายของนางจะบอกวิธีการทำแล้ว ยังบอกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการระวังด้วย ความรู้ใหม่มากมายเช่นนี้เด็กห้าขวบจะไปเอามาจากที่ไหน ท่านเทพช่างมีเมตตาเหลือเกิน

เด็กน้อยไม่ตอบอันใด เขายกยิ้มบาง ๆ และคอยเฝ้าดูหม้อต้ม เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ จางอี้หมิงจึงให้ท่านย่าของตนเปิดดู

“ต่อไปท่านย่าใส่เม็ดพุดจีนลงไปเลยขอรับ ต้มต่อไปอีกสักชั่วจิบชาเราค่อยใส่ดอกเก็กฮวยขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงต้องใส่ชะเอมเทศและเม็ดพุดจีนเล่า” นางหูถามอีกครั้ง ทั้งสงสัยและกล้าถาม สมกับเป็นผู้ที่ใฝ่รู้

“ชะเอมเทศช่วยในเรื่องของความสดชื่นและชุ่มคอ เมื่อเอามาทำเป็นชาผักจะมีคุณสมบัติเป็นเครื่องดื่มชาสมุนไพร ส่วนเม็ดพุดจีนใส่เพื่อทำให้มีสีสวย ลำพังเพียงแค่ใบหญ้าหวานสีไม่สวยเท่าไรขอรับ” อี้ หมิงอธิบายให้นางหูฟังด้วยความยินดี

“ท่านย่าอย่าลืมสิขอรับ ห้ามปิดฝาหม้อสนิท ต้องแง้มไว้นิดหนึ่ง” จางอี้หมิงเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าหญิงชราลืมตัวปิดฝาหม้อจนสนิท

“อ๊ะ ย่าขอโทษ ย่าลืมไปหน่อย” นางหูรีบยกฝาหม้อให้แง้มไว้ทันที

“ต่อไปขั้นตอนสุดท้ายสำคัญมากนะขอรับ เมื่อสีของน้ำหัวเชื้อน้ำตาลผักเข้มเพียงพอและครบเวลาตามที่กำหนดแล้ว ให้ท่านย่ายกลงจากเตาเลยขอรับแล้วใส่ดอกเก็กฮวยที่ลวกไว้ลงไป หลังจากนั้นต้องปิดฝาให้สนิทนะขอรับท่านย่า ปิดไว้เป็นเวลาหนึ่งเค่อ เพื่อเป็นการอบกลิ่นหัวเชื้อน้ำตาลผักให้หอมขอรับ”

เมื่อครบเวลาชั่วจิบชา นางหูจึงทำขั้นตอนสุดท้ายตามขั้นตอนและข้อระวังอย่างที่หลานชายบอกทุกอย่าง

“ย่าอาจจะต้องให้หมิงเอ๋อร์ทำร่วมกันกับย่าในช่วงแรก ๆ แล้วล่ะ เพราะทั้งขั้นตอน วัตถุดิบข้อควรระวังต่าง ๆ ดูยุ่งยากกว่าการทำน้ำตาลผักมาก” นางหูบอกหลานชายด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย 

ขั้นตอนมากมายถึงเพียงนี้นางไม่สามารถจดจำได้หมดในครั้งเดียว ที่ทำได้ขณะนี้ก็เพราะว่ามีหลานชายคอยประกบอย่างใกล้ชิด หากต้องลงมือเพียงลำพังแล้วผิดพลาดขึ้นมาจะลำบากเอาได้

“ข้าจะช่วยท่านย่า ต่อไปเมื่อท่านย่าทำบ่อยขึ้นท่านย่าก็จะชำนาญแน่นอนขอรับ นอกจากนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็สามารถมาช่วยท่านย่าทำได้ด้วย” อี้หมิงเอ่ยให้กำลังใจ

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าหนึ่งครั้งที่เราทำ จะได้หัวเชื้อน้ำตาลผักกี่ไห”

ระหว่างที่อบหัวเชื้อน้ำตาลผักก็มีเวลานานพอที่นางหูจะเอ่ยถามถึงข้อมูลต่าง ๆ เพราะนางกังวลถึงเรื่องนี้มาหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ได้รับใบสั่งซื้อจำนวนมาก

“ถ้าเราต้มด้วยหม้อใบนี้ไปตลอด ข้าคิดว่าคงได้เพียงไหเดียวขอรับ”

“อะไรนะ ได้เพียงไหเดียวเท่านั้นเองหรือ หัวเชื้อน้ำตาลผักหนึ่งไห ทำน้ำตาลผักได้หนึ่งร้อยไห ท่านอ๋องสั่งซื้อหนึ่งแสนไห เราต้องทำหัวเชื้อจำนวนหนึ่งพันไห จากที่เรานั่งทำกันมาตั้งแต่ต้นจนใกล้เสร็จนี้ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม หากหนึ่งวันพวกเราทำงานทั้งวัน ตั้งแต่ยามเฉิน (07.00 – 08.59) จนถึงยามโหย่ว (17.00 – 18.59) ก็เป็นเวลา หกชั่วยามแล้ว

หนึ่งชั่วยามได้หัวเชื้อน้ำตาลผักสองไห ทำงานหกชั่วยาม ดังนั้นหนึ่งวันเราจะทำหัวเชื้อน้ำตาลผักได้สิบสองไห กลุ่มการค้าหลัวถงต้องส่งน้ำตาลผักทั้งหมดภายในระยะเวลาสองเดือน คือหกสิบวัน คิดแล้ว.....ก็เพียงเจ็ดร้อยยี่สิบไหเท่านั้น หมิงเอ๋อร์ ถ้าหากว่าย่าต้องทำคนเดียว เรามีระยะเวลาไม่พอเป็นแน่” นางหูอุทานออกมาอย่างเป็นกังวล นางเผลอพูดความคิดในหัวออกมายาวเหยียด

เป็นเช่นนี้แย่แน่ มองอย่างไรก็ไม่เห็นทางที่จะทำได้ทันกำหนด

“เช่นนั้นให้ท่านแม่มาช่วยท่านย่าทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก หากท่านย่าได้ท่านแม่มาช่วยพวกเราทำทันแน่นอนขอรับ ให้ท่านพ่อกับท่านปู่ถงบันทึกจำนวนที่ชาวบ้านเอามาส่งและบันทึกบัญชีรายได้จากการขาย อีกทั้งท่านพ่อกับข้าอาจจะต้องได้ไปในเมืองในบางครั้งด้วย” จางอี้หมิง ออกความเห็นไปด้วย

“ย่าเห็นด้วยที่จะให้แม่เจ้ามาช่วยย่าทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก เพราะถ้าไม่มีหัวเชื้อ ชาวบ้านก็ทำน้ำตาลผักไม่ได้ เช่นนั้นให้แม่เจ้าพักเรื่องการปักผ้าไปก่อน หมิงเอ๋อร์ เจ้าลืมสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างไปหรือไม่” 

นางหูเมื่อได้วิธีแก้ปัญหาแล้วนางจึงถามคำถามที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันกับหลานชายเป็นคำถามสุดท้ายก่อนที่เวลาจะครบหนึ่งเค่อ ซึ่งต้องกลับมาทำหัวเชื้อน้ำตาลผักในขั้นตอนต่อไป

“ข้าลืมอันใดไปหรือขอรับท่านย่า”

“เชื้อเพลิงหรือฟืนอย่างไรเล่า ในตอนที่พวกเราทดลองทำและทำเพียงส่งขายให้กับเถ้าแก่หวัง ฟืนไม่เป็นปัญหาเพราะเราทำในปริมาณที่น้อย แต่เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าในการทำน้ำตาลผักต้องใช้ฟืนมากเพียงไหนถึงจะเพียงพอต่อการทำน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห”

จางอี้หมิงถึงกับนิ่งงันไปเมื่อเจอคำถามนี้จากท่านย่า นั่นสิ เหตุใดเขาถึงลืมนึกถึงเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้ ฟืนคือสิ่งที่สำคัญดังที่ท่านย่าบอกอย่างแท้จริง

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าลองเอาไปคิดดู แต่ตอนนี้ครบหนึ่งเค่อแล้ว ย่าต้องทำเช่นไรต่อไป” นางหูเอ่ยเตือนหลานชายที่ตอนนี้นั่งเหม่อลอย จางอี้หมิงดูคิดหนักขึ้นมาเมื่อได้ยินคำถามของนาง

“หมิงเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์” นางหูเรียกหลานชายอีกครั้ง

“ขะ ขอรับท่านย่า”

“เวลาครบหนึ่งเค่อที่อบกลิ่นหอมแล้ว ย่าต้องทำเช่นไรต่อไป” นางหูเอ่ยคำถามทวนอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านย่าต้องแยกกากใบหญ้าหวาน ดอกเก็กฮวยกับน้ำหัวเชื้อออกจากกัน ท่านย่าใช้ผ้ากรองสำหรับแยกกากได้ขอรับ”

นางหูเดินเข้าไปทำตามที่หลานชายบอก เมื่อกรองทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงนำมาใส่ไว้ในไห แล้วก็เป็นตามที่หลานชายบอก ต้มหนึ่งครั้งได้เพียงหนึ่งไหใหญ่เท่านั้น

“หมิงเอ๋อร์ จริงดังเจ้าว่า ทำได้เพียงหนึ่งไหเท่านั้น” นางหูถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความกังวลกว่าเดิม

“ท่านย่า ยังไม่เสร็จนะขอรับ เราต้องนำไปต้มอีกเพื่อทำให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยไห แต่ว่าเราไม่มีไหเปล่า เราจะต้องทำเช่นไรถึงจะทดลองได้กันนะ” 

จางอี้หมิงถึงกับนั่งจ้องมองไหหัวเชื้อน้ำตาลผักเพื่อคิดหาวิธีการทดลองสูตรนี้ ระหว่างที่ยังคิดไม่ตก จางอี้เทาได้เดินเข้ามาในบ้านพอดี เขาวางตะกร้าหญ้าหวานสดไว้ที่นอกบ้านเพื่อเตรียมนำไปล้างที่ลำธาร ในตอนแรกก็คิดว่าจะไปจัดการเสียให้เรียบร้อยแต่รู้สึกกระหายนัก อยากดื่มน้ำให้ชื่นใจก่อนทำอันใดต่อ

“อาเทา เจ้ากลับมาแล้ว” นางหูเอ่ยทักบุตรชาย

“ขอรับท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว ข้ากระหายน้ำจึงเข้ามาหาน้ำดื่มขอรับ เจ้าตัวเล็ก เหตุใดถึงได้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้หึ” จางอี้เทาตอบคำถามมารดาก่อนที่จะหันไปลูบผมบุตรชายและเอ่ยถามขึ้น

“หมิงเอ๋อร์กำลังคิดหาวิธีที่จะทดลองสูตรหัวเชื้อที่ทำได้แล้วต้องนำไปทำน้ำตาลผักน่ะสิ เราไม่สามารถต้มน้ำตาลผักจากหัวเชื้อได้ในปริมาณหนึ่งร้อยไหในคราเดียว เพราะหม้อก็ใบเล็กถึงเพียงนี้ อีกอย่างไหเปล่าสำหรับใส่น้ำตาลผักที่ต้มเสร็จแล้วก็ไม่มี หมิงเอ๋อร์ถึงนั่งคิ้วขมวดอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า” นางหูเป็นผู้เอ่ยอธิบายให้บุตรชายฟัง

“อืม” จางอี้เทาหลังจากที่ได้ฟังปัญหาที่ เขาจึงนั่งลงและช่วยคิดหาวิธีจนลืมดื่มน้ำที่ตนเองกระหายนักหนา เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ สุดท้ายก็คิดวิธีขึ้นมาได้

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเราไม่แบ่งหัวเชื้อน้ำตาลผักออกเป็นสิบไหเล็กที่มีขนาดเท่ากัน แล้วนำหนึ่งไหหัวเชื้อน้ำตาลผักเล็กไปต้มเพื่อให้ได้น้ำตาลผักอีกสิบไหเล่า เช่นนี้เราก็รู้ปริมาณที่แน่นอนแล้ว” จางอี้เทาเล่าวิธีการทดลองให้ทั้งสองคนได้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“โอ้ จริงด้วยขอรับท่านพ่อ เช่นนี้เราก็ไม่ต้องใช้ไหเปล่าถึงหนึ่งร้อยไห และยังทดลองปรับเปลี่ยนสูตรได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องต้มในปริมาณครั้งละมาก ๆ ท่านพ่อท่านช่างฉลาดยิ่งขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถึงข้อดีของวิธีที่บิดาบอกมาก่อนจะเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อไว้ด้วยความดีใจ

ท่านพ่อของเขาช่างฉลาดหลักแหลม สมแล้วที่เป็นบัณฑิต 

“เมื่อได้วิธีแล้ว พวกเราก็มาทดลองกันต่อเถอะหมิงเอ๋อร์ บิดาเจ้าจะได้ดื่มน้ำและไปล้างต้นหญ้าหวานที่ลำธารเสียที” นางหูเอ่ยสรุปให้หลายชายได้ฟัง

จางอี้เทารู้สึกคอแห้งทันทีเมื่อมารดาเอ่ย มัวแต่นั่งคิดหาวิธีแก้ปัญหาจนลืมจุดประสงค์ที่เข้ามาในบ้านไปเสียสนิท

ตลอดบ่ายนั้นครอบครัวจางไม่ว่าจะเป็นนางหูและอี้หมิงที่ช่วยกันทดลองทำสูตรต่าง ๆ หรืออี้เทาและหลี่อ้ายที่ช่วยกันนั่งบดหญ้าสายรุ้งแห้งเพื่อทำเกลือผักต่างก็ยุ่งไม่น้อย

สองสามีภรรยานั่งทำเกลือผักกันเงียบ ๆ ซึ่งแตกต่างจากคู่ของย่าหลาน ที่ดูเหมือนจะวุ่นวายและเสียงดังมากกว่า เนื่องด้วยทั้งสองถกเถียงกันถึงรสชาติของหัวเชื้อและน้ำตาลผักที่ได้มา สุดท้ายก่อนหมดวัน บ้านสกุลจางก็ได้สูตรหัวเชื้อน้ำตาลผักที่สามารถนำมาทำน้ำตาลผักได้อีกหนึ่งร้อยไหต่อหัวเชื้อหนึ่งไหอย่างลงตัว

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดน้ำตาลผักที่ได้ถึงได้หอมเช่นนี้ รสชาติดีกว่าน้ำตาลผักสูตรแรกที่พวกเราทำมาก่อนเสียอีก” หลี่อ้ายเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อได้กลิ่น

“เพราะพวกเราปรับเปลี่ยนสูตรและใช้เครื่องเทศรวมถึงสมุนไพรเข้าร่วมด้วยขอรับ สูตรนี้ถึงได้มีทั้งกลิ่นที่หอมมาก สีเหลืองสดใสสวยงาม ที่สำคัญ ครั้งนี้ข้าใส่เกลือลงไปด้วย จะเพิ่มระยะเวลาในการใช้ให้นานขึ้น ยิ่งแคว้นเหลียงมีอากาศหนาวเย็นน้ำตาลผักยิ่งเก็บได้นานขึ้นขอรับ” 

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเก่งยิ่งนัก พ่อภูมิใจในตัวเจ้าเหลือเกิน” จางอี้เทาเอ่ยชมบุตรชายพลางส่งรอยยิ้มให้อย่างนุ่มนวล

“ท่านพ่อ ท่านชมผิดแล้ว คนที่เก่งที่สุดในครั้งนี้คือท่านย่าต่างหากเล่าขอรับ”

จางอี้เทาถึงกับขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เหตุใดบุตรชายถึงโยนความดีความชอบให้กับมารดาไปเสียได้

“เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงกล่าวเช่นนั้นเล่า”

“เพราะข้าลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำน้ำตาลผักจำนวนมาก ๆ ไปน่ะสิขอรับ แต่ท่านย่าไม่ลืมและเอ่ยเตือนข้า จนตอนนี้ข้าก็ยังคิดหาทางออกไม่เจอเลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยความเศร้าเล็กน้อย

“ท่านแม่ มันเกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงได้กล่าวเช่นนั้น” จางอี้เทาหันไปถามมารดาตนเอง

“ในระหว่างที่แม่กับหมิงเอ๋อร์ทำหัวเชื้อ แม่ได้ถามหมิงเอ๋อร์ว่า ได้คิดถึงเรื่องเชื้อเพลิงหรือฟืนที่จะต้องใช้ในการต้มน้ำตาลผักจำนวนมากขนาดนั้นไว้หรือไม่ ในการทำหัวเชื้อน้ำตาลผักต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม และในการทำน้ำตาลผักอย่างน้อยก็ใช้เวลาสองเค่อ เจ้าว่าภูเขาของหมู่บ้านหลัวถงจะมีฟืนเพียงพอให้ชาวบ้านเก็บมาต้มน้ำตาลผักได้หรือไม่เล่า

ช่วงนี้ชาวบ้านเริ่มสะสมเสบียงอาหาร และฟืนเพื่อใช้ในฤดูหนาวกันแล้ว หากว่าเมื่อถึงฤดูหนาวมาเยือนแต่ไม่มีฟืนให้ใช้ตลอดฤดูหนาว เงินมากมายที่ได้จากการขายน้ำตาลผักจะมีประโยชน์อันใดกัน” 

นางหูเอ่ยอธิบายให้บุตรชายฟังถึงปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้

หลังจากที่นางหูเอ่ยจบ ความเงียบจึงเกิดขึ้นโดยมิได้นัดหมาย สมาชิกทุกคนต่างก็จมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเองในการหาวิธีแก้ไขปัญหาครั้งนี้

จริงอย่างที่นางหูว่า ต่อให้มีเงินทองมากมายแต่ไม่มีเชื้อเพลิงเอาไว้ใช้ในฤดูหนาว โอกาสที่จะรอดชีวิตก็ริบหรี่ยิ่งนัก เช่นนี้แล้วจะหาเงินทองมากมายไปเพื่อเหตุใด

มื้อเย็นของวันนั้น ครอบครัวจางถึงกับกินอย่างไร้รสชาติ เนื่องจากปัญหาที่ยังคิดหาทางออกไม่เจอ เสียงหัวเราะที่มักเกิดขึ้นเสมอหลังจากที่เด็กน้อยของบ้านฟื้นขึ้นมาจากประตูผี กลับเงียบไปราวกับเป็นบ้านร้าง คงมีแต่เพียงเสียงถอนหายใจเป็นระยะ ๆ เท่านั้น

จางอี้หมิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ในตอนนี้เขาอยากให้ตัวเองได้พบท่านเทพจริงๆ เหลือเกิน

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ