ตอนที่ 38 เมืองหลวงหรือหลัวถง

วันนี้เป็นวันที่คนในบ้านสกุลจางยุ่งมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นางหูกำลังตั้งหม้อเตรียมทำน้ำตาลผักกับหลี่อ้ายและจางอี้เทา พวกเขาต้องเร่งมือเพื่อให้ทันส่งมอบให้กับเถ้าแก่หวังในวันพรุ่งนี้ หลี่อ้ายแยกตัวออกไปพลิกหญ้าสายรุ้งเป็นระยะ ทั้งสามปล่อยให้จางอี้หมิงนอนหลับผักพ่อนให้เต็มที่

เด็กน้อยยังคงนอนอุตุอยู่บนแคร่ ไม่ได้ตื่นมากินข้าวเช้า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครปลุกเลยสักคน สมาชิกบ้านจางรู้สึกสงสารจางอี้หมิงไม่น้อย ตัวก็เล็กเพียงเท่านี้แต่สามารถแบกเรื่องหนัก ๆ แบ่งเบาภาระครอบครัวไว้ได้มากมาย ในเมื่อวันนี้ไม่มีกำหนดการทำอันใดเป็นพิเศษ จึงเลือกให้เด็กชายนอนพักผ่อนชดเชยหลายวันที่ผ่านมา

“ท่านย่าขอรับ ข้าหิว” 

จนกระทั้งในยามอู่ (11.00-12.59) จางอี้หมิงลุกขึ้นจากที่นอน เขาแยกตัวไปล้างหน้าล้างตาแล้วจึงเดินออกมานอกบ้าน เมื่อมาถึงก็เห็นว่าทั้งสามคนกำลังช่วยกันพลิกกลับหญ้าสายรุ้งให้ตากแดดได้ทั่วถึง

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว หิวมากหรือไม่ รอย่าสักครู่นะ สะใภ้ เจ้าไปหาอาหารให้หมิงเอ๋อร์เถอะ ทางนี้ข้าจะพลิกกลับต้นหญ้าสายรุ้งเอง” นางหูเอ่ยทักหลานชาย เมื่อได้ยินว่าอี้หมิงหิว นางจึงหันไปสั่งการหลี่อ้ายทันที

“ได้เจ้าค่ะท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ เข้าไปในบ้านกับแม่ดีหรือไม่ แม่จะหาของให้เจ้ากิน” หลี่อ้ายวางมือจากหญ้าสายรุ้งพร้อมเดินกลับมาหาบุตรชาย นางเอ่ยชวนเขาเข้าไปในบ้านด้วยกัน

“ดีขอรับท่านแม่ ข้าหิวยิ่งนัก ข้าคงกินข้าวได้สักห้าชามเป็นแน่” อี้หมิงตอบมารดาแล้วลูบท้องของตนเองไปมา

“เจ้าตัวตะกละน้อย ไปกันเถอะ แม่เก็บอาหารไว้ให้เจ้าเยอะแยะเชียว แม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าคงจะหิวยิ่งนัก” หลี่อ้ายเดินจูงมือบุตรชายเข้าไปในบ้านและจัดหาอาหารตามที่ได้บอกไว้

จางอี้หมิงกล่าวขอบคุณและเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้าทันที ร่างกายเด็กก็แบบนี้แหละ หิวง่าย ไม่ค่อยทนทานเหมือนผู้ใหญ่

หลังจากที่พลิกกลับหญ้าสายรุ้งจนเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้เทาจึงกลับเข้ามาในบ้าน ทั้งสองตรงไปยังส่วนครัวและลงมือต้มน้ำตาลผักต่อ อี้หมิงที่กินข้าวเสร็จแล้วจึงไปสมทบกับท่านย่าและบิดา

“อิ่มแล้วใช่หรือไม่หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาเอ่ยถามในขณะที่มือก็วุ่นอยู่กับการกรอกน้ำตาลผักใส่ลงไหไปด้วย

“อิ่มแล้วขอรับ ท่านย่า อีกนานหรือไม่ท่านย่าถึงจะทำน้ำตาลผักเสร็จขอรับ” อี้หมิงนั่งลงบนเก้าอี้เล็ก ๆ ของเขาซึ่งอยู่ข้างกับจางอี้เทา

“ไม่น่าจะเกินสองชั่วยามคงแล้วเสร็จ เหตุใดหมิงเอ๋อร์จึงถามย่าเล่า” นางหูเอ่ยตอบหลานชาย ส่วนมือก็เป็นระวิงกับการเติมฟืนลงไป

“เพราะข้าต้องการให้ท่านย่าทดลองทำหัวเชื้อน้ำตาลผักขอรับ สูตรอาจจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่เพราะว่าเมื่อก่อนเราต้องตากให้แห้งเสียก่อน แต่เพราะใบสั่งซื้อมีจำนวนมาก เราไม่มีเวลาตากต้นหญ้าหวานขอรับ”

“หัวเชื้อน้ำตาลผักที่เจ้าว่าหมายถึงหัวเชื้อน้ำตาลที่จะให้ชาวบ้านเอาไปทำน้ำตาลผักใช่หรือไม่ หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาถาม

“ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ เมื่อวานข้าไม่ได้บอกรายละเอียดให้ท่านพ่อฟัง ข้าคิดว่าถ้าเราบอกสูตรให้ชาวบ้านไปทั้งหมด ในอนาคตเราจะไม่มีข้อต่อรอง ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าในอนาคตมีคนสามารถทำเองได้ ป่านนั้นเราคงได้เงินมาเพียงพอแล้ว และน้ำตาลผักคงไม่ใช่สินค้าแปลกใหม่อีกต่อไป” 

“ดังนั้นข้าจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา เพียงแต่หัวเชื้อน้ำตาลผักมันไม่ได้เหมือนกับที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ขอรับ”

“โอ้ หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างมองการณ์ไกลยิ่งนัก จริงตามที่เจ้าว่า หากเราบอกไปทั้งหมดเราจะไม่มีข้อต่อรอง แล้วมันทำยากหรือไม่เล่า” จางอี้เทาเอ่ยชมบุตรชายและถามในคราวเดียวกัน

“ไม่ยากขอรับ พรุ่งนี้ตอนที่เข้าไปในเมืองกับเถ้าแก่หวังข้าจะไปหาสิ่งที่จะเอามาทำหัวเชื้อขอรับ ข้าคิดว่าที่ร้านเถ้าแก่หวังต้องมีแน่นอน ท่านพ่อ ท่านย่า ท่านแม่ หัวเชื้อน้ำตาลบ้านสกุลจางของเราต้องทำเองนะขอรับ เพียงแต่เราจะไม่เหนื่อยมาก เพราะหัวเชื้อน้ำตาลหนึ่งไห ให้ชาวบ้านเอาไปต้มได้หนึ่งร้อยไห เราไม่ต้องขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานเอง และไม่ต้องมานั่งต้มน้ำตาลผักเองทั้งหมด ข้าสงสารท่านย่า ท่านย่าแก่มากแล้วยังต้องมาทำงานหนักอีก ท่านย่าอดทนอีกนิดนะขอรับ หากเราพอมีเงินมากพอแล้ว ข้าคิดจะยกสูตรทำหัวเชื้อน้ำตาลผักให้บ้านสกุลซุนไป สกุลจางขอเพียงส่วนแบ่งหนึ่งอีแปะต่อไหก็เพียงพอแล้ว แต่ถึงแม้ในอนาคตสกุลซุนจะไม่ให้ เราก็มีรายได้จากทางอื่นแล้ว”

“หมิงเอ๋อร์ ย่าขอบใจเจ้ามากที่เจ้าคิดถึงย่าเสมอ ถึงแม้ว่างานจะหนักมากกว่านี้ แต่แค่ครอบครัวเราได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ย่าก็จะไม่บ่น ย่าเชื่อว่าอีกไม่นาน บ้านเราจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ ย่าจะรอเวลานั้นนะหมิงเอ๋อร์” นางหูถึงกับน้ำตาคลอที่หลานชายของนางรักและเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้ ช่างเป็นหลานที่ประเสริฐจริง ๆ

“หมิงเอ๋อร์ พ่อเห็นด้วยนะ ถ้าในอนาคตเราพอมีเงินทองแล้ว ยกสูตรให้บ้านสกุลซุนไปก็ดี เพราะพวกเขาดีกับครอบครัวเรามากจริง ๆ ความกตัญญูเป็นสิ่งที่ต้องทำ พ่อภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” อี้เทาชมบุตรชายพร้อมกับลูบศีรษะน้อย ๆ นั่นด้วยความรักใคร่

“ท่านพ่อ ท่านย่า ข้าเป็นคนดีเพราะข้ามีท่านย่ากับท่านพ่อสอนสั่ง ดังนั้นคนที่สมควรได้รับความดีความชอบคือท่านย่า ท่านพ่อกับท่านแม่ต่างหากล่ะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยชมบิดากับท่านย่าด้วยรอยยิ้มน่ารัก

“เด็กคนนี้ช่างปากหวาน” นางหูเอ่ยอย่างอารมณ์ดี หลานนางช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ 

“หมิงเอ๋อร์ แล้วถ้าเกลือผักสามารถทำออกมาขายได้เล่า เจ้าได้วางแผนไว้เช่นไรบ้าง” หลังจากที่เอ่ยชมกันไปมาแล้ว อี้เทาจึงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ท่านพ่อ เกลือผักข้าจะไม่หวงสูตรขอรับ เพราะเกลือผักใช้เวลาในการทำนานกว่า ขั้นตอนยุ่งยากกว่า แต่ข้าจะขอส่วนแบ่งจากการขายแทนขอรับ อีกหนึ่งเหตุผลคือหากเราคิดค่าสูตรทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะต่อต้านเราเหมือนกับท่านพี่หลวนซาน เราแค่ขอส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”

“แต่ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ถึงแม้จะเพียงแค่หนึ่งอีแปะ แต่ถ้าปริมาณการขายเป็นหมื่นเป็นแสนห่อ ท่านพ่อคิดว่ามันจะมีรายได้เกิดขึ้นเท่าไรขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้ายิ่งนัก” นางหูเอ่ยชมออกมาหลังจากที่ได้ฟังความคิดของหลานชาย

สามีของนางทั้งเป็นคนดี รักครอบครัวและเก่งกาจในการทำการค้ายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าอี้เทาชื่นชอบการเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ไม่เคยบังคับให้สืบต่อกิจการค้าผ้า น่าเสียดายที่สามีของนางอายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความน่ารักและเฉลียวฉลาดของหลานชาย

“ข้าเก่งเหมือนท่านพ่อแล้ว ข้ายังเก่งเหมือนท่านปู่ด้วยขอรับ ฮิฮิ” 

“เจ้าเด็กหลงตัวเอง” นางหูถึงกับส่ายหน้าแต่ก็ยกยิ้มกว้าง นางเพียงเอ่ยชมนิดเดียว นอกจากจะไม่ถ่อมตนแล้ว ยังโอ้อวดตนเองขึ้นไปอีก

หลี่อ้ายนั่งเย็บผ้าและลอบมองทุกคนอยู่เงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าจะยากลำบากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากโจรป่า นางก็ไม่คิดเลยว่าเมื่อบุตรชายฟื้นขึ้นมา เขาจะนำพาแสงสว่างมาให้ครอบครัวได้ถึงเพียงนี้

“หมิงเอ๋อร์ แล้วเจ้าจะควบคุมจำนวนได้เช่นไรเล่า พ่อหมายถึง แล้วเจ้าจะรู้ได้เช่นไรว่าชาวบ้านขายเกลือผักไปกี่ห่อ ถ้าหากว่าเขาบอกจำนวนที่ขายน้อยกว่าที่ขายจริงเล่า เจ้าจะทำเช่นใด” อี้เทาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือขอรับ กลุ่มการค้าหลัวถงสามารถควบคุมการซื้อขายได้ขอรับ เพราะชาวบ้านจะต้องขายเกลือผักให้กับกลุ่มการค้าหลัวถงเท่านั้น จากนั้นกลุ่มจึงจะนำไปขายต่อให้กับเถ้าแก่หวัง ในเมื่อชาวบ้านขายให้กับกลุ่มการค้าภายใต้การนำของท่านปู่ถงกับท่านพ่อ ซึ่งเป็นผู้ที่รู้หนังสือ แล้วเหตุใดเราจะไม่รู้จำนวนที่แท้จริงเล่าขอรับ”

“ข้ากับท่านพ่ออาจจะรวมถึงท่านลุงซูเย่ด้วย จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่มการค้าหลัวถง ติดต่อกับเถ้าแก่หวังหรือกลุ่มการค้าอื่นเพื่อซื้อขายสินค้าที่ผลิตออกมาจากภายใต้กลุ่มการค้าหลัวถง”

“ท่านแม่รู้หนังสือและทำบัญชีได้เพราะข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยช่วยท่านตาทำบัญชีร้านผ้ามาก่อน ท่านแม่เป็นผู้ควบคุมบัญชี มีท่านปู่ถงเป็นผู้ช่วยอีกแรง ท่านย่าเป็นผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำตาล ดังนั้นถึงแม้ว่ากลุ่มการค้าหลัวถงจะเป็นของหมู่บ้าน แต่ว่าครอบครัวจางเป็นผู้บริหาร และถ้าหากว่าเราแจ้งท่านปู่ถงไปว่าเราจะยกสูตรทำหัวเชื้อน้ำตาลผักให้บ้านสกุลซุนในอนาคต ท่านพ่อว่าสกุลซุนจะไม่สนับสนุนตระกูลจางหรือขอรับ” เขาอธิบายยาวเหยียด

 จางอี้หมิงไม่คิดจะหารายได้จากน้ำตาลผักและเกลือผักไปตลอด เพราะอีกไม่นานชาวบ้านก็จะสามารถเดาและเริ่มศึกษา ทดลองทำเอง ต่อไปก็อาจจะไม่ต้องมาซื้อสูตรของบ้านสกุลจางแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการรายได้ในช่วงเริ่มแรกเท่านั้น

“แล้วเจ้าต้องการส่วนแบ่งเป็นจำนวนเงินเท่าไร”

“เกลือผักเราจะขายให้เถ้าแก่ห่อละสิบอีแปะเหมือนกับเครื่องเทศทั่วไป เมื่อทางการมาตรวจสอบก็ถือว่าเป็นเครื่องเทศหรือสมุนไพร ดังนั้นราคาก็สมควรเท่ากับเครื่องเทศ ข้าต้องการส่วนแบ่งสองอีแปะเช่นเดียวกับน้ำตาลผักขอรับ”

“ราคาขายให้เถ้าแก่หวังมันต่ำไปหรือไม่หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาออกความเห็น

“ถ้าเทียบกับราคาเกลือจริงแล้วถือว่าถูกไปขอรับ แต่เพราะเกลือผักใช้ในการปรุงอาหารได้เพียงอย่างเดียว ใช้ถนอมอาหารไม่ได้ และข้าอยากช่วยชาวบ้านยากจนทั้งหลายให้ได้กินอาหารที่มีรสชาติดีมากกว่าขอรับ ดังนั้นราคาสิบอีแปะจึงเหมาะสมแล้วขอรับ” 

สำหรับจางอี้หมิง เรื่องที่เขาอยากจะร่ำรวยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่จากการต่อสู้ดิ้นรนในชาติที่เป็นอานนท์ บางสิ่งบางอย่างที่แบ่งปันได้เขาก็อยากจะทำ อย่างน้อยเพื่อความสบายใจ และเขาหวังว่าในกาลข้างหน้า หากเขาจะต้องตกระกำลำบากหรือมีอุปสรรคใดก็ตาม ผลบุญของการทำความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ คงจะส่งผลช่วยคุ้มครองตัวเขาและครอบครัวได้

“หมิงเอ๋อร์ของแม่ช่างเป็นคนดียิ่ง” หลี่อ้ายเอ่ยชมบุตรชายที่มีความคิดแบ่งปันและไม่โลภมาก เด็กชายยังคงมีจิตสำนึกคิดถึงผู้อื่น

“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ” อี้หมิงยิ้มรับอีกเช่นเคย

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าต้นหญ้าหวานจะมีไม่เพียงพอต่อใบสั่งซื้อสินค้ารอบนี้ หนึ่งแสนไหมิใช่จำนวนที่น้อยเลย” อี้เทาเอ่ยถามบุตรชายด้วยสีหน้าวิตกกังวล การได้รับใบสั่งซื้อมาจำนวนมากเป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าไม่มีต้นหญ้าหวานให้เก็บ เช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาหลอกลวงหนิงอ๋องหรอกหรือ

“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ต้นหญ้าหวานมีเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีใบสั่งซื้อจำนวนมาก ทว่าในการทำหัวเชื้อ เราใช้ต้นหญ้าหวานนิดเดียวเท่านั้น ท่านพ่อลืมแล้วหรือขอรับว่าเราไม่ต้องตากต้นหญ้าหวานแล้ว ในเมื่อเราใช้ใบสดในการทำน้ำตาลผัก ปริมาณที่ใช้จึงลดลงตามไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือใบหญ้าหวานสดหนึ่งจินใช้ทำหัวเชื้อได้ประมาณสิบไหเลยนะขอรับ”

“จริงเช่นหมิงเอ๋อร์พูด พ่อช่างเป็นคนขี้ลืม หมิงเอ๋อร์บอกว่าจะปรับสูตรการทำหัวเชื้อเช่นนั้นหรือ ในเมื่อวันนี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทดลองแล้ว เช่นนั้นค่อยทดลองวันอื่นกันเถอะ”

“หมิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งน้ำตาลผักรอบสุดท้ายและตกลงจ้างงานกับเถ้าแก่หวังเสร็จแล้ว พ่อว่าเราไปหาท่านปู่หลินให้ช่วยเรื่องการสร้างบ้านกันเถอะ เรื่องสร้างบ้านพ่อไม่ถนัด เกรงว่าจะพูดคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง แล้วหมิงเอ๋อร์พอรู้เรื่องการสร้างบ้านหรือไม่” จางอี้เทาปรึกษาบุตรชายอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง

“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ ไหนเลยจะรู้เรื่องการสร้างบ้านเล่าท่านพ่อ แต่ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ ข้าต้องการสิ่งใดบ้าง ในวันที่คุยกับช่าง ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อและช่างฟังเองขอรับ” จางอี้หมิงตอบก่อนจะเอ่ยถามบิดาต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 

“ท่านพ่อขอรับ ถ้าหากในอนาคตบ้านเรามีฐานะร่ำรวยแล้ว ท่านพ่ออยากกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงอีกหรือไม่ขอรับ”

“เหตุใดหมิงเอ๋อร์ถึงถามเช่นนั้นเล่า”

“ถ้าหากว่าท่านพ่อต้องการกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง ที่ดินที่เรามีอยู่นี้ข้าจะได้แบ่งสันปันส่วนแตกต่างจากคำตอบที่ว่าท่านพ่อต้องการอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงตลอดไปขอรับ”

“พ่อเกิดและเติบโตที่เมืองหลวง พ่อคุ้นเคยกับเมืองหลวง หมู่บ้านหลัวถงถึงแม้ว่าจะไม่เจริญเท่ากับเมืองหลวงแต่ที่นี่สงบและชาวบ้านก็ดีกับพวกเรายิ่งนัก น้ำใจของชาวบ้านช่างหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง ในฐานะที่เคยเป็นอาจารย์มาก่อน ถ้าหากอยากเจริญก้าวหน้า เมืองหลวงจึงเหมาะสมที่สุด แต่ทว่าตอนนี้พ่อเปลี่ยนใจแล้ว เป็นหัวสุนัขดีกว่าเป็นหางราชสีห์”

“พ่อมีความฝันอยากให้ทุกคนรู้หนังสือ อยากมีสำนักศึกษาที่ทุกชนชั้นสามารถเข้ามาเรียนได้ พ่ออยากกลับไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ การสอนหนังสือเป็นอาชีพที่พ่อรัก มีความสุขและทำมันได้ดีกว่าการค้าขาย ถ้าหากว่าพ่อมีเงินทองมากมาย พ่ออยากสร้างสถานศึกษาขึ้นที่นี่ แต่มันจะเป็นไปได้หรือ” จางอี้เทาตอบคำถามของบุตรชายด้วยดวงตาเปล่งประกายของคนที่มีความฝัน

“ต้องเป็นไปได้สิขอรับท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นคนดี ท่านเทพต้องคุ้มครองและทำความฝันของท่านพ่อให้เป็นจริงได้แน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นไปยืนสวมกอดให้กำลังใจบิดาด้วยความอ่อนโยน

“ท่านย่า ท่านแม่เล่าขอรับ พวกท่านอยากกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่” เด็กน้อยหันไปมองและเอ่ยถามขึ้น

“ย่าอยู่ที่ไหนก็ได้ขอเพียงมีพวกเจ้าอยู่ด้วย สบายที่สุด ลำบากที่สุดย่าก็เคยมาแล้ว ในอนาคต ย่าไม่เคยกลัวถ้าจะต้องลำบากกว่านี้ หรือไม่เคยลืมตัวหากจะสบายมากกว่าตอนนี้ อยู่หมู่บ้านหลัวถงก็เป็นความคิดที่ดี พ่อของเจ้าจะได้ทำงานสอนหนังสืออย่างมีความสุข ไม่ต้องคอยถูกคนอื่นกดดันในเรื่องหน้าที่การงานหรือสังคมจอมปลอมพวกนั้น” นางหูเงยหน้าจากหม้อต้มน้ำตาลผักแล้วเอ่ยตอบหลานชาย

“สำหรับแม่ ขอเพียงได้อยู่กับหมิงเอ๋อร์และท่านพ่อของเจ้า แม่ก็ยินดีเป็นที่สุดแล้ว” หลี่อ้ายตอบตามความคิดของตนเอง นางหวังเพียงเท่านั้นจริง ๆ 

“แล้วหมิงเอ๋อร์เล่า อยากอยู่ที่เมืองหลวงหรือที่นี่” หลี่อ้ายเอ่ยถามบุตรชายบ้าง

“สำหรับข้า ที่ไหนก็ได้ขอแค่ครอบครัวเราอยู่ด้วยกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ แต่แผนการของข้าคืออยู่ที่นี่ หาช่องทางค้าขายแล้วค่อยขยายกิจการไปที่เมืองหลวงขอรับ”

“เจ้าเด็กขวัญกล้า ตัวเท่านี้คิดวางแผนการแล้วหรือ” นางหูเอ่ยเย้าหลานชาย

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หากว่าพวกเราไม่ย้ายกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง พวกท่านมีสิ่งที่ติดค้างที่เมืองหลวงหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอียงคอถาม เขาอยากรู้ว่าครอบครัวจางสามารถตัดขาดกับสังคมเมืองหลวงได้จริงหรือไม่

“สำหรับพ่อ ที่เสียใจที่สุดคือพวกเรายังไม่เคยได้ไหว้เคารพป้ายวิญญาณของท่านปู่เจ้า พ่ออยากไปที่บ้านหลัก ขอทำป้ายวิญญาณของท่านปู่และเอามาไหว้ที่บ้านใหม่ของเรา” จางอี้เทาตอบด้วยแววตาและน้ำเสียงเศร้าหมอง

“ย่าก็มีเรื่องติดค้างเพียงอย่างเดียวเหมือนกับพ่อของเจ้า ย่าอยากให้พวกเราได้ไปไหว้หลุมฝังศพของปู่เจ้าสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปที่บ้านหลักแล้ว พวกเขาจะอนุญาตบ้านรองเช่นพวกเราหรือไม่”

นางหูจากที่มีความสุขก็พลอยเศร้าขึ้นมาด้วย เมื่อระลึกได้ว่านางยังมิเคยได้กราบไหว้ป้ายวิญญาณและหลุมฝังศพของสามีเลย

“ท่านย่าขอรับ เหตุใดเราไม่จัดทำป้ายวิญญาณของท่านปู่ขึ้นมาเองเล่าขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในเมื่อไม่มีก็ทำขึ้นมาใหม่ได้ ไม่เห็นเป็นไรนี่นา

“หมิงเอ๋อร์ หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ เจ้ายังเด็กเลยไม่รู้ว่าการทำป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษนั้นต้องได้รับความเห็นชอบและผ่านพิธีกรรมของผู้อาวุโสในตระกูล หากป้ายวิญญาณนั้นไม่ได้ผ่านพิธีกรรมก็เปรียบเหมือนไม้เปล่า ๆ เท่านั้นเอง” นางหูอธิบายถึงความสำคัญและพิธีกรรมซึ่งจางอี้หมิงไม่รู้มาก่อน

“เช่นนั้นเราก็ไปหาบ้านหลักแล้วขอให้ทำพิธีกรรมอัญเชิญวิญญาณท่านปู่มาอาศัยอยู่ที่ป้ายวิญญาณ และนำกลับมาที่บ้านของเราที่หลัวถงมิได้หรือขอรับท่านย่า” 

“คงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกหมิงเอ๋อร์ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าบ้านหลักตัดขาดจากบ้านรองและมอบหนังสือแยกบ้านให้เรามาแล้ว พวกเราคงไม่มีโอกาสได้ป้ายวิญญาณของท่านปู่เจ้าแล้วล่ะ” จางอี้เทาอธิบายเพิ่มเติมให้บุตรชายได้เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติ

“แล้วมันจะมีวิธีการไหนหรือไม่ขอรับที่เราจะได้ป้ายวิญญาณท่านปู่มาอยู่กับเรา”

“พ่อก็ไม่รู้ หากพวกเรามีสิ่งที่บ้านหลักต้องการไปแลกเปลี่ยนก็คงจะพอเป็นไปได้”

“สิ่งที่บ้านหลักต้องการหรือขอรับ” อี้หมิงขมวดคิ้ว “ท่านพ่อพอจะทราบหรือไม่ขอรับว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด”

“เรื่องนั้นพ่อเองก็ไม่อาจรู้ได้เลย หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาตอบเสียงเบา

 “บางทีการที่ขับไล่พวกเราออกมาเช่นนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่บ้านหลักต้องการที่สุดแล้วก็เป็นได้” 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ